[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
06 พฤษภาคม 2567 05:20:59 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: น้าแม๊คพาเที่ยว - ตะลุยเวียดนาม ฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ มุยเน่ ฯลฯ  (อ่าน 11134 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.94 Chrome 50.0.2661.94


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2559 19:15:00 »


ขอต้อนรับทุกท่านกลับเข้าสู่มหากาพย์สุดเฉื่อย
เนื่องจากไม่ค่อยจะโพสท์ แถมพอโพสท์ก็โพสท์ไม่ค่อยจะจบ

"น้าแม๊คพาเที่ยว"



รอบนี้ผมจะพาทุกท่านมาเที่ยวที่ประเทศเพื่อนบ้าน หนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียนที่น่าจับตาสุด ๆ

"ประเทศเวียดนาม"

เมื่อไม่นานมานี้ ผมกับคณะเดินทางทั้งสามสาวได้ตกลงจะไปเที่ยวกันที่เวียดนาม เราวางแผนกันหลายเดือน
จองตั๋วเครื่องบินกันข้ามปี และเตรียมตัวกันอีกพอสมควร ... จากนั้นเราก็ได้แต่นั่งรอ รอให้เวลาเดินทางมาถึง
เป็นการรอคอยนานหลายเดือนที่ยิ่งเวลาผ่านไปข้อมูลการเดินทางและท่องเที่ยวของเราก็รัดกุมมากขึ้นตามไปด้วย

เวลาผ่านไปนาน นานจนกระทั่งวันเวลาที่จะออกเดินทางได้มาถึง
เรานัดเจอกันที่สนามบินตอนตีห้าครึ่ง เพื่อออกเดินทางไปสู่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม
เครื่องออกประมาณ 6.35 น. และแลนดิ้งที่สนามบินฮานอยเวลาประมาณ 8.10 น.
ทุกคนมารวมตัวกันที่สนามบินทันเวลา เราเข้าเช็คอินที่หน้าเค้าท์เตอร์ มีผมคนเดียวที่โหลดกระเป๋าลงใต้เครื่อง
ส่วนพวกสาว ๆ ที่ไปด้วยกันน่ะหรอ เดินสะพายกระเป๋าขึ้นเครื่องกันตัวปลิวเลย

ระหว่างนั่งรออยู่ที่เกทเพื่อรอขึ้นเครื่อง ผมค่อย ๆ เห็นแสงอาทิตย์สาดส่องมาจากขอบฟ้า
มันเพลิดเพลินดีจริง ๆ มีเครื่องบินบินขึ้นลงที่รันเวย์ไม่ขาดสายราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย



ผมนั่งเพลินกับภาพตรงหน้าได้ไม่นานก็มีเสียงประกาศให้ขึ้นเครื่อง ผมคิดในใจ
"ดีจริง จะได้นอนต่อสักที"
ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะผมตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่ออาบน้ำล้างหน้า เช็คของในกระเป๋าอีกรอบ
ก่อนจะหอบร่างเปื่อย ๆ มายืนโบกแท็กซี่อีกพักใหญ่ ๆ ให้ไปส่งที่สนามบิน



พอขึ้นเครื่องแต่ละคนก็เริ่มหาอะไรทำ ฟังเพลง เล่นเกม อ่านหนังสือ ส่วนผมหรอ... ผมอยากนอนจะตายห่าอยู่แล้ว
เครื่องบินเร่งเครื่อง เสียงกระหึ่งจากนอกหน้าต่างเป็นสัญญาณว่ามันกำลังจะเร่งความเร็วเพื่อดีดตัวขึ้นจากพื้นผิวโลก
ไม่นานเครื่องก็เทคออฟพร้อมอาการสั่น แต่ใครจะสน เมื่อเจอเบาะนุ่ม ๆ กับแอร์เย็น ๆ ตอนนี้มันก็ไม่ต่างจากเตียงนักหรอก
หลังจากเครื่องลอยตัวได้ไม่นาน สติผมก็ดับวูบไป ไม่มีกระทั่งความฝัน

ผมรู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงประกาศให้ผู้โดยสารกลับสู่ที่นั่ง พร้อมรัดสายเข็มขัด เพราะเครื่องกำลังจะแตะพื้นแล้ว
ผมไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่ามันมากพอแล้วแหละ ที่จะทำให้สามารถยืนได้ทั้งวันโดยไม่ล้มหงายหลัง



หลังจากตื่นมาผมมองไปรอบตัวพวกเรายังสภาพอิดโรยกันอยู่เมื่อตอนเครื่องแตะพื้น เรางัวเงียลุกจากเบาะนั่ง
แล้วเดินผ่านงวงช้างเข้าไปในตัวสนามบิน เราเริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อสู้กับความง่วงเมื่อมาถึงปลายทาง



สาว ๆ ของเราเลือกจะขึ้นไปบนสายพาน ก็แหงหละ ในเมื่อมันมีหนทางที่สบายแล้วไม่ต้องเหนื่อย
เราจะไปเดินทำไมเล่า วันนี้ยังมีที่ให้เราเดินอีกเยอะ แต่มันต้องไม่ใช่ในสนามบินแน่นอน !



เมื่อผ่าน ตม. ของเวียดนามมาได้ สิ่งแรกที่ผมทำคือไปรับกระเป๋า แต่สิ่งที่สาว ๆ เค้าทำกันน่ะหรอครับ
ผมว่าใครที่ไปต่างประเทศบ่อย ๆ คงเดาได้ไม่ยาก พวกเธอหาซื้อซิมการ์ดมือถือครับ พร้อมกับลองเข้าเน็ต
ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคที่เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับชีวิต มันเป็นสิ่งที่แทบจะขาดไม่ได้เลย

ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นหรอก ผมก็สอยซิมการ์ดอินเทอร์เน็ตมาอันนึงเหมือนกัน !


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.94 Chrome 50.0.2661.94


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2559 19:22:09 »



เมื่อซื้อซิมการ์ดกันเสร็จก็มีแท็กซี่ของบริษัททัวร์มารับเราถึงสนามบิน เราใช้เวลาไม่นานนักจากสนามบินเข้าเมือง
สิ่งที่น่าแปลกใจอย่างแรกคือรถที่นี่ขับช้ามากประมาณ 60 กม./ชม. กันทั้งเมือง
เหตุผลคือกฏหมายเรื่องการขับขี่ของที่นี่เข้มงวดมาก มากจนตลอดเวลาเกือบสิบวันที่ผมตะลอนเที่ยวในเวียดนาม
ผมไม่เคยเห็นใครขับเกินกำหนดเลยจริง ๆ ไม่ว่าจะทั้งในเมืองหรือออกนอกเมืองก็ตาม



หลังแท็กซี่ขับเลี้ยวไปเลี้ยวมาผมสังเกตว่าบรรยากาศเหมือนผมกำลังอยู่ในเชียงใหม่
คือมันไม่เจริญจนเกินไปเหมือนกรุงเทพ แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองใหญ่ ๆ ของบ้านเราที่พบเห็นได้ทั่วไปเลย
แล้วแท็กซี่ก็จอดให้เราที่สี่แยกแห่งหนึ่ง คนขับแท็กซี่ชี้นิ้วเข้าไปในซอยให้เราเดินไปยังบริษัททัวร์ที่ว่า



ทัวร์ที่เราเลือกที่นี่ไม่ธรรมดาเพราะชาวเว็บบอร์ดพันทิพต่างแนะนำให้มาซื้อทัวร์ไปฮาลองเบย์จากที่นี่
แนะนำจนถึงขั้นว่าร้านนี้เอาโลโก้พันทิพขึ้นโชว์หราหน้าร้าน ว่าบริษัทเราเป็นบริษัทที่ชาวพันทิพแนะนำนะเออ

เราเริ่มเสี่ยงตายครั้งแรกในบ้านเมืองนี้ด้วยการเดินข้ามถนนที่สี่แยกเล็ก ๆ ผมยอมรับเลยว่าการข้ามถนนครั้งแรก
เป็นการเปิดโลกของผมมาก มันคือการเดินข้ามถนนสองเลนที่อันตรายที่สุดเท่าที่ชีวิตของผมเคยสัมผัสมันมา
รถที่นี่ไม่พร้อมจะเบรคให้คนเดินข้ามถนน เหมือนเราต้องเสี่ยงกันเอาเอง
ทุกมุมเมืองเต็มไปด้วยเสียงบีบแตรสนั่นหวั่นไหว หากจะมีที่ใดที่เหมือนที่นี่ ก็คงเป็นที่อินเดียนั่นหละ



ผมเดินเข้ามาในบริทัษทัวร์ของพี่หงา พร้อมกับฝากกระเป๋า และคุยถึงเรื่องทริปที่เราจะไปกัน
ท้ายที่สุดผมก็จองทัวร์กันเสร็จด้วยเงินเกือบคนละร้อยยูเอสดอลล่าร์ (ราว ๆ 3500 บาทต่อคน)
ที่มันแพงเพราะมันคือตัวเงินที่จะพาผมไปนอนบนเรือที่ล่องอยู่กลางฮาลองเบย์ในอีกไม่กี่วันนั่นเอง



ระหว่างจ่ายเงินผมก็ออกมานั่งรอสาว ๆ ด้านนอกบริษัททัวร์ขนาด 1 ห้องแถว มองวิถีชีวิตคนที่เดินผ่านไปผ่านมา
ผมมีความสุขจัง มันเหมือนเรากำลังย้อนกลับไปมองชุมชนแถวบ้านตัวเองเมื่อตอนสิบกว่าปีก่อน
มันคลาสสิก ชวนให้นึกถึงอดีต และมันสวยงามจริง ๆ



เห็นคนแคระในภาพไหมครับ ที่เค้าเดินเข็นอะไรสักอย่าง ผมว่าให้เดาคงเดากันไม่ออกแน่ว่าเค้าทำอะไร
เค้าเดินร้องเพลงครับ คล้าย ๆ ที่บ้านเราชอบมีคนตาดีจูงคนตาบอดมาร้องเพลงตามป้ายรถเมล์นั่นแหละ
ดูน่ารักแล้วก็สู้ชีวิตดี



ปล. พี่หงาน่ารักมาก ใจดี แนะนำที่เที่ยว ร้านกินข้าวอร่อย ๆ ให้เราด้วย
ปล 2. พี่หงาเป็นคนเวียดนามเป็นผู้หญิงใส่แว่นในภาพที่เรากำลังจ่ายเงินนั่นแหละ
ปล 3. พี่หงาพูดไทยไม่ได้ บริษัทนี้พูดอังกฤษกันลื่นมาก ชาวพันทิพต่างแนะนำที่นี่
ปล 4. พอได้ยินชื่อพี่หงาครั้งแรกผมนึกว่าเป็นผู้ชาย และนึกหน้าว่าคงเหมือนน้าหงา คาราวาน


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.94 Chrome 50.0.2661.94


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2559 20:34:25 »



มื้อแรกของเวียดนามที่เปลี่ยนความคิดของผมไปตลอดกาล

หลังเครื่องแลนดิ้งที่สนามบินฮานอยได้พักใหญ่ จนเราจองทัวร์กันเสร็จเรียบร้อย พูดกันตรง ๆ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันเลย
จากคำแนะนำของพี่หงา มีร้านอร่อย ๆ อยู่แถวนี้ เรียกว่าเป็นร้านดังกันเลยทีเดียว พี่หงาเรคคอมเมนด์ว่าต้องกินกันให้ได้
แหมคนพื้นที่แนะนำขนาดนี้มีหรือจะพลาด มันคือ "บุ๋นฉ่า" เจ้าเด็ดชื่อดัง DAC KIM

ผมก็ไม่รู้หรอกไอ้บุ๋นฉ่าที่ว่ามันคืออะไร ชื่อมันไม่คล้องกับภาษาอังกฤษซักคำที่พอจะให้เราเดาออกได้เลย
พี่หงาบอกมาเป็นภาษาอังกฤษว่ามันห่างไปแค่ช่วงตึกเดียวเอง เอากระเป๋าไว้ที่นี่แล้วไปกินให้สบายใจเถอะค่อยกลับมาเอา
พี่หงากำชับนักหนาว่าเป็นร้านหมายเลขสองนะ อย่าไปเข้าร้านหมายเลขหนึ่ง



ตอนนี้พยาธิในท้องผมกำลังเริ่มรวมตัวเตรียมก่อการจราจลแล้ว เนื่องจากผมยังไม่ได้บริโถคอาหารอะไรมานานนับสิบชั่วโมง
ผมกับชาวคณะจึงออกมาตามทางที่พี่หงาบอก คะเนด้วยสายตาแล้วมันห่างเราไปไม่น่าจะถึงสามร้อยเมตร
ทีแรกพวกเราก็งงที่พี่หงาบอกมาเรื่องเข้าหมายเลขสองนะ เราไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าอะไรวะหนึ่ง ๆ สอง ๆ ที่แกบอก



พอไปถึงที่ร้านหมายเลขสองที่ว่าผมนี่ถึงกับอึ้งแดกอยู่พักนึง แล้วยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเก็บเอาไว้ซะเลย
เพราะที่ร้านนี้ติดป้ายว่าไอ้ร้านข้าง ๆ กูเนี่ยมันของปลอม (หมายถึงร้านหมายเลข 1) ของแท้ต้องกูว่อย (อันนี้ต่อเอาเอง)

คือเรื่องของเรื่องมันมีร้านบุ๋นฉ่าอยู่ติดกันสองร้านครับบรรยากาศเหมือนกันเป๊ะจนคิดว่าเป็นร้านเดียวกัน
ร้านนี้ตั้งอยู่เลขที่ 2 ถนนฮังไมห์น เมื่อมาถึงแล้วดูเลขที่ร้านว่าเลข 2 (คือไอ้หมายเลข 1 กับ 2 เนี่ยมันคือเลขที่บ้านครับ)
เราก็เดินขึ้นบันไดแคบ ๆ ซึ่งแคบแบบตัวควาย ๆ ขนาดผมเดินได้ยากลำบากเลยแหละ พอขึ้นไปยังชั้นสองมีโต๊ะอยู่สามตัว
เราจึงหย่อนตูดลงนั่น จากนั้นก็เดดแอร์ ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากปากกันซักคน สาเหตุคือเราก็สั่งไม่เป็นจ้า
อย่าว่าแต่สั่งไม่เป็นเลย เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้บุ๋นฉ่าเนี่ยมันคืออะไร



พนักงานมองหน้าอยู่พักนึงคงตระหนักได้ว่าไอ้เด็กเวรพวกนี้มันสั่งไม่เป็นแน่ เค้าเลยลงไปหยิบบุ๋นฉ่าให้คนละเซตครับ
พร้อมกับผักชุดใหญ่ ตามมาด้วยเส้นเหมือนเส้นหนมจีนจานบะเริ่ม และปอเปี๊ยะทอดแบบเวียดนาม



สำหรับบุ๋นฉ่านั้นที่เสริฟเรามานะครับก็จะมีหมูสับปั้นก้อนปรุงรสอร่อยมากเอาไปย่างจนเกรียม
มีทั้งแบบหมูสับปั้นแล้วย่าง กับที่เป็นแผ่น ๆ ย่างครับ สำคัญคือย่างกันจนเกรียม ไม่รู้จะเกรียมกันไปไหน
จนอดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่านี่มึงย่างหมูไว้แล้วเผลอไปนอนดูข่าวภาคเช้ากันมาใช่ไม๊ ?
เชื่อว่าถึงจุดนี้หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าหมูย่างเกรียมซะขนาดนี้จะไม่มีสารก่อมะเร็งหรอ ?
ผมตอบได้เลยครับว่าไม่ต้องห่วง "พอมึงแดกเสร็จนี่แทบจะเป็นก้อนมะเร็งเดินได้กันเลยทีเดียว"

นอกจากหมู เส้น ผัก ปอเปี๊ยะ ก็ยังมีน้ำจิ้ม (หรือน้ำซุปก็ไม่รู้) ซึ่งรสชาติของที่นี่หวานอร่อยเค็มพอดิบพอดี
รสเลิศมากคาดว่าคงใส่ชูรสไปเยอะ แล้วที่สะดุดตาก็คือเค้ารองก้นชามน้ำจิ้มด้วยมะละกอดิบครับ
คงคล้ายกับอาจาดบ้านเราที่เป็นแตงกวากับหอมซอยพริกแดงซอย

เมื่อทุกอย่างกองตรงหน้าเราเรียบร้อย ยังครับเรายังไม่ได้เริ่มลงมือกิน เรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เพราะไม่รู้ควรจะเริ่มกินกันยังไง และแล้วผ่านไปเพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลก ไอ้โต๊ะข้าง ๆ ก็มีคนมานั่ง
เราทั้งโต๊ะเลยดูโต๊ะข้าง ๆ ครับ เค้าเอาเส้นหนมจีนใส่ไปในชามบุ๋นฉ่าแล้วกินเหมือนก๋วยเตี๋ยวครับ
ทานพร้อมผักเคียงสารพัด

จากนั้นเราจึงเริ่มรับประทาน สิ่งหนึ่งที่ผมชอบสุดคือที่นี่ใส่กระเทียมได้ไม่อั้น ผมใส่กระเทียมสดลงไปเต็ม ๆ สองช้อนโต๊ะ
โอ้ จากที่อร่อยอยู่แล้วยิ่งอร่อยขึ้นเป็นกอง ในเวลาไม่นานเราก็อิ่มท้องจนจุก เป็นมื้อแรกที่ประทับใจมาก
เปลี่ยนความคิดผมในบันดลว่าอาหารเวียดนามไม่อร่อยมีแต่ผัก ที่ไหนได้ (แม่ง)อร่อยโคตร ๆ เลย
เป็นมื้อแรกในเวียดนามที่ถูกใจมาก อร่อยมาก ประทับใจมาก

เราหมดกันไปคนละ 100,000 ครับ ตีเป็นเงินไทยอยู่ที่ราว ๆ 158 บาท ถือว่าราคาสูงนะ แต่ช่างเหอะ มันอร่อยจริงนี่หว่า



และนี่ครับอีกหนึ่งเมนูแนะนำ มาบ้านนี้เมืองนี้ลองกันซะให้ได้ ปอเปี๊ยะเวียดนามครับ
ปอเปี๊ยะเวียดนามทอดไฟแรง ๆ อร่อยกลมกล่อมมาก แป้งเค้าบางเจี๊ยบ กรอบสะใจ อร่อยละมุนสุด ๆ
โดยตัวแป้งเค้าทำมาจากข้าวครับ เอาข้าวไปโม่ แล้วนึ่ง แล้วเอาไปตากแดด มันจะบางและเหนียวครับ
ที่นี่เค้าเรียกแป้งอันนี้ว่า เปเปอไรซ์ หรือกระดาษแป้งนั่นเอง



จากภาพแม่ค้ากำลังเตรียมปอเปี๊ยะทอดจะเห็นได้ว่ามีปอเปี๊ยะวางเรียงอยู่จำนวนมาก
และยังทอดต่อเนื่องเรื่อย ๆ มองไปเพลิน ๆ เหมือนเรากำลังดูคนทำปอเปี๊ยะแบบรีมิกซ์
หยิบ ทอด ยกสะเด็ดน้ำมัน จัดเรียง / หยิบ ยก ทอด ยกสะเด็ดน้ำมัน จัดเรียง เป็นการวนลูปแบบไม่รู้จบ
หน้าที่ป้าแกมีเท่านี้จริง ๆ



ฝั่งนี้เป็นฝั่งเตรียมบุ๋นฉ่าครับ มีหมูย่างใส่ถ้วยรอไว้จำนวนมาก ตะกร้ามะละกอ แล้วก็น้ำจิ้ม
ที่นี่ทำกันไวครับ ทำกันแบบงานใครงานมัน เหมือนที่เรามานั่งปุ๊บเค้าพร้อมเสิร์ฟปั๊บยังไงยังงั้น



สรุปครับ
บุ๋นฉ่าเนี่ยประกอบด้วยเส้นที่เหมือนหมี่ขาวเส้นใหญ่ประมาณหนมจีนไปแช่น้ำ กับหมูย่างระดับมะเร็งยิ้มหวานให้
เอาไปคลุกเคล้าในน้ำจิ้มขลุกขลิก ทานเคียงกับผักสดอีกหลายชนิด
รสชาติของน้ำจิ้มมีครบทุกรส ทั้งเปรี้ยว หวาน มัน และเค็ม ที่อร่อยเหลือเชื่อ เหลือเชื่อจริง ๆ มันครบรสสุด ๆ
เข้ากับทุกอย่างบนโต๊ะมาก ๆ


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.94 Chrome 50.0.2661.94


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2559 11:12:07 »

