ภาพการสุกำ (๑) และการห่อศพด้วยผ้าขาวก่อนอุ้มลงโกศ (๒)
ท่านั่งของศพในโกศ
การพระบรมศพในสมัยกรุงศรีอยุธยา จากคติความเชื่อที่ว่า ชีวิตของคนที่เกิดมามีช่วงเวลาที่สำคัญในการดำรงชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย จะมีการประกอบพิธีเพื่อเป็นสิริมงคลเป็นระยะๆ และในอารยประเทศจะต้องประกอบพิธีสำหรับชีวิต เช่น พิธีสมโภชเดือน พิธีโกนจุก พิธีบวช พิธีแต่งงาน และในที่สุดคือ พิธีศพ ซึ่งจะมีการประกอบพิธีตามฐานะของแต่ละบุคคล สำหรับในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะจัดพิธีศพอย่างใหญ่โต เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณความดีของผู้ล่วงลับไปให้เป็นที่ปรากฏ กับทั้งเป็นการให้บุตรธิดาได้แสดงความกตัญญูสนองคุณบิดามารดาเป็นครั้งสุดท้าย และเพื่อเป็นการทำบุญอุทิศกุศลให้ผู้ตาย ได้อานิสงส์ไปจุติในสรวงสวรรค์ ดังนั้นการประกอบพิธีศพจึงมีความสำคัญมากพิธีหนึ่ง ดังนั้นงานถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์จึงมีความยิ่งใหญ่เช่นกัน
การพระบรมศพที่เป็นหลักฐานหรือเป็นแบบฉบับต่อการจัดการพระราชพิธีในสมัยรัตนโกสินทร์ คือ การพระบรมศพในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งพระเจ้าอุทุมพรและเจ้าฟ้าเอกทัศได้แต่งการพระบรมศพ โดยทรงมีพระบรมราชโองการให้มีตราพระราชสีห์ไปยังประเทศราชทั้งปวงให้มาร่วมพระราชพิธีพระบรมศพ ขั้นตอนการพระราชพิธีสามารถสรุปได้ดังนี้
เริ่มด้วยการเอาน้ำหอมและน้ำดอกไม้เทศและน้ำกุหลาบ น้ำหอมต่างๆ สรงพระบรมศพ และทรงสุคนธรสและกระแจะ จากนั้นก็แต่งพระบรมศพ ทรงสนับเพลงเชิงงอนทองชั้นใน แล้วทรงพระภูษาพื้นขาวปักทองชั้นนอก ทรงเครื่องต้นและเครื่องทรง ทรงฉลองพระองค์อย่างใหญ่ กรอบทองสังเวียนหยัก ชายไหวชายแครง ตาบทิศ ตาบหน้า และสังวาลประดับเพชร ทรงทองต้นพระกร และปลายพระกรประดับเพชร ทรงพระมหาชฎาเดินหนห้ายอด จากนั้นประดับเพชร ทรงทองต้นพระกร และปลายพระกรประดับเพชร ทรงพระมหาชฎาเดินหนห้ายอด จากนั้นประดับเพชรอยู่เพลิงทั้งสิบนิ้วพระหัตถ์ และสิบนิ้วพระบาท แล้วใช้ไม้กาจับหลักซึ่งเป็นไม้ง่ามหุ้มทองค้ำพระหนุ แล้วประนมพระหัตถ์พระบรมศพ นำซองหมากทองคำที่ปากเป็นกระจับใส่ในพระหัตถ์ จากนั้นเอาพระภูษาเนื้ออ่อนพันพระบรมศพเป็นจำนวนมาก เมื่อได้ที่แล้ว นำผ้าขาวเนื้อดีรูปสี่เหลี่ยมห่ออีกครั้งหนึ่ง ผ้านี้เรียกว่าผ้าห่มเบี่ยง เสร็จแล้วอัญเชิญพระบรมศพเข้าพระโกศลองในทองหนักสิบสองชั่ง แล้วใส่พระลองในเข้าในพระโกศทองใหญ่ทรงเฟืองกลีบจงกล ประดับพลอยยอดเก้ายอด เชิงพระโกศตกแต่งด้วยรูปครุฑและสิงห์หน้าอัดทอง หนักยี่สิบห้าชั่ง แล้วเชิญพระโกศขึ้นบนเตียงหุ้มทอง จากนั้นเอาเตียงที่รองพระโกศขึ้นบนพระแท่นแว่นฟ้า แล้วกั้นบริเวณด้วยราชวัติตาข่ายปะวะหล่ำแก้วสีแดง ประดับเครื่องสูงต่างๆ
อัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนบุษบกเป็นประธาน แล้วจัดตั้งเครื่องราชูปโภค ตั้งพานพระสุพรรณบัฏถมซ้อนบนพานทองสองชั้น ด้านข้างตั้งพานพระสำอาง พระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช พระเต้า ครอบทอง พระคนทีทอง และพานทองประดับ และเครื่องอุปโภคบริโภค โดยตั้งตามชั้นลดหลั่นลงมาทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
จากนั้นเจ้าหน้าที่จัดตั้งมยุรฉัตรมียอดหุ้มทอง ระบายทอง และคันหุ้มทองโดยตั้งประดับรวม ๘ ทิศ ทิศตะคัน และจัดตั้งบังพระสูริย์ อภิรุม บังแทรก จามร ทานตะวัน และพัดโบก ปูลาดพระสุจหนี่ยี่ภู่ แล้วตั้งพระแท่นแว่นฟ้าในพระยี่ภู่ จากนั้นปูลาดที่บรรทม ตั้งพระเขนยกำมะหยี่ปักทอง และตั้งพระแท่นประดับสองพระองค์ ล้อมรอบด้วยพระสนม นางกำนัล ห้อมล้อมพระศพ และการขับรำเกณฑ์ทำมโหรี ประโคมฆ้อง กลอง แตร สังข์ มโหรี พิณพาทย์
จัดที่อาสนสงฆ์ ให้ธรรมโฆสิตพนักงานสังฆการี นิมนต์พระสังฆราชเป็นประธาน และพระสงฆ์ทั้งในเมืองและนอกเมือง และจากหัวเมืองต่างๆ ให้เข้ามาสดับปกรณ์ สวดพระอภิธรรมในเวลาค่ำและเวลาเช้า ถวายพรพระแล้วฉันภัตตาหารเพล มีเทศน์แล้วถวายเครื่องไทยทาน ไตรจีวร เครื่องเตียบและเครื่องสังเค็ด ในแต่ละวันนิมนต์พระ ๑๐๐ รูปมางานพระบรมศพทุกวันมิได้ขาด มีการตั้งต้นกัลปพฤกษ์ ตั้งโรงมหรสพต่างๆ อาทิ โขน หนัง ละคร หุ่น มอญรำ ระบำเทพทอง โมงครุ่ม กุลาตีไม้
พระเจ้าอุทุมพร และเจ้าฟ้าเอกทัศทรงแจกทานเสื้อผ้า เงินทอง สิ่งของต่างๆ แก่ราษฎรทั้งปวงเป็นอันมาก ต่อมาทรงมีรับสั่งให้ตั้งพระเมรุทองที่ท้องสนามหลวง แล้วตั้งพระเมรุใหญ่ปิดทองประดับกระจกยกลายต่างๆ ดาดเพดานสามชั้น พระเมรุใหญ่มีขนาดสูงถึงยอดพระเมรุ ๔๕ วา หรือ ๙๐ เมตร ฝาเป็นแผงหุ้มผ้าปิดกระดาษ พื้นแดง เขียนรูปเทวดาตามชั้นต่างๆ ดุจเขาพระสุเมรุ อาทิ ชั้นนาค ชั้นครุฑ ชั้นอสูร ชั้นเทวา ชั้นอินทร์ และชั้นพรหม ฝาด้านในเขียนเป็นลายดอกสุมณฑาทอง และมณฑาเงินแกมกัน เครื่องพระเมรุ มีบันแถลงและมุข ๑๑ ชั้น เครื่องบนจำหลักปิดทองประดับกระจก โดยมีขุนสุเมรุทิพราช เป็นนายช่างอำนวยการสร้าง
