• ศาสนาในภูฏาน พุทธศาสนาตันตรยาน
• พุทธศาสนาตันตรยาน• ภูฏานเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกที่ยอมรับนับถือพุทธศาสนามหายานแบบตันตระ เป็นศาสนาประจำชาติอย่างเป็นทางการ นิกายตันตรยานหรือวัชรยานถือกำเนิดขึ้นในช่วงสุดท้ายของพัฒนาการอันยาวนานของพุทธศาสนา ชื่อตันตรยานมาจากคำว่าตันตระ ในภาษาอินเดีย เป็นชื่อคัมภีร์ลึกลับที่รู้กันในวงจำกัด และปรากฎขึ้นในราวช่วงศตวรรษที่ 3-10 โดยแบ่งออกได้เป็นสี่กลุ่ม จากคำสอนที่ง่ายที่สุดจนไปถึงคำสอนที่ซับซ้อนที่สุด ได้แก่ คัมภีร์กริยาตันตระ คัมภีร์จรรยาตันตระ คัมภีร์โยคตันตระ และ คัมภีร์อนุตตรโยคตันตระ
• พุทธศาสนาตันตรายานสูญหายไปจากอินเดียซึ่งเป็นดินแดนต้นกำเนิดในช่วงที่พวกมุสลิมยกมารุกรานในต้นศตวรรษที่ 13 และไปรุ่งเรืองอยู่ในทิเบต ลาดัคห์ สิกขิม มองโกเลีย ภาคเหนือของเนปาล ภูฏาน จีน และญี่ปุ่นแทน
• แนวคิดพื้นฐาน• พุทธศาสนาตันตรยานมีความเชื่อพื้นฐานเหมือนกับพุทธศาสนานิกายอื่น คือเชื่อว่า กรรมในอดีตชาติเป็นตัวกำหนดชาติภพและชีวิตในปัจจุบัน และเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้สรรพชีวิตต้องเวียนว่ายตายเกิดเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด บุคคลจึงควรทุ่มเทความพยายามมุ่งไปให้ถึงพระนิพพานซึ่งจะช่วยปลดปล่อยตนให้พ้นจากสังสารวัฏและกิเลสกองทุกข์ทั้งปวงได้
• การหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงเป็นต้นกำเนิดของแนวคิดเรื่องสุญญตาหรือความว่าง ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่มีความแตกต่างระหว่างการมีอยู่หรือมไม่มีอยู่ซึ่งตัวตน เพราะความจริงแล้วสรรพสิ่งในโลกแห่งผัสสะล้วนแล้วแต่ไม่จีรั่งยั่งยืน และเป็นจริงในขั้นสมมุติสัจจจะเท่านั้น แม้มายาภาพที่บังเกิดจะทำให้มนุษย์ยึดติด แต่โดยเนื้อแท้แล้วหามีตัวตนอยู่ในความจิรงขั้นปรมัตถ์ไม่
• กระนั้น พุทธศาสนาสายมหายานและสายตันตรยานก็ยอมรับนับถือเทพเจ้าและเหล่าพระโพธิสัตว์ โดยเชื่อมั่นว่า ท่านเหล่านี้เป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว แต่ยังไม่ยอมก้าวล่วงเข้าสู่พระนิพพาน โดยยินดีที่จะเวียนว่ายอยู่ในห้วงสังขารวัฏนี้ต่อไปจนกว่าจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นห้วงทุกข์ไปได้ทั้งหมดก่อน
• พุทธศาสนาตันตรยานได้พัฒนาขึ้นมาจนมีเอกลักษณ์อันโดดเด่น พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไม่เพียงมีปรากฎอยู่ในพระสูตรและพระวินัยเท่านั้น แต่ยังมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์ของฝ่ายตันตระด้วย คัมภีร์ดังกล่าว เป็นคัมภีร์ลี้ลับและต้องให้พระลามะผู้ทรงภูมิธรรมขั้นสูงเป็นผู้ถ่ายทอดและอธิบายให้ฟัง จึงจะสามารถเข้าใจความหมายในคำสอนเหล่านั้นได้
