[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ร้านน้ำชา => ข้อความที่เริ่มโดย: สุขใจ ข่าวสด ที่ 22 เมษายน 2567 18:04:22



หัวข้อ: [ข่าวมาแรง] - สถาบันการลอยนวลพ้นผิด ‘ใบอนุญาตฆ่า’ ที่ออกโดยรัฐไทย
เริ่มหัวข้อโดย: สุขใจ ข่าวสด ที่ 22 เมษายน 2567 18:04:22
สถาบันการลอยนวลพ้นผิด ‘ใบอนุญาตฆ่า’ ที่ออกโดยรัฐไทย
 


<span>สถาบันการลอยนวลพ้นผิด&nbsp;‘ใบอนุญาตฆ่า’ ที่ออกโดยรัฐไทย</span>
<span><span>user007</span></span>
<span><time datetime="2024-04-22T01:44:36+07:00" title="Monday, April 22, 2024 - 01:44">Mon, 2024-04-22 - 01:44</time>
</span>

            <div class="field field--name-field-byline field--type-text-long field--label-hidden field-item"><p>กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล : สัมภาษณ์/เรียบเรียง</p><p>กิตติยา อรอินทร์ : ภาพปก</p></div>
     
            <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field-item"><p>การลอยนวลพ้นผิดคือสถาบันทางการเมืองที่ถูกค้ำจุนด้วยสถาบันต่างๆ ในระบบการเมืองไทย เช่น สถาบันตุลาการ องค์กรอิสระ เป็นต้น ทำให้ผู้ที่กระทำความรุนแรงต่อประชาชนไม่ต้องรับผิดโดยสิ้นเชิง โดยที่ระบบกฎหมายไทยถูกครอบงำด้วยมโนทัศน์หลักนิติรัฐอภิสิทธิ์และราชนิติธรรม สถาบันลอยนวลพ้นผิดจึงคงอยู่และสามารถออก&nbsp;‘ใบอนุญาตฆ่า’ แก่รัฐเพื่อรักษาความสัมพันธ์แนวดิ่งของเครือข่ายชนชั้นนำเอาไว้</p><ul><li><div class="summary-box"><ul><li>สถาบันการลอยนวลพ้นผิดคือองค์ประกอบหนึ่งที่สร้างรัฐไทยสมัยใหม่</li><li>องค์ประกอบ&nbsp;4 ข้อเพื่อใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมทางการเมือง หนึ่งคือการสร้างความชอบธรรมทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย สองคือการออกกฎหมายมายกเว้นความผิด สามคืออํานาจตุลาการที่ตีความรับรองกฎหมาย และสี่คือองค์กรอิสระที่เป็นกลไกให้สภาวะการลอยนวลพ้นผิดดําเนินไปอย่างแยบยลมากขึ้น</li><li>ระบบกฎหมายไทยถูกครอบงำด้วยหลักนิติรัฐอภิสิทธิ์และราชนิติธรรม</li><li>สถาบันตุลาการและองค์กรอิสระพลวัตใหม่ที่ค้ำจุนสถาบันลอยนวลพ้นผิด</li><li>ข้อเสนอแนะเพื่อยับยั้งสถาบันลอยนวลพ้นผิด ได้แก่ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต้องได้รับการตรวจสอบ, การออกกฎหมายนิรโทษกรรมต้องไม่นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทําความรุนแรงและผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน, ปฏิรูปสถาบันที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง และการผลักดันให้รัฐไทยยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ</li></ul></div></li></ul><p>วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดฝังรากลึกและกัดกินหลักนิติรัฐของไทยจนมีหน้าตาอัปลักษณ์ ในการรัฐประหารทุกครั้งไม่เคยนำผู้กระทำมาลงโทษได้ ในการชุมนุมทางการเมืองที่จบลงด้วยการใช้กำลังเข้าปราบปราม มีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมากไล่เรียงตั้งแต่&nbsp;14 ตุลาคม&nbsp;2516 6 ตุลาคม&nbsp;2519 พฤษภาคม 2535 และพฤษภา&nbsp;2553 หรือกรณีตากใบ ไม่เคยมีการนำผู้สั่งการมาลงโทษได้แม้แต่ครั้งเดียว</p><p>ทำไมเป็นเช่นนี้? นั่นเพราะการลอยนวลพ้นผิดคือสถาบันการเมืองชนิดหนึ่งที่ดำรงอยู่ในสังคม