หลังจากท้องอิ่ม มุ่งหน้าสู่ที่พัก

เราตื่นเต้นมากกับอาหารอร่อย ๆ ที่เพิ่งผ่านลงกระเพาะไปเมื่อครู่ เมื่อทานบุ๋นฉ่าเสร็จพวกเราจึงเดินกลับมาเอากระเป๋าที่สำนักงาน
ของพี่หงาครับ หลังจากนั้นพี่หงาก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่โรงแรมที่เราจองไว้ครับ ทันทีที่แท็กซี่จอดข้างฟุตบาท
คนขับรถเค้าลงมาบริการเราครับ ช่วยยกของโน่นนี่นั่นจนเรียบร้อย เรียกได้ว่าเราแค่ขึ้นรถไปรออย่างเดียว พอยกของเสร็จ
คนขับรถเข้ารถมาแล้วกดมิเตอร์ ! (ถ้าเป็นบ้านเราเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมักไม่ยอมกดมิเตอร์ครับ ฟันราคาหัวแบะทีเดียว)
สำหรับมิเตอร์นะครับจะเริ่มที่ 12,000 ด่ง ตีเป็นเงินไทยผมว่าประมาณ 16-18 บาท ถูกกว่าบ้านเราเท่าตัวเลย
แถมแท็กซี่ที่นี่ไม่ติดแก๊สครับ ใช้น้ำมันล้วน ๆ แล้วรถดีซะด้วยเป็นพวก micro suv ซะมากครับ หรือเก๋งใหม่ ๆ ก็เยอะ
บ้านเรานี่ติดแก๊ส รถแย่ แถมยังมารยาทแย่กันอีก ตรงนี้ต้องชื่นชมครับ (ตลอดทริปการเดินทางไม่เคยโดนโกง)



เรามาถึงที่พักแบบไม่โดนพาอ้อม (เพราะเราแอบเปิด Google map มาด้วย) เอาเป็นว่าผ่านครับ มีน้ำใจ ไม่ขูดรีด
ราคาถูก พวกเราทุกคนประทับใจมากกับแท็กซี่ที่นี่ นั่งรถมาไม่นานก็มาถึงที่พักครับ อยู่ในไนท์บาร์ซ่าเลยชื่อว่า
ตัวโรงแรมที่เราพักชื่อว่า Golden Time Hostel 3 ซึ่งผมพูดจริง ๆ จากใจเลยนะ ผมไม่เคยเจอโรงแรมที่ถูก
และดี บริการน่าประทับใจขนาดนี้มาก่อน personal touch นี่สุดยอดมากครับ และไม่ใช่ผมคิดแค่คนเดียว
แต่แขกท่านอื่น ๆ ก็ชมผ่านหูให้ได้ยินอยู่ตลอดเช่นกัน



เราปล่อยตัวลงบนเก้าอี้ในล็อบบี้อยู่พักนึงด้วยสภาพอิดโรย ระหว่างรอเช็คอิน เจ้าของโรงแรมเอาน้ำชากาแฟ ผลไม้ ฯลฯ
มาเสริฟให้ครับ ให้ทานเล่นระหว่างรอเช็คอิน หลังจากเช็คอินเสร็จคุณพระสงฆ์ เราต้องเดินขึ้นไปอีกสามชั้นครับ
ห้องเราอยู่ชั้นสาม แทบจะเอาปากกัดพื้นแล้วลากตัวขึ้นไปกันเลยทีเดียว แน่ละครับอดนอนกันมาจนตาโหลเหลตั้งแต่เช้ามืด
จากโปรแกรมที่วางไว้ว่าพอมาถึงฮานอยเราจะออกเที่ยวเลย แต่เอาเข้าจริงมันเปื่อยกว่าที่คิด สภาพแย่กันทุกคน
เราหารือกันแล้วตัดสินใจเลือกที่จะนอนพักงีบนึงครับเพื่อให้มีแรงไปตะลุยโลกกว้าง



หลังจากคลานขึ้นมาถึงห้อง เราหย่อนกระเป๋าไว้กับพื้น คลานขึ้นเตียง แล้วพวกเราก็ค่อย ๆ หลับกันไปทีละคน ทีละคน
จนถึงคิวของผม... ที่หลับเป็นคนสุดท้าย ผมรู้สึกตัวอีกทีเพราะเสียงเอะอะ เราตื่นมาอีกทีเกือบบ่ายสองครึ่งครับ
ตอนก่อนสติวูบดับผมดูนาฬิกามันบอกเวลา 11 โมง นั่นแปลว่าเรานอนกันไปสามชั่วโมงกว่า ๆ ยอมรับว่าเสียเวลาไปเยอะ
แต่แหมพอตื่นมามันรู้สึกกะปรี้กะเปร่าขึ้นเยอะเลย เราไม่รอช้า เอาแค่ของจำเป็นติดมือแล้วออกจากโรงแรมครับ
สำหรับวิธีเดินทางเราตกลงกันแล้วว่าจะเลือกใช้บริการขนส่งมวลตีน ใช่ครับ เราเลือกวิธีการเดิน
เดินในบ้านเมืองต่างถิ่น เมืองที่มีแต่เสียงแตรรถ เมืองที่การข้ามถนนอันตรายพอ ๆ กับไปเหยียบตีนผู้มีอิทธิพลตามผับ
เรื่องราวจะเป็นอย่างไร เราจะไปที่ไหนเป็นที่แรก ติดตามกันต่อครับ...



ปล. ถ้าไปฮานอยอย่าพลาดที่จะไปพักที่ Golden time hostel 3 ราคาไม่แพง บริการประทับใจ โฆษณาให้เลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 พฤษภาคม 2559 23:13:20 โดย Mckaforce » บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.94 Chrome 50.0.2661.94


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2559 11:41:58 »



ซื้อตั๋วหุ่นกระบอกน้ำ

หลังจากตกลงกันได้ว่าเราจะเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลตีน เราก็เริ่มออกเดินทางกันในทันที เราเปิดแผนที่แล้ววางแผน
สถานที่แรกที่ควรแวะที่สุดคือทะเลสาบฮว่านเกี๊ยม และตรงข้ามกันมีจุดแสดงหุ่นกระบอกน้ำด้วย ซึ่งพอดีเลย
เพราะเราต้องจองตั๋วไอ้หุ่นกระบอกน้ำที่ว่านี่แต่หัววัน ไม่งั้นอาจถึงกับไม่ได้ดูกันเลยทีเดียว













ระหว่างทางเราก็พบเห็นวิถีชีวิตคนเมืองของที่นี่ หลายคนมองว่ามันตลก แต่ผมกลับมองว่านี่แหละธรรมชาติสุด ๆ
ผมมองว่าในบ้านเมืองเรา คนเราเอาความหน้าบางและรับวิถีชีวิตจากคนอื่นมามากเสียจนทำให้ตัวเองลำบากขึ้น
แต่กับที่นี่มันไม่ใช่ เค้าใช้ชีวิตกันอย่างเป็นธรรมชาติ สบาย ๆ ซึ่งผมบอกได้เลยว่าแบบนี้แหละที่ผมโคตรชอบ
ก็ดูสิครับ ฟุตบาทที่นี่เค้าโคตรกว้าง บางทีเค้าอาจจะออกแบบมาเผื่อให้คนเหล่านี้เอาไว้ทำมาหากินก็ได้



หนึ่งในสิ่งที่ผมว่ามันเจ๋ง เห็นแล้วกรี๊ดชนิดวัวตายควายล้มก็คือนี่แหละครับ การตัดผมกลางแจ้ง
ตัดแบบไม่แคร์ใคร นั่งตีนพาดกำแพง ไม่ต้องเข้าร้านติดแอร์ที่มีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้ตัด นี่ถ้าไม่ติดว่าผมสั้น
ก็อยากจะลองไปนั่งตัดกะเค้าบ้าง อยากรู้ว่าตัวเองจะคิดยังไงเวลามีคนเดินผ่านไปผ่านมาโดยมีเราตัดผมบนฟุตบาท
เราอาจจะเขิลเพราะไม่เคย หรือเราอาจจะสนุกไปกับมันก็ได้ ใครจะไปรู้



และนี่ครับ เห็นแล้วอึ้งแดกในความพยายาม และความไม่แคร์สื่อของเจ๊คนขาย มันคือต้นไม้ใหญ่ครับ
ต้นไม้สาธารณะที่ถูกแขวนทั้งต้นเต็มไปด้วยกระเป๋าจนสูงเกือบหกเจ็ดเมตร ผมตลกตรงที่มีลูกค้ามาซื้อ
แล้วเลือกดูเป้อันสูง ๆ เจ๊แกก็เอาไม้สอยให้ดู แต่เหยียดสุดแขนด้วยแถมเขย่งด้วยก็ยังไม่ค่อยจะถึง
แล้วตอนแขวนมันแขวนเข้าไปได้ยังไง ถ้าดูจากในรูปจะเห็นเจ๊แกมีไม้ยาว ๆ นั่นแหละครับอันที่ใช้สอยเป้

เลยจากร้านอาเจ๊แขวนกระเป๋าเราก็เจอสามแยก เราเดินเลี้ยวขวามาไม่กี่สิบเมตรก็เป็นโรงละครหุ่นกระบอกน้ำ



เป็นตึกใหญ่โต ป้ายบอกชัดเจนชื่อโรง Thang Long มีร้านกาแฟชั้นล่างให้นั่งเพลิน ๆ ระหว่างรอด้วยนะเออ



ดูจากภาพจะเห็นได้ว่ามีฟรั่งมังค่ากับบรรดานักท่องเที่ยวมารอซื้อตั๋วกันเพียบ ทั้งที่มีรอบแสดงตอนค่ำ



และแล้วเราก็ได้ตั๋วรอบสองทุ่ม เพื่อมาชมหุ่นกระบอกน้ำ หนึ่งในสิ่งที่ต้องชมเมื่อมาเวียดนาม



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.94 Chrome 50.0.2661.94


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2559 19:09:49 »



ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม

จุดต่อไปของเราหลังจากซื้อตั๋วชมหุ่นกระบอกน้ำก็คือ ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม ครับ มีอีกชื่อว่าทะเลสาบคืนดาบ



ที่เราเลือกมาที่นี่เป็นที่แรกให้ลองดูจากในแผนที่ที่ผมแนบมาครับ ในกรอบสีดำคือสถานที่แสดงหุ่นกระบอกน้ำ
ส่วนในกรอบแดงนั่นคือวัดหง็อกเซินที่อยู่กลางทะเลสาบ คือมันใกล้กันมากครับ เราเลยวางแผนมาที่นี่กันเป็นที่แรก

ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเขตเมืองเก่า มีตำนานเล่าขานกันถึงสถานที่แห่งนี้
เป็นตำนานการสร้างชาติว่า ในศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิเล เหล่ย แห่งราชวงศ์เล ได้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่ชาวจีน
แห่งราชวงศ์หมิงที่รุกรานให้ออกไปจากเวียดนาม ในขณะที่พระองค์ประทับบนเรือ ณ ทะเลสาบแห่งนี้
ก็มีตะพาบยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและบอกให้พระองค์ส่งดาบนั้นกลับคืนแด่จ้าวมังกร ดาบนั้นก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบ
เข้าไปในปากของตะพาบก่อนที่จะหายกลับลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ อันเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบคืนดาบ
ซึ่งตะพาบยักษ์ชนิดนี้ก็คือ ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง (Rafetus swinhoei) ซึ่งเป็นตะพาบขนาดใหญ่และใกล้สูญพันธุ์ที่สุด
ชนิดหนึ่งของโลก ที่อาศัยอยู่ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ใน "วัดหง็อกเซิน" (Ngọc Sơn) หรือ "วัดเนินหยก" ที่ตั้งอยู่ตอนเหนือ
ของทะเลสาบ สาเหตุที่เราเลือกจะเดินมาที่นี่เป็นที่แรกก็เพราะมันอยู่ไม่ไกลจากที่พักเรามากสามารถเดินเที่ยวได้



เมื่อเราข้ามถนนมาเราก็จะเจอกับประตูทางเข้าวัดที่อยู่กลางทะเลสาบ หาไม่ยากครับ เพราะทางเข้าวัดหง็อกเซินมีทางเดียว
จะเป็นจุดที่คนมามุง ๆ กันเยอะ ๆ ครับ หรือไม่ก็สังเกตจากสะพานครับ จะมีสะพานเดียวที่ใช้ข้ามจากฝั่งไปวัดกลางน้ำ



แต่อย่าเพิ่งเดินดุ่ย ๆ เข้าไปครับ เราจำเป็นจะต้องมี Ticket ครับ หรือตั๋วเข้าชมนั่นเอง ราคาไม่แพง แต่ผมจำราคาไม่ได้
แต่ไม่แพงแน่นอนครับ ที่นี่ไม่มีเรทนักท่องเที่ยวครับ ทั้งคนในชาติคนต่างชาติราคาเดียวกันหมด ผมประทับใจเรื่องนี้มาก
คือในทุกที่ที่ไปราคาทิคเก็ตมันถูกมากจนคนในชาติเค้าก็ซื้อได้สบาย แถมไม่มาขูดรีดคนที่มาเที่ยวจากชาวต่างชาติด้วย

ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ผมนึกถึงประเทศสารขัณฑ์ประเทศนึงครับที่ผมไม่ค่อยชอบระบบการขายตั๋วเท่าไหร่
ตามตู้ขายตั๋วเค้าจะเขียนประมาณนี้ครับ (เรื่องสมมติ)

อัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์
• ชาวสารขัณฑ์ ๒๐
• foreigner 200

ดูสิครับประเทศสารขัณฑ์นี่คิดต่างชาติแบบขูดเลือดขูดเนื้อเอาเรื่องเลยนะผมว่า อาศัยว่าเค้าอ่านของเราไม่ออก
ผมว่าแค่เค้าเลือกมาเที่ยวประเทศนั้น ๆ เค้าก็มาจับจ่ายใช้สอยเอาเงินเข้าประเทศพออยู่แล้ว ไม่เห็นต้องไปขูดกันอีก

เอาละ นอกเรื่องมาเยอะเพราะความอัดอั้นตันใจส่วนตัว เรากลับมาเข้าเรื่องกันครับ หลังจากที่เราซื้อบัตรเรียบร้อยแล้ว
อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่ที่คนชอบมาถ่ายรูปกันก็คือ



นี่เลยครับ สะพานไม้โดดเด่นเป็นสง่า สะพานนี้ชื่อว่า "สะพานเทฮุก" ครับ ซึ่งแปลเป็นไทยก็คือ
"สะพานแสงอาทิตย์" เป็นสะพานที่มีสีแดงสดใส ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของฮานอย
สะพานนี้เชื่อมต่อเอาไว้ข้ามจากฝั่งแผ่นดินใหญ่ไปยังวัดซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของทะเลสาบ

ผมขอเพิ่มเติมตรงนี้ให้นิดนึงครับถ้าใครต้องการแค่ถ่ายรูปสะพาน หรือไปถ่ายเซลฟี่กันบนสะพาน
สามารถเดินไปได้เลยไม่ต้องซื้อตั๋วครับ แต่จะไม่สามารถเข้าไปในวัดได้ เพราะเจ้าหน้าที่จะตรวจตั๋วหน้าวัด
หลังจากลงสะพานไปแล้ว แต่ไหน ๆ ก็ไปแล้วผมแนะนำให้เข้าไปในวัดด้วยครับ เพราะตั๋วราคาถูกมาก
และที่นี่เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของฮานอยเลยทีเดียว มาทั้งทีต้องมาให้สุดครับ

จากรูปจะเห็นได้ว่าบนสะพานนี่การจราจรของผู้คนคับคั่งมาก คนเยอะหยั่งกับลิง



เมื่ออยู่บนสะพานแล้วมองไปทางซ้ายมือจะเห็นเหมือนหอคอยตั้งตระหง่านกลางน้ำครับ ดูสวยแปลกตา
เป็นหอคอยโบราณที่โผล่ขึ้นพ้นน้ำ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า "ท้าปสั่ว" (Tháp Rùa)
แปลเป็นไทยก็คือ "หอคอยตะพาบ" ตามที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นครับว่าที่นี่มีตำนานเกี่ยวกับที่ตะพาบเอาดาบไปคืนจ้าวมังกร
นี่อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล่าขานครับ เพราะในปัจจุบันยังมีหลายคนได้เห็นตะพาบยักษ์โผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำอยู่
หลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนถ่ายฤดูกาล ซึ่งเชื่อกันว่ามีอยู่ 3-4 ตัว ในโลกเท่านั้น

ตรงจุดนี้หากเข้าไปในตัววัดจะมีภาพถ่ายของตะพาบที่ว่าด้วยครับ ซึ่งเค้าบอกว่าถ่ายมาได้ในปี 2007



หลังจากข้ามสะพานแสงอาทิตย์ ตรวจตั๋วเรียบร้อยเราก็เดินเข้ามาในวัดครับ เราเดินมาทางขวามือ เป็นทางเดินเล็ก ๆ
ร่มรื่นมากครับ อากาศเย็นสบายพอสมควร จากเงาไม้ภายในวัด



จนมาถึงอาคารนี้ ผมว่าอาคารนี้คือตัววัดครับ เพราะด้านในมีเหมือนเทพที่อยู่ตามศาลเจ้าบ้านเรา
มีคนมาจุดธูปเทียนกราบไหว้บูชาไม่ขาดสาย บ่งบอกถึงความเป็นสถานที่สำคัญและรวมใจของผู้คนที่นี่ได้เป็นอย่างดี
ผมไม่รอช้าเดินเข้าไปภายในตัวอาคาร





แล้วก็พบกับนี่ครับ ตะพาบในตู้กระจก ไม่รู้เป็นโมเดลจำลอง หรือว่าเป็นตะพาบสต๊าฟ เพราะไม่ได้มีป้ายบอกเอาไว้
แต่จากที่มอง ๆ ดูถ้าตัวใหญ่ขนาดนี้ก็สมควรแล้วที่คาบดาบเอาไปให้จ้าวมังกรได้



และอันนี้คือภาพถ่ายครับ ที่ผมบอกไว้ข้างต้นว่าเค้าถ่ายกันมาได้ตอนปี 2007 เป็นภาพตะพาบยักษ์ในนี้ครับ
รายละเอียดเห็นไม่ชัดจริง ๆ ด้านในตัวอาคารไม่ได้เปิดไฟครับ เอาจริง ๆ นี่ผมปรับค่าในกล้องช่วยแล้วด้วยซ้ำ



ส่วนฝั่งนี้ก็จะเป็นเหมือนศาลเจ้าครับ มีคนมากราบไหว้บูชาขอพร บรรยากาศคล้าย ๆ ศาลเจ้าแถวเยาวราชครับ
คือเห็นแล้วรู้สึกคุ้นชิน ไม่เหมือนว่าเรามาต่างที่ต่างถิ่นสักเท่าไร



ก่อนออกจากวัดผมได้เจอของดีแห่งชาติเวียดนามครับ เป็นอะไรที่ผมกรี๊ดเป็นการส่วนตัว และต้องมาเจอให้ได้
พูดถึงเวียดนามหลายคนคิดถึงสงครามเวียดนาม หลายคนคิดถึงประเทศเกษตรกรรม หลายคนมองเห็นวัฒนธรรม
หลายคนมองเห็นถึงความเป็นประเทศน่าจับตามองด้านเศรษฐกิจ แต่สำหรับผมทุกเรื่องที่กล่าวมาตัดทิ้งไปได้เลย
เพราะพอพูดถึงเวีดนามสิ่งเดียวที่อยู่ในก้นบึ้งจิตใจ ในมโนสำนึกของผมคือ "อ๋าวหญ่าย" อย่างเดียวเลย
ผมกรี๊ดมากกับสาวตัวเล็ก ๆ ใส่ชุดประจำชาติที่น่าจะสวยที่สุดแล้วในใต้หล้า และเธอก็ยืนอยู่ตรงหน้า
ผมนี่ตาค้างเลยทีเดียว มือเมอนี่สั่นไปหมด จับกล้องผิด ๆ ถูก ๆ กันเลยทีเดียว



อย่าว่าแต่อ๋าวหญ่ายเลยครับ สาวเวียดนามเฉย ๆ นี่ก็ทำผมกรี๊ดพออยู่แล้ว ก็แหมผิวสวย ตัวเล็ก ๆ
หุ่นเป๊ะ หน้าจิ้มลิ้ม เห็นแล้วน่าจิ้ม(ลิ้ม)เหลือเกิน มีรุ่นพี่ผมคนนึงที่ฟิตเนส พี่แกเคยมาเที่ยวเวียดนามห้าหกรอบ
เค้าบอกว่าสาวเวียดนามเนี่ย รวมข้อดีของสาวเอเชียเอาไว้ทั้งหมด ซึ่งผมไม่เถียงเลยจริง ๆ ข้อนี้



หลังจากเดินชมกันทั่วแล้วก็ออกจากวัดครับ ที่นี่เข้าออกทางเดียวครับ น่าจะด้วยข้อจำกัดของพื้นที่
ตอนนี้เราเริ่มคอแห้งกันแล้ว เดี๋ยวเราจะพาไปหาอะไรชุ่มคอ ๆ กินกันครับ...





