ภาพระบายสีน้ำ
ลักษณะการปักดอกไม้ตามธรรมชาติ
ธรรมชาติจะมีให้เราเห็นกันมากมาย แต่เราจะสังเกตได้ว่าลักษณะของการเกิดของธรรมชาติจะมีอยู่ด้วยกัน ๒ ลักษณะ เช่นเดียวกับการปักดอกไม้ในภาชนะได้แก่
๑. Radial Vegetaiva Style หมายถึง การแตกกระจายของเส้นหลายๆ เส้นออกจากจุดศูนย์รวมจุดเดียวกัน โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากการแตกกิ่งก้านของพุ่มไม้ ต้นข้าว กอตะไคร้ กอหญ้า หรือต้นไม้ขนาดเล็กชนิดต่างๆ ที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ เส้นทุกเส้นที่ใช้ปัก แบบ Radial จะต้องไม่ไขว้กันไปมา ดอกที่นำมาจัดในลักษณะนี้จะมีอิสระของตัวเอง ก้านดอกไม้จะคว่ำหรือหงายขึ้นอยู่กับลักษณะของดอกไม้เอง มีมิติหรือความสูงต่ำในกลุ่มอย่างเด่นชัด
๒. Parallel Vegetative Style คือการปักให้มีเส้นขนานกัน จุดปลายของเส้นแต่ละเส้นจะไม่สัมผัสกันเลย ฉะนั้นในหนึ่งภาชนะย่อมจะต้องมีจุดกำหนดหลายจุด การปักแบบนี้เป็นการจำลองภาพของการเกิดของต้นไม้ในป่า เช่น ป่าสน ป่าสัก ต้นกกธูป ต้นกกชนิดต่างๆ เป็นต้น การปักแบบ Parallel นี้จะตัดเป็นกลุ่มคู่ขนาน ประกอบไปด้วยกลุ่มดอกไม้สองฝั่งจะมีช่องว่างระหว่างกลุ่ม และข้อสำคัญจะต้องปิดฐานอย่างมิดชิด การปักแบบ Parallel โดยปกติจะนิยมจัดในภาชนะที่มีปากกว้างและเตี้ย ดอกไม้ ใบไม้จะมีเส้นก้านที่เป็นแนวตรง ฐานจะถูกปิดมิดชิด มีจังหวะและความสม่ำเสมอในการปัก และมีระดับความสูงที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัด
องค์ประกอบในการจัดดอกไม้
Elements หรือ องค์ประกอบเป็นเสมือนรูปธรรม ที่สามารถจับต้องได้ไม่ว่าจะด้วยการมองและการสัมผัสด้วยมือ ประกอบไปด้วย
๑. Line เส้น จะมีอยู่ด้วยกัน ๒ ลักษณะ คือ
๑.๑ Static Line เส้นตรง มีความเข้มแข็งมีพลังและมองดูแล้วเหมือนมีจุดมุ่งหมายที่เด่นชัด จึงมักจะถูกนำมาเป็นโครงร่างของการจัดดอกไม้ เช่น ใช้เป็นตัวกำหนดความสูง และความกว้างของการจัดดอกไม้
๑.๒ Dynamic Line เส้นไม่ตรง เป็นเส้นที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จึงนับได้ว่าเป็นเส้นที่มีชีวิตชีวา ฉะนั้นจึงนิยมนำเอา Dynamic Line มาใช้เป็นตัวนำสายตาและความรู้สึกให้เข้าสู่รูปทรงการจัด
๒. Form รูปทรงของการจัดดอกไม้จะมีด้วยกัน ๒ ลักษณะ คือ
๒.๑ รูปทรงปิด คือลักษณะดอกไม้ที่มีช่องว่างระหว่างกลีบดอกน้อยมาก เช่น คาร์เนชั่น กุหลาบ เป็นต้น
๒.๒ รูปทรงเปิด คือลักษณะของดอกไม้ที่มีช่องว่างระหว่างกลีบมาก เช่น ดอกลิลลี่ เฮลิโคเนีย เป็นต้น