มันถูกค้ำยันด้วยองค์กรและหน่วยงานต่างๆ บนฐานคิดที่ว่ารัฐไทยทำผิดไม่ได้ แม้จะผิดอยู่ตำตา เพราะนอกจากจะกระทบกระเทือนความชอบธรรมแล้ว มันยังสั่นสะเทือนไปถึงเครือข่ายชนชั้นนำด้วย</p><p>เป็นสิ่งที่ภาสกร ญี่นาง ระบุไว้ในวิทยานิพนธ์&nbsp;‘กฎหมายในความรุนแรง ความรุนแรงในกฎหมาย: การลอยนวลพ้นผิดทางกฎหมายของรัฐไทยในกรณีการใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมทางการเมือง’</p><p class="picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53670531389_b569aa6be1_b.jpg" width="576" height="1024" loading="lazy">
ภาสกร ญี่นาง
ภาพโดย จารวี ไพศาลธารา</p><h2><strong>ลอยนวลพ้นผิดคือสถาบันทางการเมือง</strong></h2><p>จากการค้นคว้าของภาสกรพบว่าการลอยนวลพ้นผิดเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ประกอบสร้างรัฐไทยสมัยใหม่ขึ้นและสิ่งนี้เข้าไปอยู่ในโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เมื่อมองในมิติเชิงประวัติศาสตร์ก็พบว่ารัฐไทยมีหลายเหตุการณ์ที่ผู้กระทำผิดลอยนวลพ้นผิดซ้ำซาก กระทั่งกลายเป็นคุณค่า เป็นจิตวิญญาณ หรือแม้กระทั่งเป็นกฎเกณฑ์เชิงจารีตประเพณีอย่างหนึ่งที่ฝังอยู่ในสังคม และมันเกิดขึ้นทั้งในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐบาลเผด็จการ ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่าการลอยนวลพ้นผิดคือสถาบันทางการเมือง</p><p>ภาสกรอ้างอิงความคิดของนิธิ เอียวศรีวงศ์ว่า หากสถาบันการลอยนวลพ้นผิดหายไปหรือถูกยับยั้ง โครงสร้างอํานาจอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับสถาบันการลอยนวลผิด เช่น เครือข่ายชนชั้นนํา สถาบันกฎหมาย สถาบันการเมืองต่างๆ ที่ดํารงอยู่อย่างยาวนานในรัฐไทยอาจจะพังครืนลงไป</p><p>เราจึงเห็นการลอยนวลพ้นผิดผ่านกลไกสถาบันต่างๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า ปฏิบัติการทางกฎหมาย ที่แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการเมืองและอํานาจ</p><h2><strong>ปฏิบัติการทางกฎหมายก่อนความรุนแรง สร้างความชอบธรรมเพื่อปราบประชาชน</strong></h2><p>law in action หรือปฏิบัติการทางกฎหมาย คือกลไกทางกฎหมายที่เกิดขึ้นจริง กระทบต่อชีวิตสังคมมนุษย์จริง ภาสกรเห็นว่าปฏิบัติการทางกฎหมายต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น มิได้ดูเพียงแค่ตัวบทบัญญัติ แต่ยังดูว่ารัฐไทยมีกลไกปฏิบัติการหรือมีการนําสถาบันทางกฎหมาย สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันตุลาการ หรือการใช้อํานาจปกครองโดยที่มีกฎหมายอยู่เบื้องหลังมาใช้อย่างไรในปฏิบัติการทางกฎหมาย ซึ่งเขาแยกออกเป็น&nbsp;2 ส่วนคือปฏิบัติการทางกฎหมายก่อนที่ความรุนแรงจะเกิดขึ้นและปฏิบัติการทางกฎหมายหลังความรุนแรงเกิดขึ้นแล้ว</p><p>“ปฏิบัติการทางกฎหมายก่อนเกิดความรุนแรงทางการเมือง ในทางกฎหมายมีสิ่งที่เรียกว่าอํานาจโดยพฤตินัยกับอํานาจทางนิตินัย เราจะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ 14 ตุลากับเหตุการณ์ 6 ตุลาซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตซึ่งระบบกฎหมายของไทยตอนนั้นยังไม่ได้มีความก้าวหน้ามากเมื่อเทียบกับจุดกําเนิดของมัน ก็จะใช้อํานาจพฤตินัยหรือถ้าแปลก็คืออํานาจตามความเป็นจริง