สำหรับพระเมรุใหญ่ มีส่วนประกอบคือ มีประตูทั้ง ๔ ทิศ แต่ละประตูตั้งรูปกินนรและอสูร ทั้ง ๔ ทิศ ประตูพระเมรุใหญ่ปิดทองทึบจนถึงเชิงเสา กลางพระเมรุเป็นแท่นรับเชิงตะกอนที่ตั้งพระบรมโกศ เสาเชิงตะกอนปิดทองประดับกระจก รอบๆ มีเมรุทิศ ๔ เมรุ และเมรุแทรก ๔ เมรุ รวมเป็น ๘ ทิศ ล้วนปิดทองประดับกระจกเป็นลวดลายต่างๆ รอบๆ เมรุตั้งรูปเทวดาและสัตว์หิมพานต์ อาทิ รูปเทวดา รูปวิทยาธร รูปคนธรรพ์ ครุฑ กินนร คชสีห์ ราชสีห์ เหมหงส์ นรสิงห์ สิงโต มังกร เหรา นาคา ทักกะทอ ช้าง ม้า และเลียงผา แล้วกั้นราชวัติ ๓ ชั้น ซึ่งปิดทอง นาก และเงิน รวมทั้งตีเรือกเป็นทางเดินสำหรับเชิญพระบรมศพ ตามริมทางตั้งต้นไม้กระถางที่มีดอกต่างๆ รวมทั้งประดับประดาฉัตรและธง
ริ้วกระบวนแห่พระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และสมเด็จพระพันวัสสา เมื่อ พ.ศ.๒๓๐๑ ในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศ นั้น ปรากฏรายละเอียดดังนี้
ในงานพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และสมเด็จพระพันวัสสานั้น พระญาติ พระสนม นางกำนัล พระยาประเทศราช ราชนิกูล เสนาบดีทั้งปวง เศรษฐีคหบดี แต่งกายด้วยเครื่องขาวทุกสิ่ง
คนเกณฑ์แห่ แต่งเครื่องขาว ใส่ลอมพอก ถือพัด ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
เครื่องไทยทาน มีคนแห่ไปหน้าเครื่องดนตรี หรือพวกพิณพาทย์
ดนตรี ดนตรีในกระบวน มี ฆ้อง กลอง แตร สังข์ แตรงอน และพิณพาทย์
ถึงกระบวน พระมหาพิชัยราชรถ ๒ องค์ เทียมด้วยม้า ๔ คู่ ม้าผูกประกอบรูปราชสีห์ มีนายสารถีขับรถ แต่งตัวอย่างเทวดาข้างละ ๔ คน
ราชรถที่เข้าร่วมกระบวนมีตามลำดับจากหน้าไปหลัง มี รถสมเด็จพระสังฆราชอ่านพระอภิธรรม ตามด้วยรถเหล่าพระญาติวงศ์ ถือจงกล ปรายข้าวตอกดอกไม้ ด้วยรถพระญาติถือผ้ากาสา มีปลอกทองประดับเป็นเปราะๆ ห่างกันประมาณ ๓ วา แล้วถือซองหมากทองโยงไปด้านหน้าถึงรถพระบรมศพ และตามด้วยรถใส่ท่อนจันทน์และกฤษณากระลำพักปิดทอง มีรูปเทวดาถือกฤษณากระลำพัก ท่อนจันทน์ถือชูไปบนรถ
ริ้วกระบวนรูปสัตว์ ๑๐ คู่ ได้แก่ ช้าง ม้า คชสีห์ ราชสีห์ สิงโต มังกร ทักกะทอ นรสิงห์ เหม หงส์ ซึ่งรูปสัตว์เหล่านี้มีขนาดสูง ๔ ศอก ซึ่งมีมณฑปตั้งบนหลัง สำหรับใส่ธูป น้ำมัน พิมเสน และเครื่องหอม
ริ้วกระบวนเครื่องสูง เป็นกระบวนพยุหยาตราอย่างใหญ่ ซึ่งมีผู้เชิญเครื่องราชูปโภคครบ
กระบวนแห่เสด็จ มีกระบวนเสนาบดีน้อยใหญ่ จากนั้นเป็นกระบวนปุโรหิตราชครู กระบวนราชนิกูล