๓. Color สี สี่ที่ใช้ในการจัดดอกไม้ก็จะเป็นสีที่ใช้ในงานศิลปะทุกๆ แขนงที่ได้มาจากวงจรสี ซึ่งมีทั้งหมด ๑๒ สี ได้แก่
สีขั้นที่ ๑ ได้แก่ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน
สีขั้นที่ ๒ ได้แก่ สีส้ม สีเขียว และสีม่วง
สีขั้นที่ ๓ ได้แก่ สีม่วงแดง สีม่วงน้ำเงิน สีเขียวน้ำเงิน สีเหลืองเขียว สีส้มเหลือง และสีส้มแดง
การนำสีมาใช้นั้นมีด้วยกันหลายลักษณะ ดังต่อไปนี้
๓.๑ Monochromatic Color สีโทนเดียว คือสีที่เกิดจากการผสมของสีกลางซึ่งได้แก่ สีเทาหรือสีดำ สีตัวใดตัวหนึ่งมาผสมกับสีในวงจรสีตัวใดตัวหนึ่ง เช่น สีขาวผสมกับสีเหลือง ก็จะทำให้สีเหลืองค่อยๆ มีความจางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นสีขาว เมื่อเรานำสีนี้มาใช้ในการจัดดอกไม้หนึ่งแจกัน เราก็จะได้ดอกไม้ และวัสดุตกแต่งที่มีสีเหลืองสว่างไล่ไปจนกระทั่งดอกไม้เหล่านั้นกลายเป็นสีขาว เป็นต้น สีลักษณะนี้จะทำให้เกิดความกลมกลืนมากที่สุด ง่ายต่อการจัด และทำให้เกิดความสบายตามากที่สุด Monochromatic Color จึงเป็นสีที่นิยมจัดกันมากที่สุด
๓.๒ Analogous Color คือสีที่อยู่ติดกันสามสีในวงจรสี เช่น สีแดง สีส้มแดง และสีส้ม เป็นต้น จัดอยู่ในประเภทสีกลมกลืนที่ทำให้จัดดอกไม้ได้อย่างสวยงามได้ง่าย อาจเรียกสีลักษณะนี้ว่า “สีตระกูลเดียวกัน”
๓.๓ Complementary Color คือสีที่อยู่ตรงข้างกันอย่างแท้จริงในวงจรสี เช่น สีแดงอยู่ตรงข้ามกับสีเขียว นับว่าเป็นสีที่นิยมจัดอีกสีหนึ่ง เนื่องจากเป็นสีที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันที่เด่นชัด เมื่อมองแล้วจะทำให้รู้สึกสะดุดตามากที่สุด
๓.๔ Split Complementary Color คือสีที่อยู่ข้างๆ ของสีตรงข้าม หรือจะเรียกว่า “สีตัววาย” ก็ได้ เช่น สีม่วง สีส้มเหลือง และสีเขียวเหลือง เป็นต้น
๓.๕ Triadic Color คือสีสามมุมที่อยู่ในวงจรสี เช่น สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน เป็นต้น Triadic Color เป็นอีกสีหนึ่งที่จะทำให้เกิดความตื่นเต้นและน่าสนใจ
๔. Texture ผิวสัมผัส ต้องการให้มีผิวสัมผัสที่ดี จะต้องมีความแตกต่างกันจนสามารถสัมผัสได้ด้วยสายตาและความรู้สึก เช่น ขรุขระ นุ่มนวลคล้ายกำมะหยี่ เกลี้ยงเกลา เป็นมันวาว มีความนูนหรือมีความแหลมคม ราบเรียบ เป็นต้น เราต้องพยายามหาวัสดุต่างๆ ที่มีความแตกต่างกัน เพื่อส่งเสริมให้มีความขัดแย้งในชิ้นงานมากที่สุด และข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือพยายามหาวัสดุที่แตกต่างกันทั้งในเรื่องของสี ผิวสัมผัส และความสูงต่ำมาจัดวางไว้ใกล้ๆ กัน
๕. Space ช่องว่างในรูปทรงการจัด ประกอบไปด้วยช่องว่างปิดและช่องว่างเปิด