• มรรควิธีในการเข้าถึงสุญญตาของทางตันตระมีอยู่หลายวิธี ได้แก่ การไม่สะกดหรือข่มกลั้นอารมณ์ต่างๆ เอาไว้ แต่ระเบิดออกมาเพื่อใช้ประโยชน์ในการเรียนรู้ธรรม การสร้างรูปสัญลักษณ์ขึ้นมาแทนตัวแทนเทพเจ้าเพื่อสะท้อนแนวคิดที่ไม่เป็นรูปธรรม การปฏิบัติศาสนกิจและพิธีกรรมต่างๆ ทั้งการสวดมนต์ การร่ายคาถาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง การกราบไหว้บูชาและการเพ่งมณฑลเพื่อเจริญสมาธิ เป็นต้น ทั้งนี้ การถ่ายทอดธรรมแบบปากต่อปากจากอาจารย์สู่ศิษย์นับเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
• ในประเทศภูฏานและทิเบต พุทธศาสนาตันตรยาน ได้พัฒนาไปในทิศทางเดียวจนกลายเป็นพุทธศาสนานิกายลามะหรือพุทธศาสนาแบบทิเบตอย่างที่ทางตะวันตกนิยมเรียกกัน โดยรวมเอาศรัทธาในยุคก่อนการยอมรับนับถือศาสนาพุทธ ลัทธิถือผี รวมถึงการบูชาภูเขา ทะเลสาบ และเทพเจ้าประจำท้องถิ่นเข้ามาไว้ด้วยกัน การผสมกลมกลืนนี้สามารถเห็นได้ชัดในพิธีธรรมทางศาสนาและคติพื้นบ้านต่างๆ
• คนภูฏานเชื่อว่า มนุษย์เรามีองค์ประกอบสี่อย่าง ได้แก่ ลา (เจตสิก) ซก (แก่นชีวิต) เสะ(อายุขัย ) และ นัมเซ (สัญญา) โดยสามอย่างแรกนั้นรับมาจากศรัทธาความเชื่อในยุคก่อนการรับเอาพุทธศาสนาเข้ามา ซึ่งสามอย่างนี้จะสูญสลายไปเมื่อคนเราเสียชีวิตลง ส่วนนัมเซรับมาจากพุทธศาสนาโดยตรง และจะเปลี่ยนถ่ายไปสู่ชีวิตในชาติภาพใหม่หลังกายเนื้อตายไป
• ภาคดุร้ายเป็นภาคสำแดงหนึ่งของเหล่าเทพเจ้าฝ่ายตันตระ สำแดงขึ้นเพื่อกำราบปราบปรามวิญญาณชั่วร้ายที่เป็นปฏิปักษ์กับพุทธศาสนาและเพื่อขับไล่อวิชชา ดังที่ท่านคุรุรินโปเซเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ใช้ไม้อ่อนไม่ได้ ก็ต้องใช้ไม้แข็ง”
• รูปเทพเจ้าที่ไร้ซึ่งภูษาอาภรณ์นั้น ทางตันตระใช้สื่อความหมายว่าจารีตธรรมเนียมในทางโลกไม่มีความสำคัญในภพภูมิที่สูงกว่า ศาสตราวุธและสิ่งของนานาที่ถือไว้ในพระหัตถ์เป็นสัญลักษณ์แทนธรรมชาติต่างๆ มนุษย์หรือปิศาสจที่ถูกเหยียบไว้ใต้บาท สื่อถึงบรรดาปฏิปักษ์ของพุทธศาสนาและแนวคิดฝ่ายมิจฉาทิฐิ ไม่ว่าจะเป็นอวิชชา โทสะหรือความริษยาก็ตาม
• นอกจากนี้ ยังมีรูปเคารพอีกมากมายที่สวมกอดศักติ หรือ เทวี ของท่านไว้ พุทธศาสนาตันตระถือว่า ปริสภาวะของเทพเจ้าเป็นสัญลักษณ์แทนความรู้หรือมรรควิธีเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย ในขณะที่อิตถีภาวะเป็นสัญลักษณ์แทนปัญญา ถ้าปราศจากซึ่งปัญญา ความรู้ก็พาไปไม่ถึงไหน และถ้าไร้ซึ่งความรู้ ปัญญาก็ไม่อาจพาไปถึงพระนิพพานอันเป็นเป้าหมายสูงสุดได้ มีแต่การรวมปัญญากับความรู้เข้าด้วยกัน ดังนี้ บุคคลจึงจะบรรลุถึงความรู้แจ้งได้
• พิธีกรรมของพุทธศาสนาตันตรยาน• พิธีกรรมมักกระทำกันเพื่อปัดเป่าสิ่งเลวร้ายออกไปและชักนำสิ่งดีๆ มาให้ และเพื่อให้บุคคลบรรลุถึงสภาวะที่สามารถนำความผาสุกสวัสดีมาสู่ทุกสรรพชีวิตได้ พิธีกรรมในภูฏานแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ พิธีกรรมที่มีท่วงท่าอากัปกิริยาจำเพาะเข้ามาประกอบ พิธีบูชาเทพยดาที่ไม่ใช่เทพของทางตันตระ และพิธีบูชาเทพ ยิดัมของทางตันตระ (ยิดัม คือครูผู้ถ่ายทอดธรรม อาจเป็นมนุษย์ เทพเจ้า หรือพระธยานิพุทธองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้)