ปล. น้ำในทะเลสาบฮว่านเกี๊ยมโดยปกติจะเป็นสีเขียว จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ทะเลสาบหลุกถวี" หรือ "ทะเลสาบน้ำเขียว"


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.94 Chrome 50.0.2661.94


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2559 21:13:47 »



กาแฟไข่เจ้าดังแห่งฮานอย

ไอ้สิ่งชุ่มคอที่เราจะกินกันต่อมาก็คือ กาแฟไข่ ใช่ครับ ได้ยินไม่ผิด มันคือกาแฟไข่ ในฐานะที่ผมก็เป็นคนชอบทำอาหาร
สิ่งท้าย ๆ บนโลกใบนี้ที่ผมจะไม่เอามันมาผสมกันคงไอ้ไอ้ของพวกนี้แหละ อารมณ์เหมือนมีคนเดินมาบอกว่า
"เฮ้ย มึงไปลองมารึยังบัวลอยไข่หวานใส่น้ำปลา อร่อยนะเว้ย" สิ่งที่จะโผล่เข้ามาในสมองของเราเป็นอันดับแรกคือคำว่า
"แม่ง มันจะไปแดกได้ยังไงวะ" และคำนี้ก็เกิดขึ้นในหัวผมทันทีครับ ว่ากาแฟ + ไข่ มันจะไปแดกได้ยังไง
แต่สาว ๆ เค้าเตรียมตัวกันมาดีครับ ที่ผมบอกว่าทริปนี้เราวางแผนกันข้ามปี ไอ้แผนที่ว่ามันรวมถึงร้านนี้ด้วยครับ
ร้านนี้ได้รับรีวิวเกือบเต็มห้าดาวเชียวนะครับ ใจนึงก็คิดว่าแดกไม่ได้แน่ อีกใจก็คิดว่า เฮ้ยมันอาจจะดีก็ได้นะเว้ย



แต่ปัญหาตอนนี้ไม่ใช่แค่แดกได้หรือไม่ได้ ปัญหามันคือเราหาร้านไม่เจอครับ เราเปิดจีพีเอสแล้วเดินตามแผนที่
เดินหายังไงก็หาไม่เจอ จนกระทั่งผมเหลือบไปเห็นป้ายเล็ก ๆ แขวนไว้เหนือหัวครับ ใช่แน่ มันต้องใช่ที่นี่แน่นอน
เป็นทางเข้าร้านที่บัดซบที่สุดในโลกหล้าเท่าที่ผมเคยไปกิน นึกภาพตึกแถวที่สร้างติด ๆ กันออกใช่ไม๊ครับ
แต่อยู่ดี ๆ มันดันมีซอก ๆ นึงเหมือนสร้างตึกแล้วประกบกันไม่สนิท มันจะมีซอกแคบ ๆ ขนาดหนึ่งคนเดินผ่าน



ทางเดินเข้าจะมืด ๆ อับ ๆ มีไฟดวงเล็ก ๆ สร้างบรรยากาศให้ดูเข้มขลัง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจะไปทำผิดกฏหมาย
ระหว่างทางยังอุตส่าห์มีป้ายบอกด้วยนะเออว่าเข้าไปในนี้แล้วจะเจอ Lake View Cafe อยู่ข้างใน สงสัยจะกลัวหลง
แล้วพอเดินเข้าไปราว ๆ สิบเมตรมันก็เป็นที่กว้างที่ถูกล้อมด้วยตึกทั้งสี่ด้าน เป็นผังที่นรกแตกสุด ๆ
ผมพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วรู้สึกเสียดายทำเลมาก ถ้าเจ้าของที่เอาที่ไปเปิดบ่อน หรือเป็นที่ส่งยาบ้าน่าจะกำไรดีกว่า
ก็แหมหลืบซะขนาดนั้น



เห็นรูเล็ก ๆ ทางด้านซ้ายมือของภาพไม๊ครับ มันแคบมากจนผมเองยังเดินอึดอัด นั่นคือไอ้รูที่เราเข้ามาครับ
ผมยังแอบแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าไอ้มอเตอร์ไซค์ที่เข้ามาจอดข้างในนี่ พวกมึงถอดแยกออกเป็นชิ้น ๆ
แล้วเอาเข้ามาประกอบกันข้างในรึไง ดูแล้วมันไม่น่าจะขี่เข้ามาได้ ส่วนความกว้างของสถานที่ก็ตามที่เห็นครับ
มันแคบมากจนผมก็ไม่เข้าใจว่าเค้าเหลือที่ตรงนี้เอาไว้ทำไมกัน



อันนี้เค้าท์เตอร์สั่งกาแฟครับ ดูเก่า เข้มขลัง มีป้ายภาษาจีนตัวโต ๆ มีเทวรูปเป็นของประดับ ทุกอย่างดูกลืนกันไปหมด
ผมรู้สึกแปลก ๆ มากตรงจุดนี้ อารมณ์มันเหมือนเราเข้าไปในศาลเจ้าพ่อเสือ เพื่อที่จะสั่งกาแฟมาจิบกันสักคนละแก้ว
อดคิดไม่ได้ว่าถ้าจิบกาแฟอยู่แล้วมีองค์มาลงประทับคงได้สนุกกันพิลึก



หน้าตาของเมนูเค้า เก่าจนเปื่อย ไม่รู้ว่าขายกันมานาน หรือเป็นเพราะความชื้นกัดกิน แต่ดูขลังเข้ากับบรรยากาศมาก
แต่เมนูเค้าเข้าใจง่ายครับ มีภาษาอังกฤษกำกับให้ มีป้ายราคาบอกชัดเจนไม่ต้องห่วงเรื่องโดนฟันหัวแบะ
ร้านอาหารที่นี่ส่วนมากที่เราได้เข้าไปทานจะมีภาษาอังกฤษกำกับเสมอครับ ว่าใส่อะไรบ้าง ผมว่ามันดีมากจริง ๆ
สำหรับนักท่องเที่ยว เพราะเราสามารถคาดเดาได้ว่ามันจะออกมาแบบไหน (ยกเว้นกาแฟไข่ครับที่ผมนึกมันไม่ออก)



จากนั้นเราก็เลือกเมนูครับ ที่นี่เค้าจะให้เราเลือกจากเมนูก่อนว่าจะกินอะไร แล้วเค้าถึงจะเอาไปเสริฟครับ
ทีแรกเราก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมมันไม่ให้เรานั่งก่อนวะแล้วค่อยเอาเมนูมาให้แล้วมารับออเดอร์



น้องพนักงานตาแป๋ว ๆ รับออเดอร์ตามที่เราบอกแล้วก็ชี้ ๆ กันในเมนู หน้าตาน้องบ่งบอกออกมาเป็นคำพูดได้ว่า
"เหลียวลื้อรู้ ลื้อรอเหลียว"



หลังจากสั่งกาแฟกันเสร็จ น้องชี้ให้ไปหาโต๊ะนั่งกันได้เลย เดี๋ยวเสร็จแล้วจะไปเสริฟให้ที่โต๊ะ
ตอนนี้ผมถึงบางอ้อเลยทีเดียวว่าทำไมมันถึงไม่ให้เรามานั่งก่อนแล้วค่อยเอาเมนูมาให้เลือก
สาเหตุที่เราต้องสั่งกันก่อนเพราะโต๊ะของเรามันอยู่ที่ชั้นดาดฟ้าครับ เราต้องเดินขึ้นตึกไปสามสี่ชั้น
นั่นแปลว่าถ้าไม่สั่งเอาไว้ก่อนเค้าต้องเดินขึ้นลงแบบนี้หลายรอบ พนักงานเสริฟอาจหมดแรงร่วงตกบันได
ตั้งแต่ครึ่งวันแรก หนักสุดอาจถึงขั้นมรณภาพกันเลยทีเดียว เพราะทางขึ้นลงมันดูไม่ปลอดภัยเท่าไหร่



พอขึ้นมาปุ๊บ อื้อหือ วิวสวยใช้ได้ครับ มีฟรั่งนั่งกันอยู่สองสามโต๊ะ พวกฟรั่งเค้านั่งกันตากแดดครับ
ทั้งที่ร้อนจะตายห่า แต่ยอมรับเลยครับเรื่องวิว มันมองเห็นทะเลสาบฮว่านเกี๊ยมด้วย



นี่ครับหนึ่งในภาพที่เราเห็นจากข้างบน เราสามารถมองเห็นท้าปสั่ว หรือหอคอยตะพาบ ที่อยู่กลางน้ำได้ด้วย
แม้แต่อยู่บนดาดฟ้าเสียงแตรรถก็ยังดังไม่เคยขาดสาย ลั่นไปทุกหัวระแหง แต่เหมือนเราเริ่มจะชินกับมัน
เวลาผ่านไปช้า ๆ เรานั่งเอนกายหลังจากเดินกันมาไม่หยุดตั้งแต่ออกจากโรงแรม สายลมเอื่อย ๆ
หอบไอร้อนจากผิวคอนกรีตที่แอ่นอกรับแสงอาทิตย์ สิ่งเดียวที่ทำให้เราสดชื่นได้กำลังจะมา



ผ่านไปครู่เดียว กาแฟไข่ที่พวกเราสั่งไว้ก็มาเสริฟ ส่วนผมไม่กินกาแฟผมเลยสั่งโกโก้ไข่ นี่แหละครับหน้าตาของมัน
ผมถึงบอกไงว่าผมจินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่ามันจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วมันก็ไม่เหมือนที่ผมคิดซะด้วยสิ
ทีแรกผมคิดว่าอาจเป็นกาแฟชงแล้วตอกไข่ดิบลงไป เป็นไข่ดิบ ๆ ลอยตุ๊บป่องอยู่ในแก้วกาแฟ แต่คิดไปคิดมา
มันจะใจร้ายเกินไปหน่อยถ้าเป็นไข่ดิบ ความคิดต่อมาผมเลยคิดว่ามันอาจเป็นไข่ลวกแล้วเอามาคนให้เข้ากัน
แต่สุดท้ายที่เดามาทั้งหมดผิดหมดเลยครับ เพราะมันคือไข่ปั่นครับ เค้าเอาไข่มาตีเหมือนครีม เป็นฟอง ๆ ฟู ๆ
แล้วเอามาใส่โปะหน้ากาแฟเหมือนพวกวิปครีมครับ แต่จะเหลวกว่า จบครับ กาแฟไข่ ! ง่ายกว่าที่คิด
ไม่รอช้าเราต่างก็คว้าแก้วมาดูด ไข่นี่ไข่จริง ๆ ครับ ยังคาว ๆ นี่แหละ แค่มันเป็นฟอง ๆ แค่นั้นเอง
เรื่องรสชาติก็เหมือนกาแฟกับโกโก้ทั่วไปครับ หวาน ๆ แต่เพิ่มมาคือความคาว ที่ได้มาจากไข่ดิบ ๆ
ผมกินอย่างพะอืดพะอมครับ ทั้งโต๊ะมีเพียงคนเดียวที่บอกอร่อยแปลก ๆ ดี แต่สำหรับผม ใครก็ได้พากูไปอ้วกที



โต๊ะเรามีคนสั่งกาแฟแบบไม่ไข่ด้วยนะครับ รสชาติก็กาแฟเย็นบ้านเรานี่แหละ ถ้าสังเกตดูดี ๆ จะเห็นว่าบ้านเมืองเค้า
ไม่ค่อยใส่น้ำแข็งกันเหมือนบ้านเรานะครับ บ้านเราจะเน้นอัดน้ำแข็งกันเข้าว่า มันเลยเย็นเจี๊ยบชื่นใจ
ผมไปมาหลายประเทศเค้าจะใส่น้ำแข็งแบบแค่พอให้เย็น ๆ แต่ไม่เย็นฉ่ำชื่นใจ เวลากินมันเลยรู้สึกขัด ๆ ใจชอบกล



หลังจากกินกันเสร็จเราก็ออกเดินทางกันต่อครับ จริง ๆ ผมว่ามันอาจอร่อยก็ได้นะถ้าเทียบจากคะแนนแล้วก็รีวิว
แต่มันอาจไม่ถูกปากพวกเราก็แค่นั้นเอง แต่ที่แน่ ๆ วิวสวยครับ ถ้ามาเช้า ๆ แดดอ่อน ๆ ได้มองวิว มีลมเย็น ๆ
ผมว่ามันเป็นที่ที่ยอดเยี่ยมเลยแหละ



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.94 Chrome 50.0.2661.94


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2559 23:59:28 »



ระหว่างทางไปโบสถ์

หลังจากกาแฟไข่ผ่านลิ้นลงสู่กระเพาะพร้อมกับอาการพะอืดพะอมของผม ตอนนี้ผมอยากได้น้ำมาล้างคอมาก
ผมเชื่อว่าผมคงลิ้นไม่ถึงพอจะกินของพวกนี้ เชื่อไหมครับ กาแฟไข่ของเวียดนามนี่ดังมาก มากแบบมากโคตร ๆ
ถึงขั้นที่ว่ามันติด 1 ใน 10 เครื่องดื่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกกันเลยทีเดียว เป็นแค่ 1 ในสองประเทศของเอเชียที่ติดโผ
และเป็นประเทศเดียวของอาเซียนที่ได้ติดอันดับ นอกจากนี้เวียดนามยังเป็นผู้ส่งออกกาแฟมากที่สุดเป็นที่ 2 ของโลก
และเมล็ดกาแฟเวียดนามนี่ถือว่าเป็นกาแฟอันดับท็อป ๆ เลยแหละ คุณต้องไม่เชื่อแน่ถ้าผมบอกว่าเวียดนามเพื่อนบ้านเรา
ส่งออกกาแฟมากกว่าปีละ หนึ่งล้านสี่แสนตัน !

เนื่องจากกาแฟของที่นี่มีรสชาติยอดเยี่ยมอยู่แล้ว พอได้ความกลมกล่อมของไข่ที่กินแล้วเหมือนทีรามิสุ ใครกินจึงติดใจ
ส่วนที่เป็นฟองไข่ เหมือนฟองนมที่ผมบอกของกาแฟไข่นี่เป็นการผสมผสานระหว่าง ไข่แดง นมข้น เนย น้ำตาล กับชีส
มันมีกรรมวิธีมากกว่าที่คิด แต่พระเจ้าช่วย มันถูกปากใครก็ช่างแต่มันไม่ถูกกับผมซะเหลือเกิน



เราเดินออกจากร้านกาแฟเพื่อไปยังโบสท์เซนต์โจเซฟ (st. Joseph Cathedral) ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไปตามแผน
โดยเลือกใช้เส้นทางตามแผนที่ด้านบน ซึ่งในกรอบสีดำคือร้านกาแฟครับ เผื่อใครสนใจอยากไปลองโดนดูสักตั้ง



ผมเดินพะอืดพะอมมาตามเส้นทาง แดดส่องหน้า เหงื่อหยดติ๋ง แถมร่างกายเรียกหาน้ำ อยากได้น้ำเย็น ๆ มาล้างคอ
อยากดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ เผื่อว่าอาการพะอืดพะอมมันจะดีขึ้นบ้าง



เราเดินกันมาพักนึงจนมาเจอกับอะไรที่มันสะดุดตา บนฟุตบาทมีวัยรุ่นเวียดนามจำนวนมากนั่งล้อมวงกินอะไรสักอย่าง
กินกันจนเราเดินกันได้ลำบาก และมันคงต้องอร่อยแน่เลยคนมันถึงกินกันเยอะขนาดนี้ ระหว่างที่ผมยืนซื้อน้ำเย็น
สาว ๆ ก็ให้ความสนใจกับร้านที่ขายอะไรที่ว่านี่



ที่หน้าร้านมีกระบะอะไรสักอย่าง ดูแล้วเป็นของที่เค้าต้องกำลังล้อมวงกินกันแน่ ๆ สาว ๆ มองหน้ากันแล้วตัดสินใจสั่ง
เมื่อเราอยู่ในจุดที่ไม่มีใครสื่อสารอะไรกับเราได้รู้เรื่อง สิ่งที่ทำให้การสื่อสารนั้นไม่ติดขัดก็คือ ภาษากาย
สาว ๆ ชี้ไปที่บรรดากระบะ แล้วชี้นิ้วขึ้นฟ้า เป็นภาษาสากลที่เข้าใจได้ในทันทีว่า "กูเอาไอ้พวกนี้เนี่ย 1"
แม่ค้าชี้ไปที่เก้าอี้ตัวเท่ากับเก้าอี้ซักผ้าที่วางอยู่บนพื้นฟุตบาท บอกความหมายว่า "พวกมึงไปหยิบมันมานั่งซะ"
เราบริการตัวเองแล้วนั่งลงแบบไม่แคร์ผู้คนที่สัญจรไปมา เราก็แค่ทำตามคนที่เค้าทำกันก่อนหน้า มันก็แค่นั้น



เร็วมากชนิดที่ตดยังไม่ทันหายเหม็น อาหารชนิดหนึ่งก็ถูกใส่มาในกระทงพลาสติก พร้อมไม้เสียบลูกชิ้นสองอัน
หน้าตาแปลก ๆ แต่คล้ายกับยำอะไรสักอย่าง เราลองเอาตะเกียบ (ไม่ลูกชิ้น) คีบขึ้นมากิน แล้วเราก็ได้พบว่า
เฮ้ย นี่มันอร่อยอีกแล้ว ! บ้านนี้เมืองนี้มันมีแต่ของอร่อยรึยังไงนะ ทำไมมันผิดกับร้านเวียดนามที่บ้านเราจัง
ในเวลาไม่นานทุกอย่างก็หมดเกลี้ยง



ผมกินของที่ว่าไปไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมสดชื่นขึ้นมากเพราะน้ำเย็น ๆ ที่ซื้อมาจากข้างทางเมื่อครู่
อาหารที่ว่าเรามานั่งคุยกันว่ามันคืออะไรวะ อ่านก็ไม่ออก ภาษาอังกฤษก็ไม่มีบอก แต่มันก็อร่อยจริง ๆ นั่นหละ
เท่าที่ดูมันมีเหมือนเนื้อฝอย ๆ ปลาหมึกเส้น ๆ แบบปลาหมึกเต่าทอง แล้วก็อะไรสักอย่างรสชาติเหมือนส้มแผ่น
ผักโรย ๆ ไข่นกกระทา แล้วก็น้ำปรุงรส





อันนี้บรรยากาศภัตตาคารริมทางที่ผมนั่งกินครับ เรานั่งเหมือน ๆ เค้านี่แหละ จะเห็นได้ว่าเค้านั่งกันไม่แคร์สื่อเลย
ไม่ได้มีแค่นี้นะครับ รอบ ๆ ตัวยังมีอีกหลายวง ผมบอกแล้วฟุตบาทบ้านนี้เมืองนี้เค้ากว้างจริง
กินกันตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน ยันวัยชรา อารมณ์เหมือนกินยำรถเข็นในกทม.เป๊ะเลย แต่ทุลักทุเลกว่า


ผมเก็บข้อสงสัยเกี่ยวกับอาหารชนิดนี้ จนกระทั่งผมได้เป็นเพื่อนกับไกด์ของกลุ่มเรา (ซึ่งจะได้เห็นในโพสท์ถัด ๆ ไป)
แล้วได้มีโอกาสถามเมื่อเร็ว ๆ นี้เองว่ามันคืออะไร พร้อมกับส่งภาพไปให้เค้าดู แล้วก็ได้คำตอบมาดังนี้ครับ



ที่โน่นเค้าเรียกกันว่าก๋อยครับ เป็นพวกยำ ซึ่งตอนที่เรายังไม่รู้ชื่ออาหาร เราเรียกมันว่ายำปลาหมึกแห้งครับ



ถ้านับจากจุดที่เรานั่งกิน อีกไม่กี่สิบเมตรก็จะถึงโบสท์แล้ว เมื่อท้องอิ่มมีเรี่ยวมีแรงเราจึงเริ่มเดินกันต่อ



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.102 Chrome 50.0.2661.102


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2559 11:24:38 »



โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph Cathedral)

หลังจากเรายัดยำปลาหมึกลงท้องสนองความใคร่ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย (ผมกินไปนิดเดียว แต่ซัดโฮกน้ำไปสามขวด)
เราก็เดินลัดเลาะจากไอ้ร้านที่ว่า เลี้ยงขวาไปนิดเดียว