๕.๑ ช่องว่างปิด คือลักษณะการจัดดอกไม้ที่มีช่องว่างระหว่างทรงที่จัดน้อยมาก ทำให้มองผ่านได้ยาก โดยเฉพาะรูปทรงพื้นฐานที่อยู่ในลักษณะทรงเรขาคณิต เช่น ทรงกลม ทรงพระจันทร์เสี้ยว ทรงตัวที ทรงตัวเอส ทรงสามเหลี่ยม เป็นต้น
๕.๒ ช่องว่างเปิด ลักษณะการจัดดอกไม้ที่มีช่องว่างระหว่างการจัดมาก สามารถมองผ่านได้ง่าย
หลักการจัดดอกไม้
หลักการจัดดอกไม้ เป็นหลักการทางทฤษฎีศิลปะ เป็นเรื่องราวต่างๆ ที่สร้างผลงานให้ออกมาดูสวยงาม ทำให้ผู้ดูเกิดความประทับใจ เข้าใจในความคิดของผู้จัด และมองดูไม่ขัดตา ซึ่งหลักการเหล่านี้จะเป็นตัวเชื่อมความประทับใจระหว่างผลงานกับผู้ดู
Principles จะมีสภาพเป็นนามธรรมไม่สามารถจับต้องได้ ผลงานที่ออกมาจะประสบผลสำเร็จหรือไม่จะต้องประกอบไปด้วยประสบการณ์ และความคิดสร้างสรรค์ของผู้จัดเองด้วย นอกจากนี้การจัดดอกไม้ให้สวยงามจะต้องประกอบไปด้วย
๑. Composition ความโดดเด่นเป็นเอกเทศในแต่ละกลุ่มของดอกไม้จะต้องมีความเด่นชัด โดยการแบ่งด้วยกรรมวิธีต่างๆ เช่น แบ่งด้วยกลุ่มสี แบ่งด้วยลักษณะของผิวสัมผัส เป็นต้น
๒. Unity คือการผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของดอกไม้ วัสดุต่างๆ รวมทั้งภาชนะที่ใช้จัดด้วย
๓. Proportion สัดส่วนที่เหมาะสมในการจัด โดยจะคำนึงถึงสถานที่จัดวางโอกาสที่ใช้งานวัสดุที่นำมาจัด และที่สำคัญคือความต้องการของผู้จัดและผู้ให้จัด
๔. Accent ความแปลกใหม่ในการจัด เช่น การใช้นกเกาะในกระเช้าดอกไม้ การใส่ตุ๊กตาในกระเช้าวันเกิด เป็นต้น
๕. Balance ความสมดุลในการจัด ประกอบไปด้วย
๕.๑ Symmetrical Balance คือความสมดุลอย่างแท้จริง จะมีรูปทรงด้านเท่าทั้งซ้ายและขวา ประกอบไปด้วยวัสดุที่เหมือนกันทั้งความสูง ขนาดของดอก สี ชนิดของวัสดุและดอกไม้
๕.๒ Asymmetrical Balance คือความสมดุลอย่างไม่แท้จริง สามารถวัดได้ด้วยความรู้สึกแต่ไม่สามารถวัดได้ด้วยวัสดุ ประกอบไปด้วย ๒ ลักษณะ คือ
๕.๒.๑ Actual Balance คือเท่ากันด้านรูปทรงแต่แตกต่างด้านวัสดุ
๕.๒.๒ Visual Balance คือไม่เท่ากันทางรูปทรงแต่เท่ากันทางความรู้สึก
๖. Harmony ความกลมกลืน คือการเลือกวัสดุต่างๆ มาใช้ในการจัดโดยคำนึงถึงสี และผิวสัมผัสของดอกไม้และวัสดุต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความกลมกลืนไปด้วยกันได้ทั้งชิ้นงาน
๗. Rhythm จังหวะ คือการปักดอกไม้ให้มีความต่อเนื่องกันไป ทำให้สามารถท้าสายตาเข้าสู้ชิ้นงานที่จัดได้อย่างต่อเนื่อง800-28
ขอขอบคุณ สำนักศิลปะและวัฒนธรรม ม.ราชภัฎเพชรบูรณ์ (ที่มาข้อมูล)