• พิธีกรรมในภูฏานทุกอย่างเริ่มต้นด้วยการอัญเชิญเทพยดา ตามมาด้วยการสารภาพความผิดหรือบาปกรรมที่ได้กระทำ จากนั้นจึงถวายของเซ่นไหว้บวงสรวงและสวดบูชาให้เทพดลบันดาลให้ตนสมปรารถนา ตบท้ายด้วยการร่ายมนต์อัญเชิญเทพยดาให้กลับไปยังที่สถิตซึ่งอาจเป็นรูปเคารพ ภาพเขียน หรือมณฑล
• เครื่องใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาตันตรยาน• โดร์จี (วัชระ) โดร์จี มีลักษณะคล้ายดัมเบลเล็กๆ มีแฉกแยกออกมาจากตรงกึ่งกลางสี่หรือแปดแฉก แต่ส่วนปลายแฉกจะบรรจบเข้าหากันเสมอ วัชระ แปลว่า เพชรหรือสายฟ้า สื่อความหมายถึงความบริสุทธิ์และความแข็งแกร่งที่ไม่มีสิ่งใดจะทำลายลงได้ เฉกเช่นเดียวกับจิตวิญญาณแห่งความเป็นพุทธะ นอกจากนี้ สายฟ้ายังเป็นสัญลักษณ์แทนความรู้ที่จำเป็นต่อการบรรลุธรรม จึงหมายถึง ปุริสภาวะอีกโสหนึ่งด้วย การประกอบพิธีกรรมมักใช้วัชระคู่กับระฆัง (ดริลบู) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนปัญญาและอิตถีภาวะเของเทพเจ้า
• พุรปา คือ กริช อันเป็นที่สถิตของเทพ โดร์จี พุรปา และเป็นเครื่องประกอบพิธีกรรมของลัทธิตันตระในอินเดียมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 7-8 ใบมีดมีรูปทรงสัณฐานเป็นสามเหลี่ยม ส่วนด้ามทำเป็นรูปหัวสัตว์หรือเศียรเทพเจ้า ใช้แทงปิศาจบูชาเทพเจ้า เป็นการช่วยปลดปล่อยวิญญาณให้ได้ไปเกิดใหม่ในชาติภาพที่ดีกว่า นอกจากนี้ ยังใช้ในพิธีชำระมณทิล สร้างความบริสุทธิ์และปกปักรักษาสถานที่ต่างๆ ด้วย
• ตอร์มา หรือ ต้ม เป็นเครื่องประกอบพิธีพุทธของทางทิเบต และภูฏานโดยเฉพาะ ทำขึ้นจากแป้งข้าวเจ้าหรือแป้งสาลีผสมเนยย้อมเป็นสีต่างๆ แล้วนำไปอัดใส่พิมพ์ ทำเป็นรูปทรงและลวดลายต่างๆ ซึ่งมีอยู่หลากหลายมาก งานพิธีทุกงานเป็นเวลาแห่งการทำต้ม เทพเจ้าแต่ละองค์ พิธีกรรมแต่ละพิธีจะมีต้มในรูปแบบของตนโดยเฉพาะ ต้มจะถูกนำไปวางตั้งไว้บนแท่นเพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาแทนมนุษย์และสัตว์ที่เคยใช้กันตั้งแต่ครั้งที่ยังไม่ได้รับเอาศาสนาพุทธเข้ามา
• เดอ มักพบอยู่ตามข้างถนนทางและสี่แยก ลักษณะเป็นเชือกสีที่ฟั่นขึ้นบูชาภูติผีปิศาจและวิญญาณร้ายให้ใช้เป็นที่สิงสถิต จะได้ไม่เที่ยวไปสิงผู้คนหรือสัตว์เลี้ยงให้เจ็บป่วยล้มตายกันอีก
• แท่นบูชาตามวัดวาและบ้านเรือนจะมีถ้วยน้ำวางอยู่เจ็ดใบ ซึ่งจะต้องเปลี่ยนน้ำทุกเช้า เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องบูชาเจ็ดอย่างที่ต้องถวายแด่พระพุทธเจ้าและเทพยดาทั้งหลาย ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม น้ำสรง ดอกไม้หอก กำยานหอม ตะเกียงน้ำมันเนย และน้ำหอม
• สามสัญลักษณ์หมู่ศาสนาในภูฏาน • สัญลักษณ์ทางศาสนาในภูฏานที่ปรากฎให้เห็นเป็นหมู่เหล่ามีอยู่ 3 กลุ่มที่สำคัญได้แก่
• มงคล 8 (ตาชิตาเก)