ชะแหว่ง ! ภาพเบื้องหน้าเราคือโบสถ์เซนต์โจเฟซ แหม่นึกว่าจะไกล ที่ไหนได้อยู่แค่ปลายจมูกเรานี่เอง
สำหรับโบสถ์นี้ก็เหมือนแลนด์มาร์คหนึ่งของฮานอยเลยครับ อารมณ์ไปเที่ยวอยุธยาแล้วเจอวัดพนัญเชิงนั่นแหละ
เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำของที่นี่เลยครับเพราะที่นี่นับเป็นโบสท์ที่เก่าที่สุดในฮานอย
อันเนื่องมาจากยุคล่าอาณานิคม ตอนที่ฟรั่งเศษได้เข้าปกครองเวียดนาม ด้วยความที่จะปฏิรูปประเทศใต้ปกครองให้ทันสมัย
ฟรั่งเศษจึงทำลายสิ่งก่อสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เกี่ยวกับความเชื่อของชาวเวียดนามไปมากโข
และหนึ่งในนั้นคือบริเวณนี้เลยครับ ก่อนหน้าที่จะเป็นโบสถ์ ที่ตรงนี้เป็นที่ตั้งของเจดีย์บ่าวเทียน ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยครับ
เจดีย์บ่าวเทียนถูกทำลายลงแล้วสร้างเป็นโบสถ์เซนต์โจเฟซแทน นี่จึงเป็นแลนด์มาร์คที่มีทั้งความสวยงามและน่าสะเทือนใจ



เมื่อมาถึงที่นี่สาว ๆ ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับสถานที่ประวัติศาสตร์ แต่เรื่องของเรื่องคือพอเราไปถึงปุ๊บ ประตูโบสถ์ก็ปิดปั๊บ !
ปิดมันดื้อ ๆ ปิดมันต่อหน้าต่อตา ปิดแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมได้แต่ยืนอ้าปากค้าง นี่กูซวยขนาดนี้เลยหรอเนี่ย
เคยไปเที่ยววัดดัง ๆ ตอนห้าโมงเย็นไม๊ครับ ที่แบบพอเราไปถึงปุ๊บ หลวงพี่มาปิดประตูโบสถ์ใส่หน้าเรา อารมณ์เดียวกันเลย







แล้วทำไงหละทีนี้ ก็เดินถ่ายข้างนอกไปสิครับ แหม่ ผมเดินถ่ายรูปอยู่แป๊บนึง หันมาอีกทีสามสาวหายไปไหนกันหมดวะ ?
แล้วความซวยแบบช้อนหักจวักงอของผมมันคือการที่ผมเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่มีมือถือใช้ เพราะผมทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่ไทย
เพื่อให้ลูกค้าติดต่องานได้

หันซ้ายหันขวาไม่เจอใคร เดินวนสองรอบก็ไร้วี่แวว ผมบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ ท่ามกลางบ้านเมืองที่วุ่นวาย
และเรากำลังโดดเดี่ยว จำไม่ได้แม้แต่โรงแรม ไม่ได้พกมากระทั่งพาสปอร์ต (โรงแรมยึดไว้) ความคิดมากมายผุดขึ้นมา
ท่ามกลางเมืองหลวงที่กว้างใหญ่ในต่างแดน กับตัวเราที่ห่วยเรื่องภาษาอังกฤษชนิดที่สื่อสารกับคนอื่นได้ลำบาก
แถมเราดันอยู่ในเมืองที่สกิลด้านภาษาของคนในเมืองนี้ก็ไม่ต่างจากเรามากมายนัก รู้สึกเหมือนเป็นต่างด้าวหลบเข้าเมือง
เอกสารอะไรก็ไม่มี ประกอบกับหน่วยก้านแล้วเราอาจโดนพาตัวไปเป็นแรงงานเถื่อนตามเรือประมงผิดกฏหมายได้ไม่ยาก

สิ่งที่ผมเลือกจะทำคือ อยู่เฉย ๆ ครับ อยู่นิ่ง ๆ ไม่กระดิกไปไหน ถ้าผมเป็นฟรั่งก็คงอารมณ์แบบมาเที่ยวเมืองไทย
แล้วพลัดหลงกับเพื่อนที่วัดพระแก้ว ทำได้แต่รอจริง ๆ ผ่านไปห้านาทีเริ่มใจหวิว คิดในใจว่าเอ๊ะ ไอ้สามคนนั้น
มันจะจำได้ไม๊นะว่าคลาดกันครั้งล่าสุดที่นี่ มันจะย้อนกลับมาตามหาเราไม๊นะ หรือมันจะไปเที่ยวฮาลองเบย์
โดยลืมเราไว้ในฮานอย !

เวลาผ่านไปนานพอสมควรในที่สุดผมก็เจอละไอ้สามสาวที่ว่ากำลังเดินออกมาจากข้างโบสถ์จ้า โธ่ปล่อยกูใจตกไปอยู่ตาตุ่ม
อยู่ซะตั้งนาน สรุปก็คือในโบสถ์กำลังจัดพิธีแต่งงานกันอยู่เลยปิดประตูหน้า แต่ประตูข้างเปิดไว้สาว ๆ เค้าเลยเดินเข้าไปดู
เป็นหนึ่งในเหตุการณ์เหวอแดกที่สุดของผมในทริปนี้เลยก็ว่าได้

สาว ๆ เดินเกาะกลุ่มกันมา แล้วเห็นผมยืนอยู่ลานด้านหน้าโบสถ์ หนึ่งในนั้นถามผมว่า "อ้าวมายืนอะไรตรงนี้"
อยากจะตอบกลับไปเหลือเกินว่า "ก็ยืนรอมึงนี่แหละ กูกลัวจนจะร้องไห้อยู่แล้ว" แต่ก็ได้แค่คิดไม่ได้ตอบกลับไป
จากนั้นผมจึงเดินเข้าไปด้านในโบสถ์จากทางประตูข้าง ยอมรับเลยว่าผมไม่เคยเห็นงานแต่งงานแบบชาวคริสต์มาก่อน
แถมครั้งแรกที่ได้เห็นมันก็อยู่ในสถานที่สุดอลังการซะด้วย งานนี้เลยไม่พลาดที่จะเก็บภาพสวย ๆ ไว้ประดับความทรงจำ



คนเข้าร่วมเยอะพอสมควรครับ ด้านในโบสถ์เงียบมาก มีเพียงเสียงพูดของหลวงพ่อที่ดังกังวานไปทั่ว ดูศักดิ์สิทธิ์มาก





ดูความสวยสดงดงามของลวดลายด้านในสิครับ ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว



ภาพเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวครับ เนื่องจากดูเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนเงียบกริบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง
ผมเลือกจะยิงภาพไกล ๆ จากด้านหลังสุดของโบสถ์ครับ ทั้งที่ใจอยากเข้าไปถ่ายภาพใกล้ ๆ ก็ตาม


จบกันไปแล้วกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของฮานอย สถานที่เก่าแก่ในระดับหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง
ใครไปฮานอยต้องไม่พลาดที่จะไปเยือนที่นี่ครับ



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.102 Chrome 50.0.2661.102


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2559 11:47:57 »



กราฟิตี้โจ๊ก





ออกจากโบสถ์เซนต์โจเซฟเราก็เดินลัดเลาะถนนแวะนั่งชิลที่สวนสารธารณะอะไรสักแห่ง ดูเหมือนเป็นสถานที่สำคัญ
เพราะมีป้ายใหญ่ ๆ พาดไว้เหนือประตูของสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ที่นั่น มีคนแวะมานั่งพักไม่ขาดสาย บ้างก็ไปนั่งเล่นในสนามหญ้า
หลังจากเรานั่งพักกันจนหายเหนื่อย พวกเราเดินกันต่อเพื่อไปเตรียมตัวรอชมหุ่นกระบอกน้ำที่เราซื้อตั๋วทิ้งไว้
ตั้งแต่ก่อนเข้าทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม ระหว่างทางเราผ่านซอย ๆ นึงมีของกินแบบนั่งเกะกะหลายต่อหลายร้าน





ที่บอกว่าเกะกะคือเค้านั่งเก้าอี้เล็ก ๆ ตามข้างทางเหมือนตอนเรากินยำปลาหมึก ในซอยที่ว่ามีทั้งของปิ้งของย่าง เฝอ (ก๋วยเตี๋ยว)
บาแก็ต (บ้างก็เรียกปาเต) แล้วก็ของกินอีกสารพัด



แต่ที่สะดุดตาเราและมีคนนั่งกินอยู่เยอะมากมันคือร้านขายโจ๊ก ! เป็นร้านดูง่อย ๆ ไม่มีอะไร มีแค่หม้อโจ๊กใหญ่ ๆ วางไว้
แล้วก็มีถาดใส่เครื่องที่เอาไว้กินกับโจ๊ก พวกหมู พวกไก่หยอง ดูสิ้นคิดมาก ขัดแย้งกับปริมาณคนกินเมื่อเทียบกับร้านอื่น





แต่พอทำออกมามันผิดคาด เราสั่งกันมาคนละชาม มันเป็นโจ๊กหน้าตาน่าทานราคาไม่ถึงสามสิบบาทไทย เนื้อเนียนละเอียด
กลิ่นหอมของข้าวนี่เตะจมูกสุด ๆ หอมจริงไม่ติงนัง ละมุนลิ้นจนตาพริ้ม แถมยังใส่ปาท่องโก๋ทอดหอม ๆ มัน ๆ เข้ากันดี
โรยด้วยไก่หยองรสเค็มกว่าบ้านเราเยอะ

สำหรับเครื่องปรุงก็มีแค่พริกไทยให้เราโรยแค่นั้นเอง แต่เชื่อเถอะ เห็นดูเรียบง่ายแบบนี้แต่มันอร่อยโคตร อร่อยจนว๊าว
ทุกอย่างมันเข้ากันพอดิบพอดีลงตัวมาก ส่วนชื่อร้านกราฟิตี้โจ๊กพวกผมตั้งให้เองแหละ เพราะที่นี่ไม่มีชื่อร้าน
แต่ด้านหลังมันมีรอยพ่นกำแพง เป็นลวดลายกราฟิตี้ เราเลยตั้งชื่อนี้ให้



ผมบอกพิกัดไม่ถูกหรอก แต่จะบอกว่ารสชาติต่างจากสภาพร้านแบบสุดขั้ว เลอค่าสุด ๆ ร้านนี้นี่มันผ้าขี้ริ้วห่อโคลนชัด ๆ !!




บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.102 Chrome 50.0.2661.102


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2559 17:35:59 »



แวะทานอาหารค่ำ

หลังจากที่กินโจ๊กกันเสร็จ ซึ่งยังไม่อิ่มกันหรอกชามแค่นี้เมื่อเทียบกับพลังงานที่เสียไปทั้งวัน เราเลือกจะเดินเล่นกันที่ถนนคนเดิน
ไม่ได้มีแค่เมืองไทยนะครับที่นิยมถนนคนเดิน ต่างชาติเพื่อนบ้านเราก็นิยมไม่แพ้กัน และเผื่อฟลุ๊ค ๆ เราจะได้แวะหาอะไรกินด้วย



ตอนนี้เราดูนาฬิกากันแล้วเหลือเวลาอีกเกือบ ๆ สองชั่วโมงครึ่งแน่ะกว่าการแสดงหุ่นกระบอกน้ำจะเริ่ม ถนนคนเดินเป็นตัวเลือก
ที่ดีเพราะมันอยู่ใกล้กับทั้งที่พักเรา และใกล้กับทั้งโรงแสดงหุ่นกระบอกน้ำด้วย



หลังจากเดินลัดเลาะกันไม่นาน (โดยแทบไม่ต้องเปิดแผนที่ด้วย) เพราะเราเดินกันจนจับจุดและเริ่มจำถนนหนทางแถวนี้กันได้
ในเวลาไม่นานเราก็มาถึงจุดหมาย



ป้ายไฟบอกว่าที่นี่ Tuyen Pho Di Bo Walking Street พาดเด่นเห็นแต่ไกล บรรทัดที่เหลือจับใจความไม่ได้
เพราะเป็นภาษาเวียดนาม เราเดินเข้าไปข้างใน ร้านรวงข้างทางเพิ่งจะเริ่มตั้งเพราะยังหัวค่ำอยู่ รถรายังขวักไขว่
ตระหนักได้ทันทีว่าเรามากันผิดเวลาไปนิดนึง





แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอยู่ดี เพราะเราเลือกที่จะเดินชมบรรยากาศกันแบบไม่เร่งรีบ พร้อมกันนั้นสายตาก็สอดส่องมองหาของอร่อย
จริงอยู่ที่เรากินอะไรเล่น ๆ ระหว่างทางกันมาเยอะ แต่อาหารค่ำมื้อหลักเรายังไม่ได้กินกันเป็นกิจจะลักษณะกันเลย

เดินไปเดินมาก็เจอกับร้านที่คิดว่าน่าจะฝากความหิวเอาไว้ได้ ร้านที่คนกินเยอะจนเต็มร้าน ผิดกับร้านรอบ ๆ ที่คนจะบางตากว่า
เราเข้าไปในร้านโดยไม่รู้ว่าเค้าขายอะไรบ้าง และตอนเราเข้าไปมีโต๊ะว่างแค่ตัวเดียว (ร้านขนาด 1 ห้องแถวครึ่ง)



มีทั้งชาวเวียดนามแล้วก็ชาวต่างชาติที่เข้ามากินพร้อมกับหวดเบียร์กันแต่หัววัน บรรยากาศร้านคึกคักกว่าที่คิด
ต่างคนต่างคุยกันอย่างออกอรรถรส เรียกได้ว่าไม่ต้องเกรงใจใครเลย อาจเป็นเพราะร้านแคบด้วยเลยรู้สึกล้งเล้งเป็นพิเศษ



เมนูมีมากมายครับ ง่ายหน่อยตรงที่ใต้ภาษาเวียดนามมีภาษาอังกฤษกำกับ เราเลยรอดตัวไม่ต้องสั่งกันมั่ว ๆ
เมนูที่ให้มาอาหารหลากหลายมากครับ เล่มหนาเอาเรื่องเลยทีเดียว เราเลือกจะสั่งกันคนละอย่างสองอย่างแล้วกินรวมกัน



หลังจากรับออเดอร์ไปไม่นาน อาหารก็ลงเสริฟ ต้องบอกเลยว่าเป็ดย่างร้านนี้เลอเลิศมากมาย รสออกเค็มนำแต่มีความหอม
อร่อยลงตัวเป็นเป็ดเนื้อไม่เยอะเท่าเป็ดฟาร์มบ้านเรา คือให้ลืมไปเลยว่าจะเจอเป็ดอ้วน ๆ หนังหนา ๆ ไขมันเยอะ ๆ เนื้อฟู ๆ
เพราะเป็ดที่นี่อารมณ์คล้าย ๆ ไก่บ้านครับ คือเนื้อน้อยแต่แน่น เสริฟมาแยกกับน้ำราดครับ แต่เชื่อเถอะเจอจานนี้เข้าไป
เป็ดเอ็มเคนี่ไปไกล ๆ เลย ของเค้าอร่อยนัว หวานมันเค็มผสมกับความหอมของเครื่องเทศและน้ำราดนี่โคตรจะเพอร์เฟกต์
อร่อยชนิดหาตัวจับได้ยากในเมืองไทยเลยหละครับ



นอกจากนี้ก็ยังมีแกงกะหรี่รสชาติบอกไม่ถูก มันอร่อยมากแต่ไม่เหมือนรสชาติแบบที่บ้านเราคุ้นชิน รสเค้าจะอ่อนกว่า
แต่กลิ่นของเครื่องแกงกะหรี่เค้าจะเข้มข้นกว่า



ตามมาด้วยสตูว์หมูนุ่ม ๆ ที่เลอค่าไม่แพ้กันรสชาติเค็มนำ หวานอ่อน ๆ ตาม หอมเข้มข้น กลิ่นเตะจมูกมากครับชามนี้
หมู่ที่เคี่ยวจนเปื่อย กับน้ำข้น ๆ ทานกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยมาก พูดถึงข้าวสวย ข้าวเวียดนามอร่อยไม่แพ้เราเลยครับ
ไม่ต่างจากข้าวหอมมะลิชั้นดีเลย แล้วที่สำคัญเราสามารถหาทานข้าวเม็ดนิ่ม ๆ หอม ๆ ได้ทั่วไปครับ ผิดจากบ้านเรา
ที่ถ้าเป็นร้านข้างทางมักจะลดต้นทุนใช้ข้าวถูก ๆ เม็ดแข็งกระด้าง เวลาเสริฟก็แปลกตาครับ เค้าจะไม่ได้ใส่มาในโถข้าว
แต่เค้าจะตักใส่จานมาพูน ๆ แล้วมีช้อนใหญ่ ๆ ให้มาตักแบ่งกันเอาเองครับ



และหนึ่งในเมนูที่ถูกใจผมที่สุดของมื้อนี้คือข้าวผัดครับ ข้าวผัดหอม ๆ รสชาติกลาง ๆ ใส่ผงขมิ้นนิดนึงมันลงตัวมาก
ยิ่งทานกับเป็ดกับแกงต่าง ๆ นะ มันยิ่งเป็นตัวที่ชูรสให้อร่อยขึ้นอีกมาก พูดกันตรง ๆ ว่าประทับใจชนิดที่สั่งเพิ่มมาอีกจาน





หลังจากนั้นก็หนุบหนับ ๆ เสียงช้อนกระทบจาน ไม่ขาดสาย เรากินกันอย่างมีความสุข เราว๊าวกับรสชาติอาหารของที่นี่
ไม่แปลกใจว่าทำไมคนอื่น ๆ ในร้านถึงส่งเสียดังกัน บางทีการเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้วมาได้ทานอาหารอร่อย ๆ
มันก็ถือเป็นการพักผ่อนที่สุดยอดไม่แพ้การพักผ่อนรูปแบบอื่น ๆ เลย

ไม่ผิดหวังเลยบ้านนี้เมืองนี้ เสียดายอย่างเดียวจริง ๆ ที่ไม่ได้จำชื่อร้าน แต่ถ้าให้ไปอีกก็ไปถูกนะ !!
ร้านติด ๆ กับ Tran Hotel เยื้องกับโรงแรม May De Ville



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.102 Chrome 50.0.2661.102


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2559 18:51:33 »



การแสดงหุ่นกระบอกน้ำ ของเวียดนาม



ทานข้าวเสร็จประทับใจกันไม่หาย เราเดินไปคุยไปเรื่องอาหารพร้อมชมตลาดริมทางที่มีผู้คนมากมายเริ่มมาตั้งร้าน
แล้วจากรูปเห็นไม๊ครับ การตั้งร้านของที่นี่เค้าตั้งแบบไม่สนใจครั้งทั้งนั้น กูตั้งมันกลางถนนถ้าไม่อยากขับชนมึงหลบกันเอง
เป็นการตั้งร้านค้าที่โคตรอินดี้ที่สุดในโลกหล้าตั้งแต่ได้พบเห็นมาเลยทีเดียว



ผ่านไปไม่นานนักเราก็ย้อนกลับมาที่เดิมเป็นรอบสี่สามของวันซึ่งก็คือบริเวณทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม
ผู้คนพลุกพล่านราวกับห้าแยกลาดพร้าวแห่งกรุงฮานอย ตรงนี้เป็นจุดที่ผู้คนสัญจรไปมาเยอะมากครับ
ทั้งกลางวันกลางคืนไม่ต่างกันเลย



เห็นอะไรในรูปไม๊ครับ ? ผมอยากให้สังเกตกันดี ๆ ถึงเหตุผลที่ผมบอกว่าข้ามถนนที่นี่เหมือนเอาชีวิตไปทิ้ง
ถ้าลองมองดี ๆ จะเห็นว่าผู้คนบนถนนกับปริมาณรถมากพอ ๆ กัน แล้วก็นี่แหละครับความโคตรอันตรายของมัน
คือระหว่างเดินข้ามอยู่ไอ้รถที่ผ่านมาอาจหลบเราแล้วไปชนคนอื่น หรือมันอาจหลบคนอื่นแล้วมาชนเราก็ได้
ที่สำคัญไม่ต้องหวังพึ่งเสียงแตรครับ เพราะมันดังมาจากรอบตัวคุณ ๆ นั่นแหละ จนไม่รู้ว่ามันบีบให้ใครหลบกันแน่

พี่ที่โรงแรม Golden Place ที่เราเข้าพักเค้าสอนวิธีเดินข้ามถนนให้เรามาครับ พี่เค้าบอกว่าการจะข้ามถนนให้ปลอดภัย
ให้ยึดเอาไว้สามข้อครับ