อํานาจที่อาศัยข้อเท็จจริงเพื่อให้การใช้อํานาจของรัฐนั้นมีความชอบธรรม</p><p>“เช่นอย่างเหตุการณ์ 14 ตุลา รัฐของจอมพลถนอมตอนนั้นใช้วิธีการสร้างอํานาจทางพฤตินัยหรือสร้างข้อเท็จจริงบัญญัติให้ตัวเองมีความชอบธรรมในการใช้อํานาจโดยการออกแถลงการณ์ของรัฐบาลจํานวน 6 ฉบับ ซึ่งในแต่ละฉบับจะเป็นเนื้อหาที่สร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในการจะใช้ความรุนแรง เช่น การอธิบายว่านักศึกษาหรือกลุ่มนักศึกษา ณ วันนั้นกําลังจะบุกเข้าสวนจิตรลดา มีการซ่องสุมกําลัง มีการใช้คําว่าใช้ความรุนแรงและยึดสถานที่ราชการ สิ่งนี้ก็คือการสร้างเหตุการณ์ สร้างความเป็นจริง สร้างข้อเท็จจริงขึ้นมา เพื่อให้เกิดอํานาจอันชอบธรรมแก่เจ้าหน้าที่รัฐบาล ณ เวลานั้นที่จะนําไปสู่ปฏิบัติการสลายการชุมนุม”</p><p>นอกจากอำนาจทางพฤตินัยแล้ว ยังมีอำนาจทางนิตินัย หมายถึงการอาศัยข้อกฎหมาย การตรากฎหมาย หรือการประกาศกฎหมายเพื่อเป็นฐานรองรับการใช้อํานาจของเจ้าหน้าที่ เช่นเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 กับพฤษภาคม 2553 ที่มีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จุดร่วมของสองเหตุการณ์นี้คือการสร้างข้อเท็จจริงหรือเงื่อนไขบางอย่างที่จะทําให้ความรุนแรงนั้นชอบธรรม โดยมีพระราชกําหนดหรือการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นอํานาจตามรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลสามารถประกาศได้ นี่คือการปฏิบัติการทางกฎหมายแบบก่อนความรุนแรงจะเกิดขึ้น ซึ่งผลของมันคือการสร้างความชอบธรรมให้แก่การใช้ความรุนแรง</p><p class="picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/50526461108_3a689e3564_b.jpg" width="1024" height="576" loading="lazy"></p><h2><strong>ปฏิบัติการทางกฎหมายหลังความรุนแรง นิรโทษกรรมสุดซอย</strong></h2><p>ส่วนที่&nbsp;2 คือปฏิบัติการทางกฎหมายหลังความรุนแรง โดยแยกออกเป็น&nbsp;2 ส่วน ส่วนแรกคือการตรากฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นการตรากฎหมายออกมายกเว้นความผิดอย่างชัดแจ้ง ส่วนต่อมาคือเป็นการหมกเม็ด มีเหตุผลซ่อนเร้น หรือไม่พูดอย่างชัดแจ้งว่ามีการยกเว้นความผิดให้ผู้ก่อความรุนแรง แต่ให้ผลในทางกฎหมายไม่ต่างกัน</p><p>“ยกตัวอย่างเหตุการณ์พฤษภาคมปี 2535 เมื่อมีชัย ฤชุพันธุ์ตราพระราชกําหนดนิรโทษกรรมออกมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ผ่านกระบวนการของรัฐสภาที่จะออกตามเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งโดยกระบวนการพระราชกําหนดนิรโทษกรรมที่ออกมาแล้วจะต้องได้รับการพิจารณาจากสภาก่อนว่าจะยอมรับให้เป็นพระราชบัญญัติหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ก็เป็นอันตกไป ถ้ายอมรับก็จะกลายเป็นพระราชบัญญัติมีผลบังคับต่อไป ผลคือตัวนิรโทษกรรมปี 2535 ถูกรัฐสภาตีตกไป และพระราชกําหนดตอนนั้นไม่ได้เขียนตรงๆ ด้วยว่า ยกเว้นความผิดให้แก่รัฐบาลหรือทหาร แต่ใช้คำว่าผู้เกี่ยวข้องกับการชุมนุม ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็ส่งผลกินความไปจนถึงตัวผู้เกี่ยวข้องหรือเจ้าหน้าที่รัฐบาล”</p><p>แต่ก็เกิดอภินิหารทางกฎหมายขึ้น เมื่อเกิดคำถามว่าแล้วสิทธิที่จะได้รับจากการยกเว้นความผิดตาม พ.ร.ก.