อุณหิสวิชัยสูตร
(กระแสพุทธธรรมฝ่ายมหายาน)
มนตรยาน คือลัทธินิกายหนึ่งในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
ล้วนปรากฏว่า ในอดีตลัทธิมนตรยานเคยรุ่งเรืองอยู่ระยะหนึ่งทั้งนั้น แม้ภายหลังจะเสื่อมสูญไป
แต่กระแสของมนตรยานก็มิได้หมดสิ้น เช่นในประเทศไทย เช่นพระอุณหิสวิชัยสูตรนี้
พระคาถานี้ อุณิษาวิชยธารณี หรือ อุษณีชัยสูตร เชื่อกันว่า หากสาธยายบ่อยๆ ก็จะไม่ไปเกิดในทุกขคติภูมิ
ด้วยเพราะรสแห่งพระธรรมเทศนาในพระคาถาบทนี้ได้ยังให้ เทวบุตรได้เกิดใหม่ในกายทิพย์ที่วิจิตร
แทนที่จะต้องไปเกิดในทุกขคติภูมินั่นเอง แต่หัวใจของพระคาถานี้คือ การน้อมเข้าถึงพระรัตนตรัยทั้งสาม
ซึ่งจะเป็นเหตุมิให้ต้องไปเกิดในทุกข์คติภูมินั่นเอง โดยสรุปคือท่องอย่างเดียวไม่ได้ต้องเข้าถึงพระรัตนตรัยให้ได้ด้วย
ทำไมเรื่องอุณหิสสวิชัยจึงเกิดขึ้น ? มีเทวดาตนหนึ่งไม่อยากตาย ครั้นมีนิมิตปรากฏแสดงออกมาว่าเทวดาตนนั้นจะต้องตายเช่นมีเหงื่อออก
หรือดอกไม้ประจำตัวเหี่ยวเป็นต้น ก็เกิดความสะดุ้งกลัวอย่างใหญ่หลวงเพราะไม่อยากตาย
จึงดิ้นรนขวนขวายเพื่อจะไม่ให้ต้องตาย คือไม่ให้ต้องจุติจากเทวโลก ได้ถามเพื่อนฝูงที่เป็นเทวดาด้วยกัน
ก็ไม่มีใครบอกได้ ว่าจะทำอย่างไรจึงจะป้องกันความตายได้ ถามไป ๆจนกระทั่งถึงจอมเทวดาคือท้าวสักกะ
ท้าวสักกะก็ตอบไม่ได้ ว่าทำอย่างไรจึงจะป้องกันการจุติครั้งนี้ได้ แต่ท้าวสักกะยังบอกให้ไปทูลถามพระพุทธเจ้า
เทวดาไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสคาถานี้แก่เทวดานั้นคือคาถาที่เรียกว่า อุณหิสสวิชัย นั่นเอง
คาถานี้ไม่มีในพระไตรปิฎก ค้นเท่าไรก็หาไม่พบ จึงเป็นอันว่าเป็นเรื่องนอกพระไตรปิฎก ค้นในอรรถกถาก็ไม่พบ
แม้จะเป็นเรื่องนอกอรรถกถา ก็ควรจะเป็นเรื่องในชั้นฎีกาของอรรถกถานั้น ๆ ก็ยังหาไม่พบอีก
เพราะฉะนั้น จึงเป็นอัน กล่าวได้ว่า เรื่องอุณหิสสวิชัยนี้ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ในทำนองเป็นเรื่องพิเศษ
ให้เป็นเรื่องสมบูรณ์อยู่ในตัวเอง จึงได้เล่าเรื่องเทวดากลัวตายไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วได้รับคาถานี้มาโดยสมบูรณ์
และมีความสำคัญอยู่ที่คาถานั้นนั่นเอง
ความคิดเห็นของ เสถียร โพธินันทะ สูตรนี้เลือนแปรมาจาก “อุษณีวิชัยธารณี” ในภาษาสํสกฤต ของมนตรยานอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ตัวคาถากลับแต่งเป็นบาลี และไม่มีเค้าเหมือนฝ่ายสํสกฤตเลย เข้าใจว่าจะเป็นด้วย