1. ห้ามวิ่ง
2. ห้ามหยุด
3. ห้ามถอยหลังกลับ


เค้าบอกให้ข้ามไปเลยเสมือนว่าบนถนนไม่มีรถ เดี๋ยวคนขับขี่รถเค้าจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าเค้าจะหลบไปทางไหน
ผมได้แต่คิดในใจ นี่ถนนนะมึงไม่ใช่สวนดอกไม้ แต่ในท้ายที่สุดมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ครับ
คนที่นี่เค้านึกอยากจะข้ามเค้าก็ข้าม เดี๋ยวรถที่วิ่งเค้าจะหลบกันเอง หลบไม่พ้นเค้าก็เบรคมันแค่นั้นจริง ๆ

และผ่านไปครึ่งวันเราก็เริ่มซึมซับวัฒนธรรมการเดินข้ามถนนของที่นี่ครับ เหมือนกำลังก้าวข้ามหุบเขาแห่งความตาย
ที่มียมบาลนั่งยอง ๆ เอามือท้าวคางรออยู่ตามริมฟุตบาท

และเค้าก็คงเป็นแบบนี้กันจริง ๆ ครับ เพราะผมแทบไม่เคยได้ยินว่ามีอุบัติเหตุชนคนข้ามถนนเลย ทั้งที่เป็นแบบนี้



เราเลือกจะเดินข้ามถนนมาริมทะเลสาบฮว่านเกี๊ยมก่อนครับ เพราะเรามาถึงก่อนเวลาแสดงพอสมควร จึงเดินเตร็ดเตร่
ถ่ายรูปเล่นอยู่แถวนั้น ซึ่งก็มีวัยรุ่นหนุ่มสาวเวียดนามหลายคน หลายคู่มาถ่ายรูปกันครับ บรรยากาศสวยดี



จากริมทะเลสาบเราสามารถมองเห็นวัดหง็อกเซินได้ด้วยครับ





และเพื่อให้สมชื่อกับสะพานแสงอาทิตย์ที่ข้ามไปยังวัดหง็อกเซิน สะพานจึงมีการจัดแสงไว้ด้วยครับ แดงเจิดจ้าสะใจ
ถ่ายภาพไกล ๆ ก็สวย หรือจะไปถ่ายบนสะพานก็ได้เช่นกัน เป็นอีกที่ถ่ายรูปยามค่ำคืนของฮานอยที่ผมขอแนะนำ

เราเดินเล่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามเพื่อไปรอชมการแสดง เรานั่งรอในร้านกาแฟของโรงละคร
สั่งกาแฟสดมากินกันชิล ๆ เพราะโปรแกรมสุดท้ายของวันนี้กำลังจะหมดลงแล้ว



และแล้วก็ถึงเวลาเข้าชม สำหรับที่นี่ไม่มีข้อห้ามเรื่องการถ่ายภาพใด ๆ แต่มีเงื่อนไขตรงที่ว่าถ้าอยากถ่ายภาพ
คุณก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งเค้าเก็บเพิ่มที่ 20,000 ด่อง หรือคิดเป็นเงินไทยก็สามสิบบาทปลาย ๆ ซึ่งผมว่ามันก็แฟร์ดี
ราคาไม่แพง สามารถถ่ายกันได้เต็มที่ ไม่ต้องแอบถ่าย ไม่ต้องมาหวงอะไรกันมากมาย

จริง ๆ แล้วระบบนี้ผมยังอยากให้มีในบ้านเราเลยเวลาไปดูการแสดงต่าง ๆ ผมว่ามันเป็นการช่วยโปรโมตอย่างหนึ่ง
(จากความคิดเห็นส่วนตัว) หลังซื้อบัตรสำหรับตากล้องแล้วเราก็เดินเรียงกันเข้าสู่สถานที่แสดง



ภายให้ห้องแสดงบรรยากาศคุ้นตาเหมือนกับห้องประชุม คนมากมายเข้ามาในห้องจัดแสดงอย่างรวดเร็ว
คนเข้าชมมากกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ หลังประตูเปิดไม่นานคนก็มากันแน่นโรง ทั้งที่ไม่ใช่วันหยุดใด ๆ



ทันทีที่ผู้เข้าชมมากันครบ แสงไฟก็หรี่ลง ไม่นานนักดนตรีก็เริ่มบรรเลงเพลง ถัดมาก็เป็นการแสดงในเนื้อเรื่องต่าง ๆ
นับสิบเนื้อเรื่อง สำหรับเราแล้วถือว่าได้มาดูหนึ่งในการแสดงของชนชาติเวียดนาม แต่ยอมรับว่าไม่ได้บันเทิงมากมายนัก
เพราะหุ่นกระบอกที่ว่าทำได้แค่แกว่งแขนกับหมุนตัว ที่เห็นจะแปลกตาคือเค้าแค่เชิดอยู่ในน้ำก็เท่านั้น
ส่วนคนเชิดจะอยู่หลังม่านอีกที

และที่เซ็งกันพอสมควรคือดูไม่รู้เรื่องครับ ไม่รู้ว่าเค้าสื่อสารอะไร เป็นภาษาเวียดนามล้วน ๆ ผิดกับบ้านเรา
เช่นถ้าไปดูโขนที่ดิโอลด์สยาม แม้จะพูดเสียงไทยก็จริงแต่บ้านเราจะมีซับไตเติลภาษาอังกฤษให้ด้วยครับ











มีการแสดงราว ๆ สิบชุดต่าง ๆ กันไปครับ ผมเองพยายามจะอินไปกับเนื้อหาและการแสดง แต่ทำไม่ได้จริง ๆ
ดูไม่รู้เรื่องด้วย การเคลื่นไหวซ้ำ ๆ ด้วย ผ่านไปไม่นานผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งมาจากทางขวา "เสียงกรน"
มีคนหลับคอพับคาการแสดง อย่าว่าแต่คนอื่นเลยครับ ผมเองก็ยังแย่ แอร์เย็น ๆ โรงมืด ๆ เสียงดนตรีกล่อม
กว่าจะจบการแสดงนี่เล่นเอาแย่เหมือนกันครับ



หลังการแสดงผ่านไปนานพอสมควร เมื่อจบการแสดงชุดสุดท้าย นักเชิดหุ่นก็เดินลุยน้ำออกมาด้านหน้า
พร้อมโบกมือให้กับผู้ชม เสียงปรบมือดังสนั่งไปทั่วโรง ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะสนุกหรือเพราะอะไรกันแน่
ยังแอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามีแต่เรารึเปล่าที่ดูไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไม่น่า เพราะผู้เข้าชมส่วนมากเป็นชาวต่างชาติเหมือนเรา



หลังการแสดงจบลงหลายคนเริ่มทยอยกันออกจากโรง ผมไม่อยากบอกเลยว่ามีคนยังไม่ตื่นด้วย 5555
ผมเลือกจะเดินออกทีหลังเพราะขี้เกียจไปเดินเบียดกับใคร แล้วจะได้เลือกซื้อของที่ระลึกได้สะดวก ๆ

และนี่คือสภาพของสาว ๆ หลังจากจบการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจ





ผ่าง !!

 กลัว กลัว กลัว


จบกันไปแล้วครับ การแสดงหุ่นกระบอกน้ำที่ใคร ๆ ต่างก็แนะนำให้มาดูให้ได้
แต่อย่าถามความคิดเห็นผมเลย สำหรับผมผมยังอึ้งแดกพูดอะไรไม่ออกครับ


ปล. การแสดงไม่ใช่ไม่ดีนะครับ หลายฉากตื่นตาตื่นใจผมมาก โดยเฉพาะอันที่เป็นจุดไฟ ดูน่ากลัว ๆ
แต่ความน่าเบื่อในมุมมองของผมมันคือการที่เราไม่รู้สึกอินไปกับเนื้อหาเพราะไม่รู้ว่าเค้ากำลังพูดอะไรหรือเล่นอะไร
แต่ถามว่าสำหรับคนอื่นผมว่าน่าจะสนุก เพราะผมได้ยินเสียงหัวเราะเป็นพัก ๆ จากด้านหลัง ซึ่งคาดว่าเป็นคนเวียดนาม
หรือไม่ก็เป็นคนที่ฟังภาษาเวียดนามรู้เรื่อง

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.102 Chrome 50.0.2661.102


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2559 21:03:57 »



เพิ่มเติมเรื่องหุ่นกระบอกน้ำ

ก่อนจะไปว่ากันด้วยสถานที่ต่อไป ด้วยความที่ผมดูหุ่นกระบอกน้ำไม่รู้เรื่อง ประกอบกับผมได้หยิบแผ่นพับติดมือกลับมาด้วย
ทำให้ผมได้รู้ว่าเค้าแสดงอะไรกันบ้าง แต่อย่าให้ผมต้องหาข้อมูลมาบรรยายเลยครับ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ไม่ใช่อ่านเหนื่อยนะ
คนหาข้อมูลอ่ะเหนื่อย มันเป็นนิทานพื้นบ้าน เป็นตำนานของประเทศเค้า แค่นั่งแปลสงสัยจะมีหมดวันแน่นอน
เอาเป็นว่าหนึ่งในเรื่องที่แสดงมันก็มีเรื่องเกี่ยวกับเรื่องตะพาบยักษ์ที่มาเอาดาบคืนที่เป็นตำนานในทะเลสาบฮว่านเกี๊ยมด้วยแล้วกัน

หลังจากนั้นผมก็มานอนเปิดอินเทอร์เน็ตในห้องพักเพื่อหาข้อมูลแล้วก็พบข้อมูลสำคัญว่าการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ
เป็นการละเล่นพื้นบ้านโบราณของชาวเวียดนาม มีถิ่นกำเนิดบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ฉากเป็นซุ้มที่ตกแต่ง
เป็นสถาปัตยกรรมเวียดนาม ทำด้วยไม้ไผ่เป็นผืนมู่ลี่กางไว้เรี่ยผิวน้ำ มีหลืบหัวท้ายและกลางให้ตัวหุ่นลอดออกมาโลดแล่น
การแสดงแบ่งเป็นชุดๆ เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิต การทำมาหากิน ศิลปการละเล่นพื้นบ้านของชาวเวียดนาม

ที่มาของการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ

1. แต่เดิมบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำซงโห่ง หรือแม่น้ำแดงบริเวณที่ราบลุ่มต่ำ ซึ่งอาจจะจมอยู่ใต้น้ำในฤดูฝน
หากไม่มีฝายกั้นน้ำที่เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ยาวถึง 7,000 กม. สร้างตัดไปตามผืนนาและหมู่บ้าน ฝายกั้นน้ำนี้เดิมสร้างขึ้นจากดิน
เมื่อ 1,000 ปีมาแล้ว ก่อนหน้านั้น สมัยราชวงศ์หลีในตศวรรษที่ 11 แม่น้ำแดงจะเอ่อท้นฝั่งขึ้นมาท่วมภูมิภาคนี้อยู่สม่ำเสมอทุกปี

2. การที่น้ำท่วมเป็นประจำได้กลายเป็นแรงบันดาลให้เกิดรูปแบบความบันเทิงชนิดที่หาได้ในเวียดนาม คือหุ่นกระบอกน้ำนั่นเอง
ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของคณะหุ่นกระบอกชั้นนำของฮานอยได้อธิบายว่า “ชาวไร่ชาวนาไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีในช่วงน้ำท่วม
จึงพากันคิดค้นศิลปะรูปแบบนี้ขึ้นมา”

3. หุ่นกระบอกน้ำเป็นการผสมผสานระหว่างความหลงใหลในเทพตำนานกับความรักชาติอย่างรุนแรงซึ่งปลูกฝังกันมา
ในจิตใจชาวเวียดนาม นักเชิดหุ่นกระบอกจะยืนอยู่หลังฉากในน้ำที่ท่วมถึงเอวแล้วควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นด้วยไม้ไผ่ลำยาว
หลายศตวรรษที่ผ่านมา ทุกหมู่บ้านจะมีคณะละครแสดงในสระน้ำหน้าดิงห์ หรือศาลาประชาคม เทคนิคการเล่นได้ถูกเก็บงำ
เป็นความลับอย่างมิดชิด แม้ปัจจุบันนี้ นักเชิดหุ่นอาวุโสทั้งหลายยังไม่ใคร่ยอมถ่ายทอดวิชาให้คนรุ่นหลัง
แต่ด้วยเกรงว่าวิชาจะดับสูญบางท่านจึงยอมสอน ทุกวันนี้ มีคณะหุ่นเหลืออยู่ไม่มากนักในเวียดนาม ที่ฮานอยมีสองคณะ

4. ปกติแล้วการแสดงหุ่นจะมี 12 องก์ แต่ละองก์จะเป็นการเล่าเรื่องเทพตำนานเกี่ยวกับเวียดนามและประวัติศาสตร์
นักดนตรีจะเล่นดนตรีแบบดั้งเดิมคลอไปด้วย มีเรื่องหนึ่งเล่าเกี่ยวกับเต่าใหญ่ที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมที่ฮานอย
เต่าตัวนี้จะโผล่ขึ้นมาถวายดาบแก่พระเจ้าเลไทโต ซึ่งพระองค์ต้องการนำไปใช้ขับไล่ผู้รุกรานชาวจีน
ส่วนเรื่องอื่นๆ เล่าเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ในชนบท เช่น การเพาะปลูก การเกี่ยวข้าว การประมง การแข่งเรือ เป็นต้น


ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
>> thaifly.com/index.php?route=news/news&news_id=921



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.102 Chrome 50.0.2661.102


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2559 01:28:25 »



พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยา เวียดนาม 1

ดูหุ่นกระบอกน้ำเสร็จพวกเราเดินกลับที่พัก หลังกลับถึงที่พัก สาว ๆ ทั้งสามก็ออกไปเดินตลาดกันต่อ
ผมนึกในใจ มึงแอบไปดูดม้ากันมารึไง เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนวะ แต่ผิดคาดครับสาว ๆ หายกันไปได้ไม่ถึงสิบห้านาที
เสียงเคาะประตูห้องป๊อก ๆ ๆ เป็นสัญญาณว่าคุณเธอทั้งหลายได้กลับมาแล้ว ก็แน่ละไม่น่าเดินกันต่อไหวหรอกเดินมาทั้งวัน
เหนื่อยจะตายห่ากันอยู่แล้ว

จากนั้นคิวห้องน้ำก็เต็ม เธอทั้งสามเธอใช้เวลาอาบน้ำไม่นาน และในเวลาไม่เกินชั่วโมงครึ่งก็ม่อยกระรอกหลับกันราวมรณภาพ
มีแต่ผมคนเดียวที่นั่งเล่นไอแพดตาแป๋วยันตีสองเพราะความเคยชิน (ปกติผมนอนดึก)



หลายชั่วโมงผ่านไป เราตื่นเช้ามาอย่างกระปรี้กระเปร่า อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมากินอาหารเช้าที่ชั้นล่างในโรงแรม
ซึ่งเป็นเมนูง่าย ๆ อย่างขนมปังบาแก็ตกับเนย ไข่เจียว ออมเลต ไข่ดาว แล้วแต่จะสั่ง กับพวกชา กาแฟ
แต่ของผมอาหารเช้าที่ผมเลือกกินคือ ขนมปังบาแก็ตกับชีส และปิดท้ายด้วยกระทิงแดงสองกระป๋อง กับมอนสเตอร์เอ็นเนอร์จี้
เครื่องดื่มชูกำลังที่ผมกินทุกวันเลยที่ไปเวียดนาม (ผมกินทุกวันตลอดทริปการเดินทาง) หลังจากทานอาหารเช้ากันเสร็จ
โรงแรมก็เรียกแท็กซี่ให้พาเราไปส่งที่พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ฯ ใช้เวลาพักใหญ่ ๆ กว่าที่เราจะมาถึง เพราะที่นี่ไกลพอสมควรเลย



และนี่คือภาพตอกย้ำการจราจรในบ้านเมืองนี้ ขนาดซอยเล็ก ๆ มึงยังขับเหมือนจะชนกันตลอดเวลา น่าแปลกที่มาเที่ยวที่นี่
ผมไม่เคยรู้สึกหวาดระแวงในทรัพย์สิน ไม่กลัวโจรขโมย แต่ผมกลับกลัวการเดินทางบนท้องถนนเสียมาก



แล้วแท็กซี่ก็พาเรามาจอดที่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง พื้นที่กว้างขวาง มีอาคารใหญ่โต ผู้คนพลุกพล่านที่กำลังต่อคิวกันซื้อตั๋ว
ใช่ครับเรามาถึงแล้ว พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาเวียดนาม (Vietnam Ethnology Museum) ที่นี่อยู่ห่างจาก
ตัวเมืองฮานอยประมาณ 8 กิโลเมตร รัฐบาลเวียดนามอนุมัติที่ดินกว้างขวางให้จัดสร้างอาคารขึ้นใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2530
แต่แล้วเสร็จจนเปิดให้เข้าชมกันได้ก็เมื่อล่วงเข้าพฤศจิกายนในอีกสิบปีถัดมา

ที่นี่ตั๋วถูกมากครับ เป็นแหล่งศึกษาความรู้ที่ผมว่าคุ้มค่าคุ้มราคามาก ๆ



พอซื้อตั๋วเสร็จเข้ามาข้างใน สาว ๆ เลยถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเผื่อเอาไว้ให้ลูกหลานดูยามแก่เฒ่า



บริเวณพิพิธภัณฑ์จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน

ส่วนแรก

ส่วนแรกอยู่ในอาคาร มีนิทรรศการเรื่องราวของชาติพันธุ์ 54 กลุ่มในเวียดนาม
แบ่งตามตระกูลภาษาเป็นหลัก และยังมีสำนักงานศึกษาวิจัยเรื่องราวของชาติพันธุ์ทั่วทั้งเวียดนามตั้งอยู่
อาคารนิทรรศการมีสองชั้น ใช้สื่อผสมทั้งภาพถ่าย วัตถุจัดแสดง วีดีทัศน์ หุ่นจำลองฯลฯ บางมุมจำลองบ้านไม้ขนาดย่อม
ที่สามารถเดินเข้าไปชมได้ (แล้วก็ยังมีบ้านไม้จำลองด้วยครับ เป็นบ้านโมเดล อยู่ที่ชั้นสอง)
นอกจากนี้ยังมีมุมจัดแสดงบางส่วนที่นำเครื่องใช้ในพิธีกรรมมาจัดแสดงประกอบการฉายวีดีทัศน์ที่บันทึกเหตุการณ์จริง
มีมุมทอผ้า มุมแต่งงาน มุมตลาดนัด แล้วก็รูปถ่ายตั้งแต่สมัยอดีตซึ่งผมดูแล้วประทับใจมาก การจัดแสงสีมันชวนให้อินจริง ๆ



นี่ครับห้องแรกที่เราเดินเข้าไป เราจะพบกับคำว่าซินจ่าวตัวเบ้อเริ่ม (Xin Chao) พร้อมกับคำว่าสวัสดีใจภาษาต่าง ๆ ครับ



ห้องนี้มีวีดีทัศน์ประกอบด้วยครับ น่าจะเป็นเกี่ยวกับการกล่าวต้อนรับ หรือไม่ก็ข้อมูลเบื้องต้นของสถานที่



ต่อมาก็เป็นห้องที่มีแผนที่เวียดนามครับ ห้องนี้ผมดูแค่ผ่าน ๆ แต่ก็มีชาวเวียดนามมากมายดูให้ความสนใจ
เป็นภาพที่ดีมากเลยครับ ผมคนนึงที่เวลาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ในประเทศแล้วจะชอบเดินอ่าน
แล้วจะรู้สึกขัดใจนิด ๆ เวลาเจอคนเดินเหมือนมาเดินเล่น แบบดูผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจเนื้อหา ไม่ได้สนใจข้อมูลใด ๆ
ผิดกับชาวเวียดนามในพิพิธภัณฑ์ที่เวียดนามครับ ทุกที่ที่ผมไป ชาวเวียดนามดูจะให้ความสนใจในเนื้อหาอยู่ไม่น้อย





ดูปริมาณคนในห้องสิครับ ผมรู้สึกสัมผัสได้ถึงความภูมิใจในการเป็นประเทศเกษตรกรรมของที่นี่จริง ๆ



ทุกส่วนจัดแสดงล้วนคับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยว และประชาชนในประเทศที่เข้ามาศึกษาหาความรู้

เราเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเชื่อมต่อระหว่างแต่ละห้องอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
ผมรู้สึกว่าเค้าเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาและการเรียนรู้มากมายเหลือเกินเมื่อดูจากการให้ความสำคัญ
กับพิพิธภัณฑ์ และจากปริมาณของคนที่ให้ความสนใจในแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนเหล่านี้

และแล้วผมก็มาถึงห้องที่ทำให้เวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ



...ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ห้องจัดแสดงภาพถ่ายในอดีต...

























