ราตรีนี้ที่ถนนคนเดินพอมาถึงโรงแรม เราเอาสัมภาระที่ไม่จำเป็นออกจากกระเป๋า แล้วเก็บไว้ที่โรงแรม ล้างหน้า เซ็ตผมกันพอเป็นพิธี
จากนั้นก็ได้เวลาตระเวนราตรี จนกระทั่งเวลานี้พาหนะที่ดีที่สุดสำหรับเราก็ยังเป็นสิ่งเดิม "ตีน"
เราเดินออกจากโรงแรมแล้วเลี้ยวซ้าย แถวนี้จะเป็นถนนสองเลน ซึ่งก็ไม่ใช่สองเลนแบบเต็ม ๆ ซะด้วย
จะให้ดีเราเรียกว่าถนนเลนครึ่ง อีกครึ่งเอาไว้ให้แทรก ๆ หลบ ๆ กันเอง
บริเวณรอบ ๆ ที่พักของเราเป็นถนนคนเดินที่ใหญ่พอสมควร อารมณ์คล้าย ๆ ตรอกข้าวสารแต่ไม่คึกคักเท่า
ร้านเหล้าน้อย จะเน้นหนักไปแนว ๆ ร้านอาหารข้างทางซะมากกว่า
สิ่งที่ผมชอบคือที่นี่เค้าตั้งร้านอาหารแบบไม่เกรงใจเทวดาฟ้าดิน เห็นได้ว่าไม่ใช่แค่ตามฟุตบาท แต่ล้นออกมากลางถนน
มันตลกตรงที่พอมีรถวิ่งผ่านมา เค้าก็จะยกเก้าอี้แล้วขยับไปเบียด ๆ กันหลบให้รถผ่าน แต่พอสักพักผ่านไป
จอกแหนเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ ล่องลอยแผ่วงกว้างกลับมาใหม่
เราเดินดูร้านอาหารที่หน้าตาเหมือน ๆ กันทั้งซอย และตกลงปลงใจนั่งที่ร้านนี้ ร้านที่อาเจ๊แกยืนกวักนักท่องเที่ยวทุกคน
ที่เฉียดกรายเข้าไปใกล้
หลังจากได้โต๊ะนั่งแล้ว อาเจ๊แกก็เอาเมนูอาหารมาให้ เมนูที่นี่ไม่ใช่แค่มีภาษาอังกฤษกำกับ แต่มีภาพประกอบด้วย
เรารู้อยู่แก่ใจว่าภาพประกอบตามเมนูอาหารมักน่ากินเกินจริง เหมือนกองไฟที่เอาไว้ล่อแมงเม่าอย่างเรา ๆ
แต่ใครจะสนเล่า สุดท้ายเราก็เลือกจะทำตัวเหมือนแมงเม่าแล้วเลือกกินจากหน้าตาของมันนั่นแหละ
เราสั่งอาหารกันมาหลายอย่าง อาเจ๊แกรับออเดอร์แล้วก็เดินข้ามฝั่งหายไปไหนไม่รู้ เรานั่งกันงง ๆ ไหนวะครัว ?
จนสักพักเราก็ได้รู้ว่า อาเจ๊แกเปิดร้านแบบเอเย่นต์ หรือพูดง่าย ๆ คือเป็นนายหน้านั่นแหละครับ
คือพอแกรับออเดอร์ปุ๊บ แกก็จะไปเดินสั่งจากร้านแถว ๆ นั้น แกแวะซื้อจากร้านโน้นร้านนี้ แล้วก็เอามาให้เรากิน
เจ๊แกไม่ต้องลงทุนอะไร เอาโต๊ะมาตั้ง แล้วเอาเมนูมาให้ แล้วเดินไปสั่ง แล้วเอามาเสริฟ แค่นั้น ! จบ !
