สุสานโฮจิมินห์ วัดเสาเดียว และบ้านพักลุงโฮอย่าเพิ่งตกใจครับว่าทำไมผมรวบยอดสถานที่ท่องเที่ยวถึงสามที่ไว้ในโพสท์เดียว สาเหตุก็คือทั้งสามแห่งนี้อยู่ในโซนเดียวกันครับ
ว่าด้วยการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลตีนในตอนนี้ของเราก่อน
กรอบหมายเลขหนึ่งที่เห็นในแผนที่คือวัดพริตตี้... เอ๊ย ! วัดอ๋าวหญ่าย... เอ๊ย ! วัดว่านเหมี่ยว... เอ๊ย ! ... ถูกแล้ว !!
จบไปแล้วมุกโง่ ๆ ที่เล่นเอง ชงเอง กินเอง มาเข้าเรื่องกันต่อครับ กรอบเลข 1 คือวัดว่านเหมี่ยวหรือวิหารแห่งวรรณกรรมที่ว่า
เราเดินจากหน้าวัดเลาะกำแพงไปตามเส้นทางที่ลากไว้ ผ่านสวนสาธารณะ (สีเขียว ๆ) มาจนถึงสถานที่หมายเลขสอง
ซึ่งก็คือหอยคอยชูธงครับ ระยะทางประมาณห้าร้อยเมตร และตอนนี้เรากำลังจะเดินออกจากหอคอยชูธง (เลข 2) ไปยังสุสานลุงโฮ
ที่อยู่ในกรอบหมายเลขสามครับ โดยระยะทางก็พอ ๆ กันกับทีแรกคือเดินจากหอคอยชูธงไปอีกประมาณ 500 เมตรเช่นกัน
สุสานของโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’ s Mausoleum) ตั้งอยู่ที่จัตุรัสบาดิงห์ อยู่ห่างจากทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมไปทางทิศตะวันตก
2 กิโลเมตร จัตุรัสกลางเมืองนี้เป็นที่ประธานาธิบดีโฮจิมินห์อ่านคำประกาศอิสรภาพเวียดนามจากฝรั่งเสสต่อหน้าชาวเวียดนาม
ที่มาชุมนุมกันอยู่ในจัตุรัสมากกว่า 500,000 คน เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ.1945
สุสานโฮจิมินห์ เป็นอาคารสุสานสร้างด้วยหินอ่อน หินแกรนิต และไม้มีค่าจากทั่วประเทศ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของ Old Quarter
สุสานนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1973 หลังจากโฮจิมินห์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1969
ในสุสานโฮจิมินห์มีทหารกองเกียรติยศในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีขาวยืนถือดาบปลายปืนยืนรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลา
มีทางเดินแคบๆ ไปยังห้องโถงใหญ่ ที่กลางห้องมีแท่นหินตั้งโลงแก้วบรรจุร่างของโฮจิมินห์หรือลุงโฮ ที่นอนสงบเหมือนคนนอนหลับ
อยู่ภายใน
ผู้ที่จะเข้าไปในสุสานจะต้องฝากกระเป๋าถือและสิ่งของมีค่าไว้กับเจ้าหน้าที่ ในสุสานแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ใส่กางเกงขาสั้น
หรือกระโปรงสั้น ห้ามพูดคุยเสียงดัง ไม่อนุญาตให้สูบบุรี่ ถ่ายรูปและวิดีโอใดๆทั้งนั้น ผู้เข้าไปเคารพจะต้องแต่งกายสุภาพ
และสำรวมเดินตามกันไปเป็นแถวเรียงหนึ่งตามเส้นทางที่จัดไว้ให้
ศพของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ได้รับการรักษาไว้
ให้อยู่ในสภาพเดิม ซึ่งเป็นความลับทางการแพทย์ของรัสเซีย ที่แพทย์ในโลกตะวันตกยังไม่มีความชำนาญเท่าสุสานโฮจิมินห์จะปิดในฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลานาน 2 เดือน (เดือนตุลาคมและเดือนพฤศจิกายน) เพื่อนำศพลุงโฮไปทำความสะอาด
และเปลี่ยนน้ำยาที่รัสเซีย เพื่อให้ศพของรัฐบุรุษที่ชาวเวียดนามนับถือเป็นบิดาของประเทศยืนยงไปชั่วนิรันดร์ ซึ่งขัดกับความประสงค์
ของโฮจิมินห์ที่สั่งให้เผาร่างของท่าน แล้วนำเถ้าถ่านกับอังคารไปบรรจุไว้ที่ภาคกลางใต้ ภาคกลาง และภาคเหนือของประเทศ