ภาพหนึ่งภาพสื่อความหมายได้นับไม่ถ้วน บอกเล่าเรื่องราวได้ไม่สิ้นสุด นั่นคือเหตุผลที่ผมชอบถ่ายภาพ
และมันคือเหตุผลเดียวกับที่ผมเลือกจะโพสท์แต่ภาพ แต่ไม่อธิบายอะไรเกี่ยวกับภาพพวกนี้
นี่เป็นเพียงส่วนน้อยที่ผมนำมาลงให้ได้ชมกัน หลายคนอาจไม่ได้อินไปกับภาพถ่ายเหมือนอย่างที่ผมเป็น
แต่นั่นมันเรื่องของคุณ เพราะผมอิน และผมเป็นคนโพสท์ ฮ่า ๆ ๆ

ผมยืนพิจารณาทุกภาพถ่ายทุกครั้งอย่างละเอียดในทุกองค์ประกอบก่อนจะยกกล้องขึ้นลั่นชัตเตอร์
ผมยืนอยู่แล้วมองในทุกรายละเอียดที่ภาพแต่ละภาพกำลังกระซิบบอกเล่าเรื่องราวให้ผมฟัง

ทุกครั้งที่ผมย้ายจุดไปอีกภาพแล้วจ้องมอง มันเหมือนผมกำลังถูกตรึงให้อยู่กับที่พร้อมเรื่องราวมากมายในหัวตัวเอง
ถ้าคุณชอบถ่ายภาพ ถ้าคุณชอบเสพย์อาร์ต คุณอาจเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็น
ผมเดินออกจากห้องมาพร้อมกับความรู้สึกอิ่ม แสง สี บรรยากาศ องค์รวมทุกอย่างในห้องนี้มันช่างดึงดูดเหลือเกิน

ผมเดินขึ้นบันไดแคบ ๆ ขึ้นมาที่ชั้นสอง





ชั้นนี้มีหลากเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวเวียดนาม การทอผ้า การแต่งงาน พิธีกรรม ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ
มันถูกจัดวางอย่างเหมาะเจาะในที่ที่มันควรอยู่ ถึงแม้จะไม่ว๊าวเท่ากับชั้นแรก แต่มันก็มีดีพอจะทำให้พวกเราทุกคน
อ่านและพิจารณาข้าวของเครื่องใช้แทบทุกชิ้นอย่างไม่ปล่อยให้ผ่านตาไปโดยเสียเปล่า



ภาพถ่ายพิธีแต่งงาน ชุดคล้าย ๆ ของจีนนะครับ ดูน่ารักมุ้งมิ้งกระดิ่งแมว



เดินมาอีกหน่อยเค้ามีบ้านจำลองด้วยนะเออ
แล้วใกล้ ๆ กันก็มีโมเดลบ้านจำลองด้วยครับ แต่ไม่ขอลงรูปไว้ละกัน เพราะเดี๋ยวผมจะพาไปดูของจริงกันที่ด้านนอก
ซึ่งเค้าจำลองโครงสร้าง ขนาด ฯลฯ ให้เหมือนกับบ้านที่ชาวบ้านเค้าอยู่อาศัยกันจริง ๆ ในแต่ละภูมิภาคของเค้าครับ




บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.102 Chrome 50.0.2661.102


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2559 12:41:01 »



พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยา เวียดนาม 2

ส่วนที่สอง



ผมเดินออกมาจากอาคารจัดแสดงหลัก หลังจากที่เดินชมครบหมดทุกห้อง เราออกมาแล้วเดินตามทางเดินออกมาทางซ้ายของอาคาร
เป็นทางเดินไม่กว้างมากนัก แต่ก็มากพอจะให้เดินสวนกันได้อย่างสบาย ๆ เส้นทางคดเคี้ยวเลาะมาด้านข้างอาคาร ร่มรื่นเย็นสบาย
ผมมองเห็นอาคารไม้หลายหลังตั้งอยู่ห่าง ๆ กันท่ามกลางต้นไม้



สถานที่แห่งนี้กว้างกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ ส่วนที่สองของพิพิธภัณฑ์ที่ผมกล่าวถึงก็คือโซนนี้นี่เอง ส่วนที่สองเป็นส่วนกลางแจ้ง
แสดงบ้านจำลองของกลุ่มชาติพันธุ์ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ผู้ชมสามารถขึ้นไปบนบ้านไม้ยกพื้นสูง และเข้าไปชมบรรยากาศ
ภายในห้องต่างๆ ของตัวบ้านได้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์เตรียมน้ำชาไว้ต้อนรับผู้เข้าชมอีกด้วย

ระหว่างทางผมก็ไปสะดุดตากับภาพนี้





เด็กชาวเวียดนามสิบกว่าคนมานั่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของตัวเอง แล้วก็วาดรูปบ้านตามที่ตัวเองเห็น เด็กพวกนี้ดูมีความสุข
ผิดกันเลยกับบ้านเรา ที่เวลาโรงเรียนพาไปทัศนะศึกษาจะบังคับให้เด็กจดข้อมูลแล้วต้องเอามาส่งให้ครูตรวจ
เด็กจากฝั่งนึงทำอย่างมีความสุขบรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข เด็กคุยเจี๊ยวจ๊าวกันอย่างสนุกสนาน
ส่วนเด็กอีกฝั่งมาเที่ยวทั้งทีดันโดนตั้งโจทย์บังคับให้ทำ เหมือนแข่งแรลลี่แล้วต้องหาป้าย RC
ไม่น่าแปลกใจที่ระบบการศึกษาฝั่งแรกโตเอาแบบก้าวกระโดด ส่วนฝั่งหลังนี่นับวันมีแต่ดิ่งลงเหว



ผมเดินไปทั่วบริเวณ ถ่ายรูปพร้อมกับอ่านป้ายไปทั่ว เราแวะเข้าบ้านทุกหลังที่เค้าสร้างเอาไว้ ก็เค้าสร้างไว้ให้เราเข้าชมนี่นา
แปลกตาดีครับกับบ้านเรือนที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค









ผมเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ดูคล้ายบ้านเรือนของประเทศเราที่สุดแล้วครับหลังนี้ เป็นบ้านไม้ใต้ถุนยกสูง ด้านบนเป็นที่อยู่
ส่วนด้านล่างก็เหมือน ๆ กับบ้านเราครับ มีตั่งเตียง มีข้าวของเครื่องใช้แขวนอยู่ ดูจากในภาพก็ไม่ต่างจากบ้านเรือนไทยมากมายนัก

เว้นแต่...

พื้นครับ ! พื้นเค้าเป็นไม้ไผ่สาน ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราส่วนมากจะเป็นไม้กระดานครับ แล้วประเด็นมันคือก้าวแรกที่ผมเหยียบเข้าไป
ผมไม่กล้าเดินต่อ ผมยืนนิ่ง ๆ อยู่กับที่ มือไม้กวัดแกว่งไปในอากาศ ผมอุทานออกมาทันที "ชิบหายแล้ว"
ผมยังไม่อยากพาดหัวเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เวียดนาม "ชายไทยหนัก 110 กิโล เหยียบบ้านจำลองในพิพิธภัณฑ์พื้นทะลุ"
มันน่ากลัวจริง ๆ ครับ ความรู้สึกในหัวผมตอนนี้คือ ถ้ากูเดินต่อไปมันทะลุแน่ ตอนนี้เจ้าหน้าที่สาวเวียดนามหันมามองครับ
ไม่ใช่มองเปล่า เธอมองแล้วหัวเราะคิกคัก ผมย่อตัวลงตามสัญชาติญาณ อายก็อาย ขอกูหลบตาก่อนเถอะ
ผ่านไปอึดใจผมเริ่มลองยืนขึ้นอีกครั้งแล้วทดลองก้าวไปต่อ เสียงไม้ลั่นแกรบ ๆ ในทุกก้าวเดิน พร้อมกับพื้นที่ยวบลงตามน้ำหนัก
ผมเลือกจะเดินใกล้ ๆ เสาบ้าน เผื่อมันทะลุจริง ๆ จะได้มีอะไรให้เกาะได้บ้าง



ผมหันไปมองด้านหลัง หนึ่งในสาว ๆ เลือกจะเดินบนไม้คานครับ กางแขนออกราวกับพวกกายกรรมเดินบนเส้นลวด
แหมขนาดคนหนักน้อยกว่าผมเกินครึ่งยังรู้สึกไม่ปลอดภัยกับไอ้พื้นนี่ แล้วนับประสาอะไรกับผมเล่า

ผมไม่แปลกใจเลยที่เค้าใช้ไม้ไผ่บาง ๆ เป็นพื้นบ้าน ก็ในเมื่อชาวเวียดนามล้วนแต่ตัวเล็ก ๆ กันทั้งนั้น เค้าสร้างบ้านอยู่กันเอง
ไม่ได้สร้างไว้ให้ยักษ์อย่างผมอยู่ ผมเดินลงจากบ้านสวนกับฟรั่งคนนึงที่กำลังปืนป่ายบันไดขึ้นไปบนตัวบ้าน
ฟรั่งที่อ้วนกว่าผม ! ผมนึกขำในใจ "เดี๋ยวมึงรู้"





ผมออกเดินต่อ มีจุดให้เราแวะชมหลาย ๆ จุด ในแต่ละจุดก็ล้วนแต่มีเรื่องราว บวกกับความร่มรื่นของสถานที่
อากาศไม่ร้อนเพราะร่มไม้และความชื้นจากดิน ผมเดินเพลินจนแทบจะลืมเวลา

แล้วผมก็สะดุดตาเข้าอีกครั้ง







ผมเจอสิ่งนี้ แต่เป็นโมเดลไม่ใหญ่มาก อยู่ในชั้นสองของอาคารจัดแสดง ผมอ๋อในทันที มันคือ Jarai Tomb House
โดย Jarai (Người Gia Rai, Gia Rai ส่วนตัวแล้วคิดว่าน่าจะอ่านว่าเกียไร) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งของเวียดนาม
อยู่ในที่ราบสูงทางตอนกลางของเวียดนาม ส่วนอาคารที่เห็นพร้อมรูปสลักแปลกตาอันนี้คือ Tomb House หรือสุสานครับ
โดยสุสานของเค้าจะมีลักษณะเหมือนกระท่อมหลังเล็ก ๆ ภายในจะบรรจุไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตาย
ผมลองหาข้อมูลดูบางที่มีเอาทีวีไปวางไว้ด้วยราวกับจะให้ผู้ตายเอาไปดูในภพหน้า ที่โดดเด่นอีกอย่างคือเสาไม้ที่อยู่รายรอบ
ซึ่งถูกแกะสลักในรูปแบบต่าง ๆ กัน ซึ่งเป็นดั่งตัวแทนของผู้คุ้มกันจิตวิญญาณ
จากข้อมูลที่ผมอ่าน ๆ ดู พิธีศพแบบนี้จะมีราคาแพงมาก มีการล้มวัวล้มควาย ถ้าครอบครัวยังไม่พร้อมก็จะเลื่อน
การประกอบพิธีกรรมออกไปก่อนได้เป็นปี ๆ

ผมเดินถ่ายรูปตุ๊กตาไม้รอบหลุมศพจำลอง สาว ๆ ขบขันกับตุ๊กตากระจู๋โด่ที่แกะสลักกระจู๋จนใหญ่แบบผิดสเกล



แล้วก็เช่นเคยครับ วัยรุ่นหนุ่มสาวที่ดูจะสนใจและให้ความสำคัญกับข้อมูลภายในพื้นที่แห่งนี้สามารถพบได้ทั่วไปทั้งบริเวณ





และนี่ครับบ้านที่ผมชอบที่สุด บ้านทรงประหลาด ทำสูงเฟี้ยวรูปทรงเหมือนใบเรือ เป็นบ้านของทางภาคใต้ครับ
คาดว่าเนื่องจากต้องเจอลมแรงและมรสุม หลังคาจึงต้องสูงเฟี้ยว บาง และชัน เพื่อให้น้ำไหลลงจากหลังคาได้ไวที่สุด
ที่สำคัญคือต้องไม่ต้านลม เป็นการออกแบบที่ชาญฉลาด ส่วนที่ผมชอบอีกส่วนคือขั้นบันไดครับ เค้าใช้ไม้ท่อน ๆ มาแกะเป็นขั้น
ไม่ใช่เป็นไม้แผ่น ๆ เหมือนบ้านหลังอื่น ดูในภาพเหมือนไม่สูงมาก แต่ผมลองขึ้นดูแล้วดูอันตรายเอาเรื่องเลยครับ
ด้านในไม่มีอะไรมาก คล้าย ๆ บ้านหลังอื่น แต่มีจุดให้เสียบคบไฟเยอะมากติดอยู่ตามเสา เป็นตัวบ่งชี้ได้อีกอย่าง
ว่าที่นี่คงลมแรงจริง เปียกจริง จึงต้องมีคบไฟเยอะขนาดนี้



ดูสิครับบ้านของทางเวียดนามใต้เค้าจะทำแบบเพรียว ๆ ไม่ต้านลม มีสีสันฉูดฉาดผสมกับความเรียบง่าย ตัดสิ่งไม่จำเป็นออก
เป็นการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่สวยงาม อะไรที่ควรมีก็ล้วนมีครบครัน ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านงี้แน่นมาเชียว
เพอร์เฟกต์มาก หลังคาบ้านนี่หยั่งขาวววว... อุ่ยขอโทษครับ ลงภาพประกอบผิดไปนิดนึง





เอาเป็นว่ามาต่อกันที่บ้านหลังสุดท้ายครับ อันนี้ผมไม่เห็นป้าย เลยไม่ได้อ่านรายละเอียดอะไร เอาเป็นว่ามันเป็นบ้านยกพื้นเตี้ย ๆ
ประเด็นคือยาวมาก มากพอจะเล่นฟุตบอลในบ้านได้ ผมไม่รู้รายละเอียดจริง ๆ ว่าทำไมเค้าต้องออกแบบมาซะยาวขนาดนี้
รู้แค่ว่าเดินวนในบ้านสักสองรอบน่าจะเหนื่อยพอ ๆ กับเดินรอบสนามฟุตบอล

เราใช้เวลาที่นี่เกือบสองชม. มันไม่มากเลยสำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของเพื่อนบ้านเรา
ส่วนที่ผมชอบที่สุดคือโซนกลางแจ้งนี่แหละที่มีบ้านทรงแปลก ๆ ให้เราเข้าไปชมด้านใน ต้องบอกว่าที่นี่เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์
ที่ผมชื่นชอบที่สุดเลยเพราะมันมีรายละเอียดครบถ้วน เน้นที่ความรู้มากกว่าความหรูหรา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก
สำหรับสถานที่ที่จะให้คนมาเรียนรู้ความเป็นมาของชนชาติ



นาง เลทิมิงหลี อธิบดีกรมมรดก แห่งกระทรวงวัฒนธรรมกีฬาและท่องเที่ยวเวียดนามเผยว่า

อ้างถึง

มีหลายคนคิดว่าหากเป็นวัตถุโบราณถึงจะจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ได้ หรือต้องมีวัตถุโบราณถึงจะเป็นพิพิธภัณฑ์
ซึ่งดิฉันว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น ที่พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาไม่มีการจัดแสดงวัตถุโบราณ
หากเป็นเพียงสิ่งของธรรมดาในชีวิตประจำวันแต่บรรยากาศที่นี่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต้องการมาชมเมื่อมาฮานอยรวมทั้งคณะผู้แทนระดับสูงของประเทศต่างๆ
แล้วทำไมพิพิธภัณฑ์นี้ถึงมีคุณค่าและมีความหมายเช่นนี้ได้ คำตอบคือแรงดึงดูดใจนั้นแฝงไว้ในคุณค่า
ของวัตถุต่างๆ ที่จัดแสดง



ปล. ค่าเข้าชม 25,000  ด่อง ตีเป็นเงินไทยประมาณ 50-60 บาทเองครับ มาเถอะครับ ผมแนะนำเลยที่นี่



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 พฤษภาคม 2559 12:44:11 โดย Mckaforce » บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.102 Chrome 50.0.2661.102


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2559 13:34:05 »



มื้อเที่ยงวันที่สองกับเฝอริมทาง

เราเดินออกจากพิพิธภัณฑ์กันด้วยความล้าและหิวโหย อาหารเช้าที่กินกันมาคนละนิดมันคงย่อยไปหมดแล้วในตอนนี้
และพลังงานที่ได้มาเราก็น่าจะใช้มันไปหมดแล้วจากการเดินวนอยู่ในนี้กว่าสองชั่วโมง
เราเดินชมร้านขายของที่ระลึกใกล้กับทางออกเพื่อรับแอร์เย็น ๆ กันจนสดชื่นขึ้นมาพอสมควร จากนั้นก็ออกจากประตูใหญ่
มายืนโบกแท็กซี่ เป้าหมายต่อไปที่เราวางแผนกันไว้คือ วิหารแห่งวรรณกรรม โดยวิหารแห่งวรรณกรรมนี้มีอีกชื่อคือ
วัดว่านเหมี่ยว (Van Mieu) ซึ่งห่างจากที่เดิมพอสมควร จนไม่สมควรที่จะเดิน ระหว่างทางเราก็เกาะกระจกมองของกิน
เมื่อใกล้ถึง เราบอกแท็กซี่ให้จอดก่อนถึงทางเข้าประมาณสองร้อยเมตร เพราะเราเห็นร้านอาหารริมทางอยู่หลายร้าน ดูน่ากิน
เราเดินหาร้านเหมาะ ๆ กันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจนั่งที่ร้านเล็ก ๆ ริมทางที่มีคนกินกันแน่นร้าน



ทริปนี้เรากินร้านข้างทางกันเยอะมาก แล้วก็ไอ้ร้านข้างทางนี่แหละที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ทั้งรสชาติ ทั้งราคา ดีงามพระรามแปด



ร้านที่เราเลือกกินในมื้อนี้เป็นร้านขายเฝอครับ เฝอเนี่ยในความเข้าใจของผมมันคือก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละ เป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก
แบบเวียดนาม ส่วนมากเนื้อที่ใส่จะเป็นไก่ต้ม บางที่ก็สับ บางที่ก็ฉีก
แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เราสั่งเฝอผัดเราจะได้เป็นผัดมาม่า ซึ่งตอนนี้ความเข้าใจของผม เฝออาจเป็นอะไรก็ได้ที่เป็นแป้งเส้น ๆ

"หรือพูดง่าย ๆ คือ ถ้าสั่งเฝอเราจะได้เส้นเล็กต้มจืดไก่ฉีก แต่ถ้าสั่งเฝอผัดเราจะได้ผัดมาม่า"

เราสั่งมาลองกันทั้งเฝอ และเฝอผัดครับ ระหว่างนั่งรอผมก็รู้สึกว่าแถวนี้มันต้องเป็นสรวงสวรรค์แน่ ๆ เลย
ทำไมน่ะหรอครับ...