เครื่องประโคม เป็นกระบวนคนตีกลองชนะ กลองโยน แตร สังข์ และแตรงอนเข้ากระบวนซ้ายขวา
กระบวนมหาดเล็ก ถือดาบทอง แห่ซ้ายขวา
กระบวนตำรวจในและตำรวจนอก เดินพนมมือ แห่ไปทั้งซ้ายขวา
กระบวนหัวหมื่นมหาดเล็ก เดินพนมมือแห่ไปทั้งซ้ายขวา
กระบวนมหาดเล็กเกณฑ์ ถือ พระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช พระเต้าครอบทอง พานทอง เครื่องทอง
กระบวนเกณฑ์มหาดเล็ก ถือ พระแสงปืน พระแสงหอก พระแสงดาบฝักทอง และพระแสงต่างๆ
กระบวนมหาดเล็กและมหาดไทย ถือ กระสุนดิน แห่ไปซ้ายขวาเพื่อดูสูงต่ำไปตามทางเสด็จ ระหว่างเสด็จ
สองข้างทาง ประดับด้วยราชวัติและฉัตร ธงเบญจรงค์ ทอง นาก เงิน
พระมหาพิชัยราชรถและราชรถน้อย รวมทั้งรถรูปสัตว์ ชักด้วยเชือกหุ้มสักหลาดสีแดง ๔ แถว รถชักไปบนเรือก
สำหรับกระบวนเสด็จ พระเจ้าอยู่หัวประทับบนพระเสลี่ยงทองประดับกระจก มีพระกลดขาวยอดทอง ระบายทอง คันหุ้มทองประดับ มีมหาดเล็กสี่คนเดินกั้นไปทั้งซ้ายและขวา
พระบุตรี ประทับบนพระเสลี่ยงสองหลังๆ ละ ๒ องค์ แห่แหนตามกระบวนพยุหยาตรา ไปตามหลังกระบวนพระบรมศพ รวมทั้งพระญาติวงศ์ พระสนม กำนัล มหาดเล็ก มหาเศรษฐี คหบดี และอำมาตย์ โดยออกทางประตูมงคลสุนทร แต่กระบวนใหญ่ จึงต้องทำลายกำแพงวัง ระหว่างประตูมงคลสุนทร และประตูพรหมสุคตทำเป็นทางออก
เมื่อกระบวนพยุหยาตราพระบรมศพถึงพระเมรุใหญ่ที่ท้องสนามหลวง พระมหาพิชัยราชรถทั้งสองเข้าไปในเมรุทิศเมรุแทรกทั้ง ๘ ทิศ แล้วทักษิณเวียนพระเมรุใหญ่ ๓ รอบ แล้วอัญเชิญพระโกศ เข้าตั้งในพระเมรุใหญ่ ๗ ราตรี มีพระสงฆ์มาสดับปกรณ์และถวายไตรจีวรและเครื่องไทยทาน เครื่องสังเค็ต เตียบ และต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งแขวนเงินใส่ในลูกมะนาวต้นหนึ่งใส่เงิน ๓ ชั่ง ตั้งที่พระเมรุทั้ง ๘ ทิศ โดยทิ้งทานวันละ ๘ ต้น ทั้ง ๗ วัน
นอกจากนี้มีระทา ดอกไม้เพลิง และดอกไม้ต่างๆ ตั้งรายรอบพระเมรุเป็นอันมาก
การถวายพระเพลิงนั้น เมื่อสวดครบ ๗ ราตรีแล้ว ได้มีพระบรมราชโองการตรัสสั่งให้ถวายพระเพลิงด้วยไฟฟ้า (แสงพระอาทิตย์โดยใช้แว่นแก้ว) แล้วเอาท่อนกฤษณากระลำพัก และท่อนจันทน์ที่ปิดทองและเครื่องหอมใส่ใต้พระโกศ แล้วจุดเพลิงไฟฟ้า และสาดด้วยน้ำหอม น้ำดอกไม้เทศ น้ำกุหลาบ และน้ำหอมทั้งหลายที่มีกลิ่นหอมตลบไปทั้งพระเมรุ บรรดาเจ้าประเทศราชห้อมล้อมโดยรอบก็ปรายข้าวตอกดอกไม้บูชาถวายบังคม เมื่อเพลิงมอด ก็ดับด้วยน้ำหอมและน้ำกุหลาบ