หากแต่ว่ารัฐบาลเวียดนามไม่ยอมปฏิบัติตาม คงเก็บรักษาร่างของลุงโฮไว้ให้คนเวียดนามกราบไหว้บูชาอยู่จนถึงปัจจุบัน
เพื่อให้ชาวเวียดนามทุกคนได้เข้ามาคารวะท่าน เพราะชาวเวียดนามต่างยึดถือว่าตนเองเป็น "บุตรหลานของบั๊กโฮ" กันทุกคน
เป็นอย่างไรบ้างครับ เรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาศพของลุงโฮคงทำให้หลายคนประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
แต่ให้ลุงโฮท่านนอนไปก่อนเถอะครับท่านนอนสบายแล้ว แต่เรานี่สิยังต้องเดินกันขาลากอีกไกลโข แถวนี้แตกต่างจากที่เราอยู่ครับ
เพราะรถน้อยกว่า ถนนค่อนข้างเงียบสงบไม่ค่อยมีเสียงแตรมากวนใจเท่าไหร่ มันสบายหูอย่างประหลาดจนเหมือนไม่ได้อยู่ในฮานอย
เดินกันประมาณสิบนาที เราก็มากันถึงสุสานลุงโฮแล้ว สนามหญ้าหน้าสุสานลุงโอกว้างมาก มากจนเราเห็นสุสานลุงโฮอยู่ไกล ๆ
ไม่รอช้าสาว ๆ คว้างกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ
จากนั้นเราเดินเข้าไปด้านหน้าเพื่อถ่ายภาพกัน จุดนี้เป็นอีกจุดที่รัวชัทเตอร์ไปพอสมควรเลยครับ ได้ภาพสวย ๆ มาเยอะอยู่
ระหว่างเดินถ่ายรูปก็จะมีกองเกียรติยศเดินไปรอบ ๆ
เราเดินไปทางซ้ายมือเพื่อจะอ้อมสวนไปด้านหลังของสุสานลุงโฮ ซึ่งเป็นที่ตั้งของของพิพิธภัณฑ์ วัดเสาเดียว และบ้านลุงโฮ
ในภาพคือภาพของพิพิทธภัณฑ์โฮจิมินห์ครับ เป็นรูปแบบของอาคารสมัยใหม่ ภายในอาคารมีการจัดแสดงมากมาย
มีภาพขาวดำในสมัยสงคราม มีหุ่นปั้นจัดแสดงหลายจุด รวมถึงลุงโฮด้วย แต่จากที่เราหาข้อมูล(กันเดี๋ยวนั้น) เราเลือกจะไม่เข้าชม
เพราะการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ไม่เหมาะกับเวลาที่มีจำกัด เราจึงเลือกจะเก็บรายละเอียดที่อื่น ๆ แทน
จากด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เราเดินเลี้ยวมาทางขวามือมานิดเดียว จะเป็นที่ตั้งของ
วัดเสาเดียว หรือ
วัดเจดีย์เสาเดียวซึ่งตั้งอยู่ใกล้บ้านลุงโฮ ชาวเวียดนามเรียกว่า
จั่วโมดโกด เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 วัดเจดีย์เสาเดียว
สร้างเป็นศาลาเก๋งจีนหลังเดียวขนาดเล็กตั้งอยู่บนเสาต้นเดียว ศาลานี้อยู่กลางสระบัวรูปสี่เหลี่ยม ภายในศาลาประดิษฐาน
รูปเจ้าแม่กวนอิมปางสิบกร ที่นี่เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของฮานอย
รอบ ๆ ของวัดเสาเดียวเป็นร้านอาหารครับ มีผลไม้ แล้วก็น้ำต่าง ๆ ขาย สามารถนั่งชิล ๆ ชมความสวยงามของวัดได้
เป็นมุมที่เหมาะจะหลบร้อนมาก ๆ ครับของที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ และจากตรงนี้เรายังเห็นด้านหลังของสุสานลุงโฮได้ด้วยครับ
ถัดจากวัดเสาเดียว เราก็ไปกันต่อที่บ้านลุงโฮ เราเสียค่าเข้าชมในราคาถูกเหมือนที่อื่น ถ้าจำไม่ผิด บัตรนี้ใช้ชมพิพิธภัณฑ์ได้ด้วย
คือเป็นการตีตั๋วทีเดียวเข้าชมได้ทั่วบริเวณ ด้านในนี้ร่มรื่นมากผิดจากด้านนอก ทางขวามือของในภาพคือทำเนียบประธานาธิบดีครับ
ซึ่งบ้านพักลุงโฮก็อยู่ถัดไปด้านหลังของลุงโฮนี่แหละครับ
เดินตามทางมาอีกนิดผมเห็นคนจำนวนมากยืนมุงอะไรสักอย่าง ไกด์ที่อธิบายให้คนกลุ่มนั้นพูดจับใจความได้ว่า
ที่นี่คือห้องทำงานของลุงโฮครับ