นี่ไง มีนางฟ้าแถวนี้เยอะมาก นางฟ้าเหล่านั้นเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นกำแพงของวิหารแห่งวรรณกรรม
ตลอดเวลาราวกับมีมหกรรมอะไรสักอย่าง แล้วนางฟ้าเหล่านี้ก็ล้วนทรงอาภรณ์ด้วยอ๋าวหญ่าย

อย่าเพิ่งหาว่าผมลามกครับ เชื่อเถอะครับว่าไม่ได้มีผมคนเดียว



นี่ ! บรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างมองไปฝั่งตรงข้าม ทิศทางเดียวกันกับผมไม่ขาดสาย
จนถึงตอนนี้ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าที่คนมันนั่งร้านนี้กันเยอะ เพราะอาหารอร่อยหรือเพราะวิวมันสวยกันแน่วะ



ชั่วครู่ผ่านไป อาหารของเราก็ถูกนำมาวางเสริฟให้ที่โต๊ะ



อันนี้เฝอครับ รสชาติกลมกล่อม หอมหวานอร่อยมาก ใครจะเชื่อว่าหอมหัวใหญ่จะเข้ากันได้ดีกับอาหารจานนี้อย่างเหลือเชื่อ
ตีเป็นเงินไทยไม่เกิน 30 บาทครับ แต่เครื่องครันที่เค้าใส่เข้ามาให้มันเต็มที่มากเลย ไก่ก็ชิ้นใหญ่ ๆ ไม่ใช่ไก่กระดาษบ้านเรา
ไก่กระดาษคือไก่ตามร้านก๋วยเตี๋ยวร้านข้าวมันไก่บ้านเราเค้าทำกันครับ เฉือนไก่บาง ๆ เอามาตีให้บางยิ่งขึ้นไปอีกแล้วค่อยสับ
แต่ที่นี่ไม่ใช่ครับ น้ำซุปหอมหวาน เส้นนุ่ม ๆ กับเนื้อไก่เข้ากันได้ดีสุด ๆ ประทับใจจริง ๆ ครับ



ส่วนอันนี้คือ Fried Pho ครับ หรือแปลตรง ๆ ก็เฝอผัดนั่นแหละ หน้าตาเหมือนมาม่าผัดบ้านเราเลย แต่อร่อยครับ
รสชาติเค้าจะไม่แรง คือจืด ๆ มีเค็มนิด ๆ หวานหน่อย ๆ แบบกลมกล่อม ๆ เมนูนี้รสชาติดีผิดคาดครับ หอมกระทะจริง ๆ
น่าจะตั้งไฟแรงจัด ซัดน้ำมันลงไป แล้วก็ใส่ทุกอย่างลงผัดแบบเร็ว ๆ ครับ ผักยังกรอบ เนื้อไก่ชิ้น ๆ แน่น ๆ เข้ากันดีมาก
เมนูนี้สาว ๆ ก็เอ่ยปากชมว่าอร่อยมากเช่นกัน เสียแค่อย่างเดียวคือน้ำมันเยอะไปหน่อย ซึ่งถูกจริตผมแต่ไม่ถูกจริตสาว ๆ



อาหารที่นี่สำหรับผมไม่ต้องปรุงเลยครับ เพราะถ้าอยากได้ความหวานลงในชามก๋วยเตี๋ยว ก็เพียงแค่จ้องหน้าเธอตอนเดินผ่าน
ก๋วยเตี๋ยวก็พลอยหวานเจี๊ยบบบบ... ราวกับใส่ขัณฑสกรในบัดดล

ตลอดเวลาที่นั่งกินมีสาวใส่อ๋าวหญ่ายเดินผ่านร้านที่ผมนั่ง เดินผ่านกำแพงวิหารแห่งวรรณกรรมฝั่งตรงข้ามไม่ขาดสาย
ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่กลางฝูงช้างเผือก อยากจะเป็นควาญช้างซะเหลือเกิน



ปล. ขอเพิ่มเติมว่าถ้ามาเวียดนามต้องโบกแท็กซี่ของวีน่าซันแล้วจะปลอดภัยมากไม่ต้องกลัวโดนโขกหัวแตก
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.102 Chrome 50.0.2661.102


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2559 18:26:04 »



วิหารแห่งวรรณกรรม

วิหารแห่งวรรณกรรม หรือวัดว่านเหมี่ยว หรือคนไทยหลาย ๆ คนที่เคยมาเรียกกันว่าวัดจอหงวน คือสถานที่ต่อมาที่เราจะมาเที่ยวกัน
หลังจากเราแวะกินเฝอกันจนอิ่มท้องตามด้วยกาแฟที่ร้านใกล้ ๆ กันอีกแก้ว เราก็เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม





วันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษเพราะมีบัณฑิตมากมายมาถ่ายรูป อย่างที่ผมบอกไปตอนต้นครับว่าวัดนี้บางคนเรียกวัดจอหงวน
คือเป็นเหมือนสถานที่แห่งปัญญา ใครที่เรียนจบกันมาต้องมาถ่ายรูปที่นี่ให้ได้



ตรงนี้คือจุดที่เราต่อคิวซื้อตั๋วเข้าชม เป็นคิวยาวพอสมควร เรายืนต่อคิวอยู่ไม่กี่นาทีก็ได้ตั๋วเข้า ส่วนนึงเพราะความรวดเร็วของคนขาย
อีกส่วนคือถึงจะดูล้งเล้งแต่ที่นี่เค้าไม่แซงคิวกัน ไม่มีมาฝากกันยืนจองแล้วมาแทรก เป็นระเบียบวินัยที่เกิดขึ้นกลางความวุ่นวาย





แล้วเราก็เดินกันเข้ามาในวัด รอบข้างเราเป็นกำแพง เป็นโคมดูขลัง ๆ เข้ากันอย่างประหลาดกับบรรยากาศร่มรืนของร่มเงาไม้
สิ่งหนึ่งที่ผมพบเห็นคือความสะอาดครับ ที่นี่ถือว่าสะอาดมากเมื่อเทียบกับคนปริมาณมากขนาดนี้ หญ้าในสนามเรียบกริบ
พื้นนี่ไม่มีขยะสักชิ้นร่วงหล่น ถือว่าน่าชื่นชมครับ

สำหรับวัดนี้นะครับเป็นวัดโบราณแห่งหนึ่งของเวียดนามซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานเกือบพันปี สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1070
ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าหลีไทโต ท่านสร้างอุทิศให้แก่ท่านศาสดาขงจื้อ วิหารนี้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติแห่งแรกของเวียดนาม
เทียบได้กับที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ ในบ้านเราที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย

ต่อมาในปี 1076 วิหารวรรณกรรมถูกเชื่อมต่อกับกว็อกตื่อยาม ซึ่งเป็นโรงเรียนของพวกขุนนางและเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก
ของเวียดนาม ในสมัยราชวงศ์ตรันได้เปลี่ยนชื่อเป็น กว็อกฮ็อกเวียน หรือวิทยาลัยแห่งชาติ
ในปี 1235 เมื่อสอบได้ในระดับท้องถิ่นแล้ว นักเรียนที่ปรารถนาจะเลื่อนชั้นขึ้นเป็นขุนนางระดับสูง ก็จะมาเล่าเรียนวรรณคดี
ปรัชญา ภาษาจีนโบราณ และประวัติศาสตร์ที่นี่ ซึ่งขงจื้อเชื่อว่าจะเป็นพื้นฐานนำไปสู่การเป็นนักปกครองได้อย่างดียิ่ง

มหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนามนี้ ได้เปิดสอนจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 ก็ได้ปิดตัวลง และถูกทิ้งให้รกร้าง
เมื่อยุคที่ฝรั่งเศสเข้ายึดเวียดนามเป็นเมืองขึ้น

ปัจจุบัน วิหารวรรณกรรมแห่งนี้กลายเป็นสถานที่รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางการศึกษาของเวียดนาม
และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ แม้เวลาผ่านไปร่วมพันปี แต่วิหารวรรณกรรมแห่งนี้ยังได้รับการบูรณะซ่อมแซม
ให้คงความเป็นตัวอย่างวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาวเวียดนามได้เป็นอย่างดี ภายในบริเวณวัดมีพื้นที่กว้างขวาง
โดยมีกำแพงล้อมรอบถึง 5 แห่ง และก่อนจะเข้าสู่ประตูใหญ่ของวิหาร เหนือขึ้นไปของประตูมีข้อความ
ที่ขอร้องให้ผู้มาเยือนลงจากหลังม้าก่อนที่จะเข้าไปในบริเวณวัด

เมื่อลอดซุ้มประตูหลังประตูทางเข้าใหญ่เข้าไปข้างในเป็นทางเดินปูหิน สองข้างทางเดินเป็นบ่อน้ำ ผ่านลาน 2 แห่งแล้ว
จะเห็นประตูกำแพงใหญ่ชื่อว่า ได๋แถงห์โมน อันเป็นสัญลักษณ์ของกรุงฮานอย



หลังจากผ่านเข้าประตูทางเข้าวัดแล้ว เป็นที่ตั้งของ เคว วัน กั๊ก หรือตึกดาวลูกไก่ ซึ่งเป็นแหล่งที่เหล่านักอักษรศาสตร์
ใช้ท่องบทกวี เมื่อผ่านประตูแห่งความ สำเร็จ หรือ ได๋ แถงห์ โมน ก็จะพบกับลานโล่งล้อมรอบสระน้ำใหญ่ที่มีชื่อว่า
สระแสงงาม หรือ เทียน กวาง ติงห์ (ในภาพด้านบน)







ซึ่งลานบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของแผ่นจารึกชื่อของ จอหงวน ที่ผ่านการสอบหลักสูตร 3 ปี ซึ่งแต่ละแผ่นตั้งอยู่บนหินรูปเต่า
ที่มีจำนวนถึง 82 แผ่น จากที่เคยมีอยู่เดิมถึง 117 แผ่น โดยเริ่มมีการบันทึกไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1442-1779
ส่วนตัวผมและคณะเดินทางเราคิดว่าเต่าที่แบกแผ่นหินหน้าตาน่ารักดี และละม้ายคล้ายคลึงไปทางแมวน้ำมากกว่า





ด้านตรงข้ามกับวิหารมี อาคารแห่งการเฉลิมฉลอง หรือ ไบ๋ เยือง ซึ่งเป็นที่ตั้งเครื่องเซ่นสังเวยให้แก่ขงจื้อ
อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่กษัตริย์ได้ทรงมอบน้ำพระพิพัฒน์สัตยาให้กับอาจารย์ผู้สอนในอดีต ซึ่งบริเวณนี้มีแผ่นไม้ที่สลักไว้
ด้านบนแท่นบูชาว่า อาจารย์ของนักเรียนกว่าพันรุ่น

เป็นยังไงบ้างครับประวัติของที่นี่ มีความเป็นมานับร้อยนับพันปี นับเป็นที่แห่งประวัติศาสตร์ ความทรงจำ ปัญญา ความสำเร็จ
และที่สำคัญชาวเวียดนามมากมายต่างก็เลือกที่จะมาถ่ายรูปความสำเร็จทางการศึกษาของตนเองคู่กับสถานที่แห่งนี้

หลังจากเดินชมความงามของสถานที่ ผมก็อดเขิลไม่ได้





ดูสิครับแค่ผมเดินเฉี่ยว ๆ ยังมาพร่ำเพ้อกันขนาดนี้ จะไม่ให้ผมเขิลได้ไง
เอาเป็นว่าหยุดงานมโนไว้ก่อน แล้วมาชมความงามของสาวเวียดนามที่ผมแทบจะเลือดกำเดาไหลจนหมดตัวกัน

























ให้ตายสิ นี่เป็นกระทู้ที่ผมตั้งแล้วบันเทิงจริง ๆ โพสท์รูปไปนั่งปาดน้ำลายไป ไม่รู้จะงามกันไปถึงไหน
งามทั้งคน งามทั้งชุด อยากจะกรี๊ดออกมาดัง ๆ

แต่ก็อย่างที่รู้กัน ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปไวเสมอ
ไม่ต้องเสียใจครับสาว ๆ ถึงเราจะได้พบเจอกันแค่ผ่าน ๆ แต่พรหมลิขิตจะพาเรามาพานพบกันอีกในภายภาคหน้า



น้าแม๊ครักทุกคน !!



ผมเดินออกมาจากวัดแบบหงอย ๆ รู้สึกตัวเองโคตรโชคดีที่ได้มาเจอกี่เพ้าปริมาณมหาศาลสมใจหวัง
แต่ช่วงเวลานี้มันช่างสั้นเหลือเกิน



เราเดินออกจากวัด เลี้ยวซ้ายเลาะฟุตบาทเดินย้อนออกมาทางเก่าที่เราเดินมาจากร้านเฝอริมทาง
หน้าวัดยังคับคั่งไปด้วยบัณฑิตจำนวนมาก ทั้งที่นั่งพัก และที่เพิ่งมาถึง

ลาก่อนนะจ๊ะสาว ๆ
เรายังมีที่ต้องไปอีกมากในวันนี้ สถานที่ต่อไปรอเราอยู่....



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.102 Chrome 50.0.2661.102


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2559 12:13:55 »



หอคอยชูงธง

เป้าหมายต่อมาของเราอยู่ไม่ห่างจากวิหารแห่งวรรณกรรมนัก มันคือ Hanoi Flag Towet หรือ หอคอยชูธง (Cot Co)
ซึ่งตั้งตระหง่านชูธงเวียดนาม และฝั่งตรงข้ามหอคอยเป็นสวนสาธารณะมีรูปปั้น วลาดิเมียร์ เลนิน เราเลือกใช้ระบบขนส่งมวลตีนอีกครั้ง
ใช้เวลาเดินชิล ๆ กันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเราก็เห็นธงเวียดนามผืนใหญ่ปลิวไสวอยู่ไม่ไกล เดาได้เลยว่าที่นั่นแหละคือหอคอยชูธง



หอคอยนี้สร้างเมื่อปี ค.ศ.1812 ประตูทางด้านตะวันออกมีสลักคำว่า Nghenh Huc หมายถึง ยินดีต้อนรับแสงตะวันแห่งอรุณรุ่ง
ส่วนประตูฝั่งตะวันตกมีสลักคำว่า Hoi Quang แปลว่าแสงสะท้อน และประตูทางทิศใต้มีคำว่า Huong Minh แปลว่ามุ่งสู่แสงตะวัน
ตัวหอคอยสว่างจากหน้าต่างรูปกันหันดอกไม้ทั้ง 36 อัน หอคอยนี้สมัยที่ถูกปกครองโดยฝรั่งเศสระหว่างปี ค.ศ. 1894 - 1897
ถูกใช้เป็นหอสังเกตุการณ์และหอสื่อสาร ทำให้เป็นสิ่งก่อสร้างหนึ่งที่รอดจากการทำลายของฝรั่งเศส

ซึ่งจะเข้าชมหอคอยชูธงต้องเสียค่าเข้าด้วยนะครับราคาสามสิบบาทนิด ๆ โดยค่าเข้าเราจ่ายทีเดียวจะได้เข้าทั้งหอคอยชูธง
และพิพิธภัณฑ์ทางทหารซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกัน



หลังจากจ่ายเงินซื้อตั๋วเข้าชม เราก็เดินดิ่งเข้าไปในตัวพิพิธภัณฑ์ก่อนเป็นอันดับแรก เป็นอาคารขนาดไม่ใหญ่นัก
ด้านหน้าของอาคารมีซากรถถังจอดอยู่



ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรครับ หลังจากเวียดนามผ่านช่วงศึกสงคราม โดยเฉพาะสงครามเวียดนาม เมื่อสงครามสิ้นสุดลง
ของพวกนี้ก็คงเหลือเต็มบ้านเต็มเมือง จนไม่ว่านั่งรถผ่านไปที่ไหนก็สามารถพบเห็นซากรถถัง ซากปืนใหญ่ วางตามหน่วยงานราชการ
ราวกับเป็นของประดับไปแล้ว ช่วยย้ำเตือนถึงความโหดร้ายของสงครามที่ฝังแน่นอยู่อย่างไม่ลืมเลือน











ด้านในพิพิธภัณฑ์ก็จะมีเรื่องราวของสงคราม ภาพของผู้นำกองทัพเวียดนามในยุคสมัยต่าง ๆ สิ่งของจากสงคราม และอื่น ๆ อีกมาก
โดยที่นี่จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดวางแบบง่าย ๆ ไม่หวือหวาครับ มันเลยไม่ให้ความรู้สึกดึงดูดสักเท่าไหร่ ด้านในค่อนข้างร้อน
เป็นพิพิธภัณฑ์แบบเก่า ๆ ครับคือไม่ติดแอร์ แปะภาพบนพื้นเหมือนฟิวเจอร์บอร์ดแล้วเอาไปแปะบนผนังอีกที
แล้วก็ส่วนของแสดงก็จัดแบบง่าย ๆ ใส่ตู้กระจก ไม่มีการจัดแสงให้เหมาะกับการถ่ายรูปเท่าไหร่ เราเดินกันผ่าน ๆ ครับ
ที่นี่เป็นตึกสองชั้น หลังจากเราดูชั้นที่สองจบ ก็จะมีระเบียงอ้อมไปด้านหลัง ไปหาตึกอีกตึกนึงครับ อยู่ทางด้านหลังของตึกนี้









ในส่วนของตึกนี้ดูดีขึ้นครับ ร้อนน้อยกว่าตึกด้านหน้านิดหน่อย แต่ยังเป็นพัดลมเหมือนกัน ไม่ติดแอร์ แล้วก็เป็นโถงใหญ่ ๆ
มีเก้าอี้ไว้ให้นักท่องเที่ยวนั่งชมวีดีทัศน์เกี่ยวกับสงครามในเวียดนามครับ รอบ ๆ ห้องเป็นตู้ใส่ข้าวของเครื่องใช้ในสงคราม
แต่จัดแสงและจัดวางไว้อย่างน่าสนใจผิดกับของตึกแรก ผมเดินดูอยู่ไม่นานก็ออกจากตึกครับ สามารถเดินลงด้านข้างได้เลย
ไม่ต้องอ้อมกลับไปลงที่ตึกหน้า ตรงทางลงมีร้านขายของที่ระลึกกับขายน้ำเย็นเจี๊ยบด้วยครับ



พอเดินลงมาเราก็จะเจอกับปืนใหญ่มากมายตั้งแต่ยุคบางระจันเลยก็ว่าได้ เรียงไล่มาจนถึงยุคปัจจุบัน โดยปืนใหญ่ที่ว่า
เค้าจะวางไว้ติดกับหอคอยชูธงฝั่งที่เป็นทางเข้าหอครับ







ทางด้านหลังของหอคอยชูธงก็จะเป็นลานกว้าง มีเศษซากเครื่องบิน ปืนใหญ่ รถถัง รถสายพานลำเลียงพล ฯลฯ
ที่ใช้ในยุคสงครามครับ โดยสามารถปีนขึ้นไปถ่ายรูปได้ (ในบางจุด) งานนี้ก็สนุกพวกสาว ๆ เค้าหละ













เศษซากพวกนี้จะมีคนเดินเข้ามาถ่ายรูปกันไม่ขาดสายครับ ในอริยาบทต่าง ๆ เป็นมุมถ่ายรูปสวย ๆ อีกมุมของเมืองนี้เลย
หลังจากนั้นเราก็เดินเข้าไปในตัวหอคอยชูธงครับ ทางเดินแคบ ๆ ดูไม่มีอะไร ก็เลยแค่เดินถ่ายรูปบรรยากาศรอบ ๆ
หลังกินน้ำกินท่าเสร็จแล้วเราก็เตรียมไปยังจุดหมายต่อไป



ก่อนลงจากหอ ผมขอชักภาพไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย จะเห็นได้ว่าด้านหลังของผมเป็นลานกว้างที่มีแต่เศษซากจากสงคราม
ที่สำคัญคือแดดร้อนมากและอากาศไม่สดใสเอาซะเลย



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.102 Chrome 50.0.2661.102


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2559 14:39:19 »



สุสานโฮจิมินห์ วัดเสาเดียว และบ้านพักลุงโฮ

อย่าเพิ่งตกใจครับว่าทำไมผมรวบยอดสถานที่ท่องเที่ยวถึงสามที่ไว้ในโพสท์เดียว สาเหตุก็คือทั้งสามแห่งนี้อยู่ในโซนเดียวกันครับ
ว่าด้วยการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลตีนในตอนนี้ของเราก่อน



กรอบหมายเลขหนึ่งที่เห็นในแผนที่คือวัดพริตตี้... เอ๊ย ! วัดอ๋าวหญ่าย... เอ๊ย ! วัดว่านเหมี่ยว... เอ๊ย ! ... ถูกแล้ว !!
จบไปแล้วมุกโง่ ๆ ที่เล่นเอง ชงเอง กินเอง มาเข้าเรื่องกันต่อครับ กรอบเลข 1 คือวัดว่านเหมี่ยวหรือวิหารแห่งวรรณกรรมที่ว่า
เราเดินจากหน้าวัดเลาะกำแพงไปตามเส้นทางที่ลากไว้ ผ่านสวนสาธารณะ (สีเขียว ๆ) มาจนถึงสถานที่หมายเลขสอง
ซึ่งก็คือหอยคอยชูธงครับ ระยะทางประมาณห้าร้อยเมตร และตอนนี้เรากำลังจะเดินออกจากหอคอยชูธง (เลข 2) ไปยังสุสานลุงโฮ
ที่อยู่ในกรอบหมายเลขสามครับ โดยระยะทางก็พอ ๆ กันกับทีแรกคือเดินจากหอคอยชูธงไปอีกประมาณ 500 เมตรเช่นกัน

สุสานของโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’ s Mausoleum) ตั้งอยู่ที่จัตุรัสบาดิงห์ อยู่ห่างจากทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมไปทางทิศตะวันตก
2 กิโลเมตร จัตุรัสกลางเมืองนี้เป็นที่ประธานาธิบดีโฮจิมินห์อ่านคำประกาศอิสรภาพเวียดนามจากฝรั่งเสสต่อหน้าชาวเวียดนาม
ที่มาชุมนุมกันอยู่ในจัตุรัสมากกว่า 500,000 คน เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ.1945