• สิ่งที่ชาวภูกานถือเป็นสัญลักษณืแห่งความมงคล 8 ประการ ของชีวิตตามความเชื่อและความศรัทธา ซึ่งสิ่งเหล่านี้มักจะปรากฎเป็นรูปเคารพตามโบราณสถาน ตลอดจนในบ้านเรือง มีดังนี้
1. กลสะ หรือ แจกันสมบัติ (Treasure Vase หรือ bumpa) เป็นที่บรรจุหรือเก็บสมบัติ หมายถึง พระธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา อันนับเป็น “อริยทรัพย์” สำหรับชาวพุทธทั้งปวง รูปร่างแจกันเป็นภูฏานคล้ายกับหม้อน้ำ (ปุณณฆฏะ คือ หม้อเต็มด้วยน้ำ) ซึ่งถือเป็นมงคล 1 ใน 108 อย่าง ชาวศรีลังกาจะนิยมถือปุณณฆฏะนี้เดินเวียนต้นโพธิ์ หรือ โบสถ์วิหาร แทนดอกไม้ธูปเทียน
2. ปมอนันตะ หรือ ลายประแจจีน (Endless Knot หรือ pay-yap, drami) คล้ายกับ เฉลว ของไทย ลักษณะเป็นเส้นตอกเอามาขัดกัน หรือเขียนบนผืนผ้าก็ได้ เป็นสัญลักษณ์แทนความรักอันบริสุทธิ์ไม่มีที่สิ้นสุด เส้นตอกที่ขัดกันนั้นเป็นระเบียบสวยงาม ประดุจความรักที่บริสุทธิ์ ย่อมทำให้ชีวิตสวยงาม แต่ถ้าขัดกันไม่เป็นระบบระเบียบ ชีวิตรักก็จะยุ่งเหยิง
3. ธวัช หรือ ธงชัย (Victorious Banner หรือ gyaltshen) เป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะของพระพุทธศาสนาต่อความชั่วร้ายและผีสางทั้งปวง ธงชัยเป็นการประกาศชัยชนะในการเข้ามาของพระพุทธศาสนา ณ ภูมิภาคแถบนี้ ที่ต้องต่อสู้เอาชนะภูติผีปิศาจจำนวนมาก จนสามารถกลับใจปิศาจเหล่านั้นให้หันมายอมรับนับถือและรับใช้พระพุทธศาสนาได้
4. ธรรมจักร หรือ กงล้อธรรม (Wheel of law หรือ khorlo) สัญลักษณ์สากลของชาวพุทธทุกนิกาย ธรรมจักร หมายถึง หลักคำสอนของพุทธศาสนาและเป็นคำสอนที่ “ไม่หยุดนิ่ง” คำว่าไม่หยุดนิ่งนี้ อาจหมายถึงการเคลื่อนไหว หรือปรับตัวให้ทันยุคสมัย และเหมาะแก่ท้องถิ่น เพราะเหตุดังนี้ ศาสนาพุทธในทิเบตและภูฏานจึงมีการปรับให้เหมาะสมกับลัทธิความเชื่อและวัฒนธรรมของท้องถิ่นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
5. ฉัตรทองคำ (Golden Parasol) หรือ ser dhug ซึ่งเปรียบว่า ใช้บังแดด พระพุทธศาสนาเป็นเสมือนฉัตรทองที่ปิดกั้นภยันตรายแก่ผู้ที่นับถือและปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา
6. มัสยา หรือ ปลาทอง (Golden Fish หรือ serge nya) ชาวภูฏานมีความเชื่อว่า ปลาเป็นสัตว์ที่ลืมตาอยู่เสมอทั้งที่อยู่ในน้ำ ตาทั้งสองข้างที่เปิดกว้าง ช่วยให้สามารถมองเห็นอุปสรรคและสิ่งที่กีดขวางทั้งหลายทั้งปวง ตาหนึ่งคือ สติ (ความระลึกได้ ความยับยั้งชั่งใจได้) อีกตาหนึ่งคือสัมปชัญญะ (ความรู้ตัว พร้อมปัญญารู้ทันปรากฎการณ์) เป็นการระมัดระวังมิให้ความชั่วที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น และเพื่อละเว้นความชั่วที่เผลอทำลงไป
7. สังข์ขาว (White Conch หรือ dung kar) สังข์ที่ขัดจนขาวแล้ว เป็นเครื่องหมายแทนพระธรรมอันบริสุทธิ์ สังข์เป็นสัญลักษณ์ของการเผยแพร่หรือโฆษณา สังข์ขาวจึงเป็นเสมือนการประกาศพระศาสนา