เราเดินเลาะสระน้ำมาทางขวามือ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่คนให้ความสนใจกันมากนั่นคือบ้านพักของลุงโฮครับ เรามากันถึงแล้ว
บ้านพักทำจากไม้ยกสูงดูเรียบง่ายไม่หรูหราใหญ่โตอะไร เราสามารถเดินชมรอบ ๆ ได้ แล้วก็เดินขึ้นไปชั้นสองชมห้องนอนได้
ผ่านทางเดินที่กำหนดไว้
ลงจากบ้านลุงโฮมาจะมีสะพานเล็ก ๆ ตรงจุดนี้จะเห็นได้ว่ามีปลาคาร์ฟมากมายว่ายแหวกอย่างสบายใจ
สะพานนี้จะเชื่อมไปยังทางเดินรอบสระน้ำ และระหว่างทางจะมีคนหยุดเดินแล้วนั่งถ่ายรูปเป็นช่วง ๆ ครับ
สิ่งที่เค้าถ่ายคือสิ่งนี้
รากไม้ครับ ! รอบๆสระน้ำมีต้นไม้ใหญ่ที่ว่ากันว่าลุงโฮเอามาปลูกเอาไว้ ต้นไม้ชนิดนี้มีรากผุดขึ้นมาหายใจ รากไม้ดูแปลกตา
หากลองมองให้ดีบวกกับพลังมโนอีกสักหน่อย จะเห็นว่ารากไม้ที่ผุดขึ้นมาเหมือนกับพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ มากมาย
ก็จบกันไปแล้วครับกับบ้านลุงโฮและบริเวณรอบ ๆ
ถัดออกมาก็จะเป็นโซนนั่งพักครับ มีเก้าอี้ยาว ๆ เรียงรายกันหลายตัว มีของที่ระลึก มีไอติม น้ำดื่มจำหน่ายให้คลายร้อน
บริเวณนี้จะมีร้านค้าอยู่รอบ ๆ แล้วก็มีห้องน้ำห้องท่าที่อยู่ด้านหลัง
ถึงจุดนี้ผมนั่งทอดกายเหยียดขาออกไป ส่วนสาว ๆ ไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา ปะแป้งกันให้สดชื่นหลังจากเดินกันมาเยอะ
ระหว่างนี้ผมก็นั่งเพลิน ๆ ลมเย็น ๆ พัดผ่าน ผมก็นั่งดูลูกหลานลุงโฮเพลินตา
หลานลุงโฮนั้นโก้จริง ๆ แต่ แด่ด แต แด๊ด แต่ แต แต่ด แต่ด (*โปรดใช้ทำนองสาวบางโพ)
หลังสาว ๆ ล้างหน้าล้างตา กินน้ำ ปัสสาวะกันจนสดชื่น เราเดินออกจากเขตบ้านพักลุงโฮ
เมื่อพ้นประตู ภาพสุสานลุงโฮที่ตั้งตระหง่านก็ปรากฏตรงหน้าพวกเราอีกครั้ง กองเกียรติยศเองก็ยังเดินกันต่อเนื่อง
เราเลือกเดินออกมาทางซ้าย และเริ่มเดินเลาะถนนไปยังสถานที่ต่อไปซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากที่นี่
ระหว่างทางเราได้เดินผ่านทำเนียบประธานาธิบดี ซึ่งก็หยุดถ่ายรูปกันนิดหน่อย
ที่ตลกคือระหว่างยืนถ่ายมีทหารเดินมายัยคนที่ไปยืนถ่ายรูปอยู่ตรงรั้วเลยรีบเก็บกล้องเดินหนีในทันที
แต่เค้าไม่ได้ว่าอะไรครับ เราเลยหัวเราะกันลั่น
ทำเนียบประธานาธิบดีหลังนี้คือที่ผมพูดถึงข้างต้นครับที่ผมบอกว่าอยู่ทางขวามือของทางเดินเรา แต่ตอนนั้นผมไม่ได้ถ่ายภาพครับ
เพราะว่าไม่สามารถเห็นตัวอาคารได้เต็ม ๆ จึงเดินเลยไปชมบ้านลุงโฮซึ่งอยู่หลังอาคารนี้ก่อน
สำหรับทำเนียบประธานาธิบดี เป็นอาคารทรงโคโลเนียลสีเหลืองที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1901 เพื่อใช้เป็นที่ทำการ
ของผู้สำเร็จราชการชาวฝรั่งเศสแห่งอินโด-ไชน่า (ซึงจัดเป็นหนึ่งในคนมีอำนาจสูงสุดของอินโดจีนในตอนนั้น)
ที่นี่เคยเป็นสถานที่ทำงานของประธานาธิบดีโฮจิมินห์เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันเป็นที่รับแขกเมืองของเวียดนาม
ปล.
โฮจิมินห์เสียชีวิตในวันที่ 2 กันยายน 1969 ซึ่งตรงกับวันชาติเวียดนามพอดี ทางรัฐบาลเวียดนามจึงประกาศว่า
โฮจิมินห์เสียชีวิตในวันที่ 3 กันยายาน 1969 แทนเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศในการเฉลิมฉลองวันชาติ
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก oceansmile.com