สุสานโฮจิมินห์ เป็นอาคารสุสานสร้างด้วยหินอ่อน หินแกรนิต และไม้มีค่าจากทั่วประเทศ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของ Old Quarter
สุสานนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1973 หลังจากโฮจิมินห์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1969

ในสุสานโฮจิมินห์มีทหารกองเกียรติยศในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีขาวยืนถือดาบปลายปืนยืนรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลา
มีทางเดินแคบๆ ไปยังห้องโถงใหญ่ ที่กลางห้องมีแท่นหินตั้งโลงแก้วบรรจุร่างของโฮจิมินห์หรือลุงโฮ ที่นอนสงบเหมือนคนนอนหลับ
อยู่ภายใน

ผู้ที่จะเข้าไปในสุสานจะต้องฝากกระเป๋าถือและสิ่งของมีค่าไว้กับเจ้าหน้าที่ ในสุสานแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ใส่กางเกงขาสั้น
หรือกระโปรงสั้น ห้ามพูดคุยเสียงดัง ไม่อนุญาตให้สูบบุรี่ ถ่ายรูปและวิดีโอใดๆทั้งนั้น ผู้เข้าไปเคารพจะต้องแต่งกายสุภาพ
และสำรวมเดินตามกันไปเป็นแถวเรียงหนึ่งตามเส้นทางที่จัดไว้ให้ ศพของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ได้รับการรักษาไว้
ให้อยู่ในสภาพเดิม ซึ่งเป็นความลับทางการแพทย์ของรัสเซีย ที่แพทย์ในโลกตะวันตกยังไม่มีความชำนาญเท่า


สุสานโฮจิมินห์จะปิดในฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลานาน 2 เดือน (เดือนตุลาคมและเดือนพฤศจิกายน) เพื่อนำศพลุงโฮไปทำความสะอาด
และเปลี่ยนน้ำยาที่รัสเซีย เพื่อให้ศพของรัฐบุรุษที่ชาวเวียดนามนับถือเป็นบิดาของประเทศยืนยงไปชั่วนิรันดร์ ซึ่งขัดกับความประสงค์
ของโฮจิมินห์ที่สั่งให้เผาร่างของท่าน แล้วนำเถ้าถ่านกับอังคารไปบรรจุไว้ที่ภาคกลางใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือของประเทศ
หากแต่ว่ารัฐบาลเวียดนามไม่ยอมปฏิบัติตาม คงเก็บรักษาร่างของลุงโฮไว้ให้คนเวียดนามกราบไหว้บูชาอยู่จนถึงปัจจุบัน
เพื่อให้ชาวเวียดนามทุกคนได้เข้ามาคารวะท่าน เพราะชาวเวียดนามต่างยึดถือว่าตนเองเป็น "บุตรหลานของบั๊กโฮ" กันทุกคน

เป็นอย่างไรบ้างครับ เรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาศพของลุงโฮคงทำให้หลายคนประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

แต่ให้ลุงโฮท่านนอนไปก่อนเถอะครับท่านนอนสบายแล้ว แต่เรานี่สิยังต้องเดินกันขาลากอีกไกลโข แถวนี้แตกต่างจากที่เราอยู่ครับ
เพราะรถน้อยกว่า ถนนค่อนข้างเงียบสงบไม่ค่อยมีเสียงแตรมากวนใจเท่าไหร่ มันสบายหูอย่างประหลาดจนเหมือนไม่ได้อยู่ในฮานอย



เดินกันประมาณสิบนาที เราก็มากันถึงสุสานลุงโฮแล้ว สนามหญ้าหน้าสุสานลุงโอกว้างมาก มากจนเราเห็นสุสานลุงโฮอยู่ไกล ๆ



ไม่รอช้าสาว ๆ คว้างกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ







จากนั้นเราเดินเข้าไปด้านหน้าเพื่อถ่ายภาพกัน จุดนี้เป็นอีกจุดที่รัวชัทเตอร์ไปพอสมควรเลยครับ ได้ภาพสวย ๆ มาเยอะอยู่



ระหว่างเดินถ่ายรูปก็จะมีกองเกียรติยศเดินไปรอบ ๆ



เราเดินไปทางซ้ายมือเพื่อจะอ้อมสวนไปด้านหลังของสุสานลุงโฮ ซึ่งเป็นที่ตั้งของของพิพิธภัณฑ์ วัดเสาเดียว และบ้านลุงโฮ
ในภาพคือภาพของพิพิทธภัณฑ์โฮจิมินห์ครับ เป็นรูปแบบของอาคารสมัยใหม่ ภายในอาคารมีการจัดแสดงมากมาย
มีภาพขาวดำในสมัยสงคราม มีหุ่นปั้นจัดแสดงหลายจุด รวมถึงลุงโฮด้วย แต่จากที่เราหาข้อมูล(กันเดี๋ยวนั้น) เราเลือกจะไม่เข้าชม
เพราะการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ไม่เหมาะกับเวลาที่มีจำกัด เราจึงเลือกจะเก็บรายละเอียดที่อื่น ๆ แทน



จากด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เราเดินเลี้ยวมาทางขวามือมานิดเดียว จะเป็นที่ตั้งของวัดเสาเดียว หรือ วัดเจดีย์เสาเดียว
ซึ่งตั้งอยู่ใกล้บ้านลุงโฮ ชาวเวียดนามเรียกว่า จั่วโมดโกด เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 วัดเจดีย์เสาเดียว
สร้างเป็นศาลาเก๋งจีนหลังเดียวขนาดเล็กตั้งอยู่บนเสาต้นเดียว ศาลานี้อยู่กลางสระบัวรูปสี่เหลี่ยม ภายในศาลาประดิษฐาน
รูปเจ้าแม่กวนอิมปางสิบกร ที่นี่เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของฮานอย





รอบ ๆ ของวัดเสาเดียวเป็นร้านอาหารครับ มีผลไม้ แล้วก็น้ำต่าง ๆ ขาย สามารถนั่งชิล ๆ ชมความสวยงามของวัดได้
เป็นมุมที่เหมาะจะหลบร้อนมาก ๆ ครับของที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ และจากตรงนี้เรายังเห็นด้านหลังของสุสานลุงโฮได้ด้วยครับ



ถัดจากวัดเสาเดียว เราก็ไปกันต่อที่บ้านลุงโฮ เราเสียค่าเข้าชมในราคาถูกเหมือนที่อื่น ถ้าจำไม่ผิด บัตรนี้ใช้ชมพิพิธภัณฑ์ได้ด้วย
คือเป็นการตีตั๋วทีเดียวเข้าชมได้ทั่วบริเวณ ด้านในนี้ร่มรื่นมากผิดจากด้านนอก ทางขวามือของในภาพคือทำเนียบประธานาธิบดีครับ
ซึ่งบ้านพักลุงโฮก็อยู่ถัดไปด้านหลังของลุงโฮนี่แหละครับ



เดินตามทางมาอีกนิดผมเห็นคนจำนวนมากยืนมุงอะไรสักอย่าง ไกด์ที่อธิบายให้คนกลุ่มนั้นพูดจับใจความได้ว่า
ที่นี่คือห้องทำงานของลุงโฮครับ







เราเดินเลาะสระน้ำมาทางขวามือ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่คนให้ความสนใจกันมากนั่นคือบ้านพักของลุงโฮครับ เรามากันถึงแล้ว
บ้านพักทำจากไม้ยกสูงดูเรียบง่ายไม่หรูหราใหญ่โตอะไร เราสามารถเดินชมรอบ ๆ ได้ แล้วก็เดินขึ้นไปชั้นสองชมห้องนอนได้
ผ่านทางเดินที่กำหนดไว้



ลงจากบ้านลุงโฮมาจะมีสะพานเล็ก ๆ ตรงจุดนี้จะเห็นได้ว่ามีปลาคาร์ฟมากมายว่ายแหวกอย่างสบายใจ
สะพานนี้จะเชื่อมไปยังทางเดินรอบสระน้ำ และระหว่างทางจะมีคนหยุดเดินแล้วนั่งถ่ายรูปเป็นช่วง ๆ ครับ
สิ่งที่เค้าถ่ายคือสิ่งนี้





รากไม้ครับ ! รอบๆสระน้ำมีต้นไม้ใหญ่ที่ว่ากันว่าลุงโฮเอามาปลูกเอาไว้ ต้นไม้ชนิดนี้มีรากผุดขึ้นมาหายใจ รากไม้ดูแปลกตา
หากลองมองให้ดีบวกกับพลังมโนอีกสักหน่อย จะเห็นว่ารากไม้ที่ผุดขึ้นมาเหมือนกับพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ มากมาย

ก็จบกันไปแล้วครับกับบ้านลุงโฮและบริเวณรอบ ๆ



ถัดออกมาก็จะเป็นโซนนั่งพักครับ มีเก้าอี้ยาว ๆ เรียงรายกันหลายตัว มีของที่ระลึก มีไอติม น้ำดื่มจำหน่ายให้คลายร้อน
บริเวณนี้จะมีร้านค้าอยู่รอบ ๆ แล้วก็มีห้องน้ำห้องท่าที่อยู่ด้านหลัง

ถึงจุดนี้ผมนั่งทอดกายเหยียดขาออกไป ส่วนสาว ๆ ไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา ปะแป้งกันให้สดชื่นหลังจากเดินกันมาเยอะ
ระหว่างนี้ผมก็นั่งเพลิน ๆ ลมเย็น ๆ พัดผ่าน ผมก็นั่งดูลูกหลานลุงโฮเพลินตา



หลานลุงโฮนั้นโก้จริง ๆ แต่ แด่ด แต แด๊ด แต่ แต แต่ด แต่ด (*โปรดใช้ทำนองสาวบางโพ)

หลังสาว ๆ ล้างหน้าล้างตา กินน้ำ ปัสสาวะกันจนสดชื่น เราเดินออกจากเขตบ้านพักลุงโฮ





เมื่อพ้นประตู ภาพสุสานลุงโฮที่ตั้งตระหง่านก็ปรากฏตรงหน้าพวกเราอีกครั้ง กองเกียรติยศเองก็ยังเดินกันต่อเนื่อง



เราเลือกเดินออกมาทางซ้าย และเริ่มเดินเลาะถนนไปยังสถานที่ต่อไปซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากที่นี่
ระหว่างทางเราได้เดินผ่านทำเนียบประธานาธิบดี ซึ่งก็หยุดถ่ายรูปกันนิดหน่อย





ที่ตลกคือระหว่างยืนถ่ายมีทหารเดินมายัยคนที่ไปยืนถ่ายรูปอยู่ตรงรั้วเลยรีบเก็บกล้องเดินหนีในทันที
แต่เค้าไม่ได้ว่าอะไรครับ เราเลยหัวเราะกันลั่น

ทำเนียบประธานาธิบดีหลังนี้คือที่ผมพูดถึงข้างต้นครับที่ผมบอกว่าอยู่ทางขวามือของทางเดินเรา แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ถ่ายภาพครับ
เพราะว่าไม่สามารถเห็นตัวอาคารได้เต็ม ๆ จึงเดินเลยไปชมบ้านลุงโฮซึ่งอยู่หลังอาคารนี้ก่อน
สำหรับทำเนียบประธานาธิบดี เป็นอาคารทรงโคโลเนียลสีเหลืองที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1901 เพื่อใช้เป็นที่ทำการ
ของผู้สำเร็จราชการชาวฝรั่งเศสแห่งอินโด-ไชน่า (ซึงจัดเป็นหนึ่งในคนมีอำนาจสูงสุดของอินโดจีนในตอนนั้น)
ที่นี่เคยเป็นสถานที่ทำงานของประธานาธิบดีโฮจิมินห์เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันเป็นที่รับแขกเมืองของเวียดนาม





ปล.
โฮจิมินห์เสียชีวิตในวันที่ 2 กันยายน 1969 ซึ่งตรงกับวันชาติเวียดนามพอดี ทางรัฐบาลเวียดนามจึงประกาศว่า
โฮจิมินห์เสียชีวิตในวันที่ 3 กันยายาน 1969 แทนเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศในการเฉลิมฉลองวันชาติ



ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก oceansmile.com
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.102 Chrome 50.0.2661.102


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2559 18:11:41 »


วัดจั่วเตริ่นกว๊อก

หลังเดินเที่ยวสุสานลุงโฮ บ้านพักลุงโฮ วัดเสาเดียว ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันทั้งหมด เราก็เดินลัดเลาะผ่านออกมา
ทางหน้าทำเนียบประธานาธิบดี ข้ามถนนอันวุ่นวาย เราเดินกันมาเรื่อย ๆ จนมาถึงทะเลสาบโฮไต



เส้นทางที่นี่ไม่มีหลุมบ่อครับ ทางเท้าบ้านเค้ากว้างมาก เค้าให้ความสำคัญกับการสัญจรทั้งทางเท้า และทางรถวิ่งเลย
นานน๊านทีจะเจอเศษขยะบนทางเท้า เราก็เก็บมันไปทิ้งซะ พึงระลึกไว้ครับ ไปที่ไหนก็ตามไม่ว่าในหรือนอกประเทศ
เจอเศษขยะถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็เก็บเอาไปทิ้ง ถ้าไม่เก็บทิ้งก็อย่าไปทิ้งเพิ่ม ไม่รักษาก็อย่าทำลายครับ



เส้นทางที่เราพึ่งพาสองขาและหัวใจไกลประมาณหนึ่งกิโลเมตรครับ ดูจากแผนที่จะเห็นได้ว่ามันมีลักษณะเหมือนสะพาน
ตัดตรงขอบ ๆ ทะเลสาบ มันเป็นถนนตัดข้ามที่สองข้างทางมีวิวสวย ๆ เป็นทะเลสาบกว้างสุดลูกหูลูกตาครับ
หมายเลข 1 ในแผนที่คือสุสานลุงโฮ ส่วนหมายเลขสองคือวัดจั่วเตริ่นกว๊อกที่เรากำลังจะไปครับ
หมายเลขสามคือทะเลสาบโฮไต ซึ่งผมจะบอกว่ามันใหญ่มาก มากเสียจนทะเลสาบฮว่านเกี๊ยม
ที่เราแวะมาตั้งแต่แรกในหมายเลข 4 ดูเล็กจิ๋วไปถนัดตา









เราเดินเลาะถนนข้างทะเลสาบชมวิวความสวยงามยามเย็น ท่ามกลางเสียงแตรที่ระงมอยู่รอบทิศ ทะเลสาบกลับสงบนิ่งไม่ติงไหว
เป็นอะไรที่ขัดกันสุด ๆ ภายในทะเลสาบขนาดสุดลูกหูลูกตานี้มีภาพครอบครัวกำลังปั่นเรือถีบดูแล้วก็พลอยมีความสุขตามไปด้วย
บ้างก็เอาเรือบังคับวิทยุมาเล่น บ้างก็วิ่งออกกำลังบนเส้นทางที่เราเดินประหนึ่งวิ่งในสวนลุม และก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อย
ที่เอามอเตอร์ไซค์มาขี่บนทางเดินของเรา ซึ่งเราก็งงว่ามันมายังไงวะ ?



หลังจากเราเดินจนน้ำลายเริ่มเหนียว จุดหมายต่อไปก็โดดเด่นตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า ซึ่งก็คือเจดีย์เตริ่นกว็อก
ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบโฮไตซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในฮานอย เจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในเวียดนาม
ผมนึกแปลกใจเหมือนกันว่าก่อนที่เค้าจะทำถนนตัดข้ามทะเลสาบเส้นนี้ขึ้น เค้ามาสร้างวัดกลางทะเลสาบนี้ได้ยังไง



จากถนนข้ามทะเลสาบ จะมีทางเล็ก ๆ เข้าไปที่วัดซึ่งมีลักษณะเหมือนเกาะเล็ก ๆ กลางทะเลสาบแห่งนี้
กว่าจะมาถึงพระอาทิตย์ก็ห่างจากเส้นขอบฟ้าไม่มากแล้ว เรารีบเข้าไปในตัววัด เพราะไม่รู้ว่าเค้าจะปิดประตูกันตอนไหน



สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในวัดนี้คือเจดีย์สีชมพูไล่ระดับขึ้นไปเป็นชั้นๆ คล้ายกับเจดีย์ของญี่ปุ่น ซึ่งเห็นมาแต่ไกล
และเป็นตัวบ่งบอกว่าเราใกล้จะมาถึงวัดนี้แล้ว



เจดีย์นี้มี 11 ชั้น สูง 15 เมตร หอแต่ละชั้นมี 6 ประตูโค้ง และในแต่ละชั้นของเจดีย์มีพระพุทธรูปสีขาวประดิษฐานอยู่
ในช่องรอบเจดีย์ และที่นี่ยังเป็นที่บรรจุอัฐิของพระที่เป็นเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้อีกด้วย
เจดีย์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ตรงกับต้นโพธิ์ใหญ่ซึ่งได้มาจากประธานาธิบดีอินเดียเมื่อเขาไปเยี่ยมฮานอยในปี ค.ศ. 1959



บรรยากาศภายในวัดเงียบสงบมากครับ เสียงแตรที่ระงมตรงปากทางไม่ค่อยจะเล็ดลอดมาได้ถึงข้างในสักเท่าไหร่
ประกอบกับความร่มรื่นภายใน ที่นี่จึงนับเป็นอีกมุมสงบใจกลางเมือง ซึ่งระหว่างที่เราอยู่กันที่นั่น ก็มีคนแวะเวียนมาเที่ยว
และมาไหว้พระขอพรกันไม่ขาดสาย



บรรยากาศรอบ ๆ เจดีย์ คราบตะไคร่น้ำตามก้อนอิฐช่วยเพิ่มความขลังได้หลายเลเวล

นอกจากบรรยากาศงาม ๆ ที่นี่ยังมีลูกหลานลุงโฮงาม ๆ ให้ได้ชมด้วย







หลังจากที่ผมบอกกับตัวเองอีกครั้งว่า "หลานลุงโฮนั้นโก้จริง ๆ"

เราก็แยกย้ายกันไปไหว้พระ พอเสร็จก็เดินออกมาด้านนอก ข้ามสะพานเล็ก ๆ กลับสู่ถนนเส้นเดิม
เราต่างก็คอแห้งเพราะโปรแกรมวันนี้มีแต่เดิน เดิน เดิน แล้วก็เดิน เป็นการใช้งานอวัยวะของร่างกายที่มีชื่อว่า "ขา"
ได้อย่างคุ้มค่าที่สุดวันหนึ่งเลยนับตั้งแต่เกิดมาเป็นผู้เป็นคน





ที่ด้านหน้ามีร้านขายไอติมร้านเล็ก ๆ เราซื้อมากินกันคนละอันให้พอสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะวันนี้เราตั้งใจจะตระเวนหาของกิน
แถว ๆ กับโรงแรมที่เราพัก ซึ่งมันแทบจะอยู่ใจกลางของถนนคนเดิน

เมื่อกินกันเสร็จเราจึงโบกแท็กซี่กลับที่พัก ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโรงแรม และในอีกไม่ช้าเราจะตระเวนหาของกินให้สมใจ


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น:
หน้า:  [1] 2   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
น้าแม๊คพาเที่ยว อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว
สุขใจ ไปเที่ยว
หมีงงในพงหญ้า 5 7579 กระทู้ล่าสุด 05 กุมภาพันธ์ 2553 12:24:20
โดย เงาฝัน
น้าแม๊คพาเที่ยว พุทธอุทยานนครสวรรค์
สุขใจ ไปเที่ยว
หมีงงในพงหญ้า 11 10915 กระทู้ล่าสุด 28 มิถุนายน 2553 15:58:49
โดย หมีงงในพงหญ้า
น้าแม๊คพาเที่ยว ขึ้นเหนือแอ่วเมืองเจียงใหม่ ภาค ๓ วัดอุโมงค์ « 1 2 »
สุขใจ ไปเที่ยว
หมีงงในพงหญ้า 20 19134 กระทู้ล่าสุด 18 พฤษภาคม 2554 07:04:53
โดย beam
น้าแม๊คพาเที่ยว - วัดอุโปสถาราม (วัดโบสถ์ / วัดโบสถ์มโนรมย์) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
สุขใจ ไปเที่ยว
หมีงงในพงหญ้า 1 12002 กระทู้ล่าสุด 03 มิถุนายน 2557 07:09:31
โดย Kimleng
น้าแม๊คพาเที่ยว - วัดขุนอินทประมูล นายอากรผู้ยักยอกเงินพระมหากษัตริย์มาสร้างวัด
สุขใจ ไปเที่ยว
หมีงงในพงหญ้า 3 31519 กระทู้ล่าสุด 24 สิงหาคม 2557 22:05:09
โดย หมีงงในพงหญ้า
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.582 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 02 พฤษภาคม 2567 04:53:06