ท่านผู้แต่งคงไม่ได้ฉบับสํสกฤตมาเป็นแบบเป็นราก แต่คงจะได้ทราบความขลังความศักคิ์สิทธิ์ของอุษณีวิชัยธารณี
มาเป็นอย่างดี จึงได้คิดแต่งเป็นสูตรในภาษาบาลีขึ้น ทีจะแต่งในลังกาหรือในเมืองไทยนี้เอง
อุณหิสวิชัยสูตรฝ่ายบาลีดำเนินเรื่องว่า
ในสมัยครั้งพระผู้มีพระภาค เสด็จขึ้นไปเทศนาพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาและเทวบริษัท ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ยังเทวนิกรทั้งหลายให้ได้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก ครั้งนั้น มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อสุปดิศ มีความประมาทมัวเมาใน
ทิพยกามสมบัติ ไม่ได้สดับพระธรรมเทศนา จึงอากาศจารีเทพเจ้าผู้มีหน้าที่ฝ่ายประกาศชักชวนเทพบริษัทให้ไปสดับธรรม
ได้มาพบเข้า ทั้งอากาศจารีเทพยังหยั่งทราบว่า สุปดิศเทพบุตรจะเสวยบุญอีก ๗ วันเท่านั้น ก็จักสิ้นบุญ
แล้วจะไปถือกำเนิด ณ อเวจีมหานรก เพราะวิบากแห่งอกุศลกรรมเก่าก่อน ๆ ตามมาให้ผล เมื่อพ้นจากนรกแล้ว
ก็จะต้องไปเสวยทุกข์ในทุคติภูมิอื่น ๆ อีก อากาศจารีเทพจึงแจ้งความเป็นไปนี้ให้สุปดิศเทพทราบ
สุปดิศเทพจึงเริ่มไม่สบายใจ ประกอบทั้งนิมิตแสดงว่าจะต้องจุติเคลื่อนจากสวรรค์ก็ปรากฏก่อน
จึงเลยหวั่นวิตกกลัวภัยที่จะมาในเบื้องหน้า ในที่สุดพระอินทร์เทวราชแห่งดาวดึงส์ จึงนำไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ขอถึงพระองค์เป็นสรณะที่พึ่ง ยังความสวัสดีให้เกิดแก่สุปดิศเทพต่อไป พระพุทธองค์จึงตรัสอุณหิสวิชัย
คือมงกุฎยอดแห่งธรรม อันมีคุณานุภาพ อาจต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไปด้วยบาทพระคาถาว่า
อัตถิ อุณณะหิสสะ วิชะโย ธัมโม โลเก อะนุตตะโร
สัพพะสัตตะหิตัตถายะ ตัง ตวัง คัณหาหิ เทวะเต
ดูก่อนเทวดา , ธรรมะอันประเสริฐซึ่งเป็นอุณหิสสวิชัย หรือเป็นผ้าประเจียดนั้น
มีอยู่ในโลกนี้ คือประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง ท่านจงถือเอาซึ่งธรรมะนั้นเถิดปะริวัชเช ราชะทัณเฑ อะมะมุสเสหิ ปาวะเก
พยัคเฆ นาเค วิเส ภูเต อะกาละมะระเณนะ วา
ก็จะพ้นจากราชทัณฑ์พึงพ้น จากราชทัณฑ์พึงพ้นจากการเบียดเบียนของมนุษย์ พ้นจากไฟ
พ้นจากเสือ พ้นจากนาค พ้นจากยาพิษ พ้นจากภูต พ้นจากความตาย อันไม่ประกอบด้วยกาลสัพพัสสะม๋า มะระณา มุตโต ฐะเปตตะวา กาละมาริตัง
จะเป็นผู้พ้นจากความตายทั้งปวง เว้นแต่ความตายตามกาล หรือสมควรแก่กาลตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา
ด้วยอานุภาพแห่งธรรมะนั้นนั่นแหละ เทวดา จงเป็นผู้มีความสุขทุกเมื่อ