เป็นธุรกิจที่ง่ายกว่าที่คิด แต่อย่าคิดว่าเจ๊แกคิดแพงนะครับ อาหารราคาไม่แพงเลย สงสัยเจ๊แกจะได้ราคาดีลเลอร์
ระหว่างรออาหารที่เจ๊แกกำลังเดินไปสั่งมาให้ น้ำผลไม้ที่สั่งไว้ก็มาเสริฟ ในแก้วที่เห็นในรูปนั่นแหละครับ
ให้เดาผมเชื่อว่าไม่มีใครเดาออกว่ามันคือน้ำอะไร งั้นขอเฉลยเลยก็แล้วกัน มันคือน้ำส้มคั้นครับ
มีเศษกากส้มกองอยู่ก้นแก้ว มีรสเปรี้ยวนิด ๆ คล้ายมะนาว รสชาติเฝื่อน ๆ ปะแล่ม ๆ นี่มันไม่ใช่น้ำส้มคั้น
ในความคิดผมมันเหมือนเศษกากส้มชงกับน้ำล้างตีนมากกว่า งานนี้ผมรอดตัวเพราะสั่งน้ำเปล่า
รอไม่นานอาหารที่สั่งไว้ก็มาเสริฟที่โต๊ะจนครบ
ทั้งไก่ทอด เสริฟพร้อมน้ำจิ้มไก่ จานนี้รสชาติใช้ได้ครับ คืออร่อย ทานได้ ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ
จานนี้อะไรไม่รู้ครับ ผมไม่ได้เป็นคนสั่ง แต่มีเนื้อเหนียว ๆ หนา ๆ ด้านในมัน ๆ คล้ายกับไส้หมู
จานนี้ทานกันไม่หมดครับ คือไอ้ตัวผัดผักอ่ะอร่อย แต่ไอ้ส่วนที่เหมือนไส้อ่ะเราเขี่ยกันทิ้ง
นี่ครับ จานนี้เราสั่งกันเพราะในรูปมันดูน่ากินมาก มันคือหนวดปลาหมึกชุบแป้งทอดครับ เสริฟมาพร้อมกับน้ำจิ้มเค็ม ๆ
พอหยิบมากัดคำแรกเท่านั้นแหละ "เหนียวชิบหาย" เหนียมเหมือนกำลังกินยางมอเตอร์ไซค์ชุบแป้งทอด
คือรสชาติมันไม่แย่นะครับ ถ้าเทียบกับอาหารอื่น ๆ จานนี้ยังอร่อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความเหนียว
เหนียวแบบบัดซบ เหมาะมากสำหรับกินแกล้มเหล้า เพราะกว่าจะเคี้ยวแหลกก็หายเมาพอดี
จานนี้ยำแมงกะพรุนครับ สาว ๆ บอกอร่อยกันทุกคน แต่ผมไม่กล้าแตะเลยเพราะแมงกระพรุนที่นี่มีจุด ๆ บนตัวด้วย
ดูน่ากลัวมากกว่าน่ากิน ปกติก็ไม่กินแมงกะพรุนอยู่แล้ว ยิ่งมามีจุด ๆ แบบนี้ด้วยทำใจไม่ลงเลยจริง ๆ
แล้วก็มีผัดเต้าหู้น้ำแดงรสอร่อยเชียวแหละ เต้าหู้เค้าไม่เหม็นครับ หวาน ๆ หอม ๆ น้ำแดงที่ราดก็รสชาติดี
เมนูนี้อร่อยจริงกินกันหมดเกลี้ยงครับ อาจเพราะรสชาติค่อนข้างคุ้นชินใกล้เคียงกับบ้านเมืองเรา
ทุกอย่างไม่ถือว่าแย่ครับร้านนี้ ติดนิดเดียวตรงแหนมย่างที่เราสั่งมาจานนึง แหนมย่างของเค้าหน้าตาคล้าย ๆ
แหนมบ้านเราแต่ประเด็นคือมันไม่เปรี้ยว แถมออกหวานด้วยจ้า เป็นเมนูที่ขัดแย้งกับสามัญสำนึกตัวเองมาก
สมองมันบอกเราว่าไอ้ของแบบนี้มันต้องเปรี้ยวนำเค็มตาม ต้องหอมข้าวหอมกระเทียม แต่พอมันเข้าปากปุ๊บ
มันหวาน ๆ จืด ๆ เหนียว ๆ มีกลิ่นหอมนิด ๆ จากการย่างไฟ แต่รู้สึกว่ามันไม่อร่อยเอาซะเลย
ถ้าจะติก็ติแค่เมนูนี้เมนูเดียวเลยแหละ แต่ภาพรวมก็ถือว่าเป็นอีกมื้อที่ไม่ทำให้เราผิดหวัง
ระหว่างนั่งทานก็มีเจ๊คนนี้เดินมาที่ร้านครับ มายืนคุยล้งเล้ง เดาว่าน่าจะมาเคลียร์เรื่องค่าอาหารกับเจ้าของร้าน
ที่ผมชอบใจคือป้าแกเขียนคิ้วได้กุ๊งกิ๊งกระดิ่งแตกซะจริง ๆ หันไปมองนี่เกือบหัวเราะลั่น
แต่โลกก็ไม่โหดร้ายเสมอไป
อย่างน้อยระหว่างนั่นกินก็ยังมีสารเพิ่มความหวานแทนน้ำตาลมาให้ผมได้สดชื่นขึ้นบ้าง