8. ปัทมะ หรือ ดอกบัว (Lotus หรือ meto pema) ดอกบัวมีความหมายเหมือนสังข์ขาว ดอกบัวถือเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ดังพุทธวัจนะที่ว่า “ดอกบัวเกิดแต่โคลนตมในนน้ำ แต่ไม่เปียกน้ำ พระพุทธเจ้าก็เช่นกัน เกิดในโลก แต่ไม่เปรอะเปื้อนด้วยมลทินของโลกฉันนั้น”
• สมบัติทั้ง 7 ของพระมหาจักรพรรดิราชในพุทธศาสนา 1. จักรรัตนะ คือ จักรแก้วอันเป็นพระราชยานนำพระมหาจักรพรรดิราชเสด็จไปยังที่ต่างๆ ได้รวดเร็วดังใจนึก สามารถปราบปรามปัจจามิตรได้ทั่วทิศ
2. มณีรัตนะ คือ ดวงแก้วอันมีรัศมีสุกใส อันเมื่อพระมหาจักรรพรรดิราชและอาณาประชาราษฎร์มากราบไหว้ขอสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้นสมดังปรารถนา
3. อิตถีรัตนะ คือ นางแก้วผู้เพียบพร้อมด้วยคุณความดี ควรคู่แต่กับพระมหาจักรพรรดิราชเพียงผู้เดียว
4. คหปติรัตนะ คือ ขุนคลังแก้ว ผู้จงรักภักดี รับราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยความซื่อสัตย์ ยังบ้านเมืองให้ไพบูลย์พูนสุขทุกประการ
5. หัตถีรัตนะ คือ ช้างแก้ว คู่บูญในการทำศึกสงคราม มีกำลังเทียบได้กับพญาคชสารนับพันเชือก
6. อัศวรรัตนะ คือ ม้าแก้ว ที่สามารถเหาะไปในนภากาศ พาพระมหาจักรพรรดิราชเสด็จไปรอบจักรวาลได้ถึงวันละสามรอบ
7. ปริณายกรัตนะ คือ ลูกแก้ว ผู้ช่วยแบ่งเบาพระราชกรณียกิจ มิให้ต้องอนาทรร้อนใจ ทำให้บ้านเองเรืองรุ่ง อาณาประชาราฏร์อยู่เย็นเป็นสุขกันโดยถ้วนทั่ว
• พระอัฏฐเจดีย์ เหตุการณ์สำคัญ 8 ตอนในพุทธประวัติ (โชร์เต็นเดกี)• พระอัฏฐเจดีย์สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญ 8 ตอนในพุทธประวัติ โดยเจดีย์แต่ละองค์จะมีลักษรณะรูปทรงต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
1. เดเช็กโชร์เต็น สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการประสูติของพระพุทธองค์ที่ลุมพินีวัน
2. ชังชุบโชร์เต็น สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ที่พุทธคยา
3. โชโกร์โชร์เต็น สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการแสดงปฐมเทศนาของพระพุทธองค์ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองสารนาถ
4. โชตรุลโชร์เต็น สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงโอกาสที่พระพุทธองค์ทรงมีชัยชนะเหนือพวกเดียรถีย์ที่เมือสาวัตถี
5. ฮาบับโชร์เต็น สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงโอกาสที่พระพุทธองค์เสด็จกลับลงมาจากการไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
6. เยนดุมโชร์เต็น สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงโอกาสที่พระพุทธองค์ทรงระงับการแตกแยกของหมู่พระสงฆจากการยุแยงของพระเทวทัตเมืองราชคฤห์
7. นัมเกลโชร์เต็น สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการปลงอายุสังขารของพระพุทธองค์ที่เมืองเวสาลี
8. เนนเดโชร์เต็น สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์ที่เองกุสินารา