สุทธะสีลัง สะมาทายะ ธัมมัง สุจะริตัง จะเร
ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทาลิกขิตัง จินติตัง ปูชัง ธาระณัง วาจะนัง คะรุง
ปะเรสัง เทสะนัง สุตตะวา ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะตีติ
เพราะได้ฟังธรรมแล้ว เขียนไว้ คิดไว้ บูชาอยู่ ทรงจำไว้ บอกกล่าว
แก่กันและกันและมีความเคารพหนักแน่นในธรรมนั้น แล้วอายุของเขาย่อมเจริญดั่งนี้(* แก้ไขต้นฉบับเพื่อให้ง่ายต่อการอ่านสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยภาษาบาลี และเพิ่มคำแปล)
อนึ่ง พึงตั้งอยู่ในธรรมคือประพฤติตามราชบัญญัติ รักษาศีล ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง สักการบูชา
เจริญภาวนาถึงคุณพระรัตนตรัย, ให้ยาเป็นทาน, ให้อาหารเป็นทานเป็นต้น เมื่อปฏิบัติได้อย่างนี้ ก็จักยืนยงด้วยชนมายุ
ไม่วิบัติทำลายลงไปในท่ามกลางด้วยภัยเวรต่าง ๆ ยกเสียแต่ความตายเพราะสิ้นอายุเท่านั้น ฯลฯ บุคคลผู้ใดได้เขียนหรือ
ได้อ่าน หรือได้สักการบูชาจำทรงไว้ อนึ่งได้กล่าวสั่งสอนแก่ผู้อื่นและมาเคารพปฏิบัติตาม ก็จักมีอายุวัฒนายืนยาว ฯลฯ
สุปดิศเทพครั้นได้สดับพระพุทธบรรหารแล้ว จึงเจริญกุศลตามพระพุทธโอวาท
ก็กลับเป็นผู้มีชนมายุยั่งยืนอยู่สิ้น ๒ พุทธันดร ได้เสวยสุขสมบัติสืบสกนธ์ต่อไป
พิจารณาดู ๒ สูตร เป็นแบบแผนเหมือนกับพระสูตรของลัทธิมนตรยาน
คือเริ่มด้วยการปรารภเหตุการณ์แล้วพระพุทธองค์ ทรงประทานธารณี ลงท้ายเป็นพรรณนาคุณานิสงส์ของธารณี
แต่ที่มาแต่งเป็นภาษามคธ เห็นจะเกิดขึ้นเมื่อลัทธิมนตรยานเสื่อมลง ภาษาสํสกฤตจึงพลอยสูญตามไปด้วย
อาจารย์ชั้นหลังซึ่งนับถือลัทธิเถรวาทแล้วจึงดัดแปลงแต่งเป็นภาษามคธขึ้น
ถ้าจะถามว่า หากสาธยายเจริญมนต์ ๒ บทนี้จะได้บุญไหม ?
ผู้เขียนขอตอบว่า ได้บุญแน่ๆ แต่ต้องทราบความหมายของคำสวดด้วย
เช่นในอาการวัตตสูตรก็เป็นเรื่องสรรเสริญพระพุทธคุณว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงพระคุณอย่างนั้น ๆ
ผู้เจริญส่งใจไปตามคำสวด เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธคุณขึ้น ชื่อว่าได้เจริญพุทธานุสสติ
ก็ผู้ที่มีพุทธานุสสติเป็นประจำ รับรองว่าปิดอบายภูมิไค้ มีสุคติเป็นอันหวังได้แน่นอน ส่วนอุณหิสวิชัยสูตร
ถ้าแปลเนื้อความคาถาดูก็เป็นการสั่งสอนให้บำเพ็ญสุจริตธรรมและความดี อาศัยที่ได้บำเพ็ญก้าวหน้าในกุศลธรรมยิ่ง ๆ
จนกระทั่งได้ผลานิสงส์ต่าง ๆ พิสดารตามที่พรรณนาได้ แต่จะเอาดีทางลัด สวดกัน ๒-๓ จบ
แล้วปรารถนาคุณานิสงส์มากมาย เห็นว่าเหลือเกินไป