จากนั้นจึงแจงพระรูป พระสงฆ์ที่เข้ามาสดับปกรณ์ก่อนถวายพระเพลิงพระบรมศพ และเมื่อแจงพระรูปมีพระสังฆราช พระพิมลธรรม พระเทพมุนี พระพรหมมุนี พระเทพเมาลี พระธรรมอุดม พระอุบาลี พระพุทธโฆษา พระมงคลเทพมุนี พระธรรมกถึก พระวินัยธร พระวินัยธรรม พระนาค พระสังฆราชหัวเมือง เป็นต้น
พระรูปที่แจงนั้นนำเข้าในผอบทอง แล้วอัญเชิญขึ้นสู่พระเสลี่ยงทองแห่ออกไปทางประตูมโนภิรมย์ โดยมีกระบวนประโคม ฆ้อง กลอง แตรลำโพง แตรงอน กลองโยน กลองชนะ และพิณพาทย์ เป็นกระบวนพยุหยาตราไปตามทางที่กั้นราชวัติฉัตรธง มีประชาชนโปรยปรายข้าวตอกดอกไม้ แล้วแห่แหนไปลงเรือพระที่นั่งกิ่งแก้วจักรรัตน์สองลำๆ ละผอบ บนเรือประดับด้วยเครื่องสูงต่างๆ พระเจ้าเอกทัศทรงเรือพระที่นั่งเอกชัย มีมหาดเล็กกั้นพระกลดขาวข้างพระองค์ ซ้าย ๔ คัน ขวา ๔ คัน ส่วนพระเจ้าอุทุมพรทรงเรือพระที่นั่งทองขวานฟ้า ตามด้วยเรือพระที่นั่งครุฑด้านซ้าย และเรือพระที่นั่งหงส์ด้านขวา ตามด้วยเรือนาคเหรา เรือนาควาสุกรี เรือมังกรมหรรณพ เรือมังกรจบสายสินธุ์ เรือเหินหาว เรือหลาวทอง เรือสิงหรัตนาสน์ เรือสิงหาสน์นาวา เรือนรสิงห์วิสุทธิ์สายสินธุ์ เรือนรสิงห์ถวิลอากาศ เรือไกรสรมุขมณฑป เรือไกรสรมุขนาวา เรืออังมสระพิมาน เรือนพเศกฬ่อหา ตามด้วยเรือดั้งซ้ายขวา เป็นเรือนำและเรือรอง จากนั้นเป็นเรือคชสีห์ เรือม้า เรือเลียงผา เรือเสือ และเรือเกณฑ์รูปสัตว์ต่างๆ สิ้นสุดด้วยเรือดั้งเรือกันของเจ้าพระยา และอำมาตย์ตลอดจนมหาดเล็กขอเฝ้า
สำหรับพระราชบุตร พระราชธิดา ลงเรือศรีสักหลาดตามหลังเรือพระที่นั่ง พระสนม กำนัล นั่งเรือศรีผ้าแดงตั้งขาทรายสำหรับยกเสาองค์พระเมรุมาศ
โครงถักไม้ไผ่ผูกอย่างแน่นหนาตามรูปทรงขนาดภายในองค์พระเมรุมาศ
เพื่อใช้ผูกรอกชักเชือกยกซุงพระเมรุขึ้นทาบตามทรงมุมละ ๓ ต้น เพื่อทำ
เสาย่อไม้่สิบสองของเสาพระเมรุทรงบุษบก
การยกซุงเสาพระเมรุมาศขึ้นประกอบทุกมุมๆ ละ ๓ ต้น
พระเมรุมาศสมโภชพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
และสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี สร้างบนเขาพระสุเมรุ รูปแบบปราสาท
เครื่องยอดบุษบกปลียอดปรางค์
(บน) การประกอบยอดพระเมรุมาศและพื้นฐาน
ล่าง การตกแต่งพระเมรุมาศตามแบบที่กำหนด
ข้อมูลจาก หอสมุดแห่งชาติ. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน และพระเมรุมาศ พุทธศักราช ๒๕๓๙ (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร,๒๕๓๙) หน้า ๑๔๖-๑๕๐, ๒๒๖- ๒๒๘ และ ๒๓๓-๒๓๔