นิรโทษกรรม ยังมีอยู่ต่อไปหรือไม่ รัฐสภาจึงส่งให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญตีความ ผลคือแม้ พ.ร.ก.นิรโทษกรรมจะถูกตีตกโดยรัฐสภา แต่ผลทางกฎหมายยังคงมีอยู่ ทำให้เห็นว่าสถาบันการลอยนวลพ้นผิดแฝงอยู่ในทุกที่</p><p>ด้วยเหตุนี้ เมื่อญาติของผู้เสียชีวิตและสูญหายในเหตุการณ์พฤษภาคม&nbsp;2535 ฟ้องร้องทางแพ่งเรียกค่าสินไหมทดแทนจากรัฐบาลของสุจินดา คราประยูรกับเจ้าหน้าที่ทหาร ศาลฎีกาจึงใช้เหตุผลของคณะกรรมการตุลาการรัฐธรรมนูญที่ตีความว่ากฎหมายฉบับนี้กินความถึงทุกคนและมีผลตลอดไปและยกฟ้อง ซึ่งเป็นการลอยนวลผิดอย่างสิ้นเชิงทั้งทางอาญาและทางแพ่ง</p><h2><strong>องค์กรอิสระ องค์การฟอกผิดเป็นถูก</strong></h2><p>อีกหนึ่งองค์กรที่มีส่วนร่วมในสถาบันลอยนวลพ้นผิดก็คือองค์กรอิสระที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ภาสกรยกตัวอย่างเหตุการณ์พฤษภาคม&nbsp;2553 ที่ผู้เกี่ยวข้องกับความรุนแรง ได้แก่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้ออกคำสั่งตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สุเทพ เทือกสุบรรณ และอนุพงษ์ เผ่าจินดา คณะกรรมการ ศอฉ. ถูกฟ้องและขึ้นศาลเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่หลังรัฐประหาร&nbsp;2557 กระบวนการพิจารณาคดีก็เริ่มไม่ชอบมาพากล</p><p>เริ่มจากศาลศาลอาญาวินิจฉัยว่าผู้ฟ้องหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไม่มีอํานาจฟ้องเพราะศาลมองว่าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดอันเนื่องจากการดํารงตําแหน่งทางการเมืองและเป็นการทําผิดอันเนื่องกับการปฏิบัติหน้าตามกฎหมายซึ่งไม่ใช่ความผิดส่วนตัว และให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้มีอํานาจฟ้องแทน ทว่า ป.ป.ช. กลับตีตกคำฟ้องถึง&nbsp;2 ครั้ง ครั้งแรกให้เหตุผลว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่เป็นไปตามหลักสากลในการชุมนุม ขณะที่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐก็เป็นการกระทําตามหลักสากลคดีนี้จึงไม่มีการชี้มูลความผิด</p><p>ส่วนครั้งที่&nbsp;2 เกิดขึ้นหลังศาลตีความว่า ป.ป.ช. เป็นผู้มีอำนาจฟ้อง กลุ่มญาติคนเสื้อแดงจึงยื่นเรื่องขอให้ ป.ป.ช. พิจารณาคำร้องใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็ถูกตีตกเหมือนเดิมด้วยเหตุผลเดิมว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ใช่การชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ การกระทําของเจ้าหน้าที่รัฐจึงชอบด้วยกฎหมาย</p><p>“จะดําเนินคดีได้ก็คือให้ญาติไปฟ้องเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รายคน ซึ่งมันเป็นการผลักภาระให้ผู้เสียหาย อันนี้ก็คือกระบวนการยุติธรรมแบบไทยๆ ถ้าหากคนเสื้อแดงในวันนี้ต้องการยื่นฟ้องคดีก็ต้องไปหาพยานหลักฐานด้วยตัวเอง จะต้องแบกรับต้นทุนต่างๆ ด้วยตัวเองเพื่อที่จะดําเนินคดีซึ่งในแง่ของการปฏิบัติมันก็เป็นไปได้ยาก”</p><p>ไม่เฉพาะในทางกฎหมาย เหตุการณ์พฤษภาคม 2553 ก็ยังลอยนวลพ้นผิดในทางประวัติศาสตร์การเมืองด้วย โดยการฟอกผิดของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งภาสกรระบุว่าบุคคลที่มีส่วนร่วมในการเขียนรายงานไม่มีความเป็นกลางและไม่มีความเป็นอิสระตั้งแต่แรก</p><p>“ในการเขียนรายงานหรือการแสวงหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)&nbsp;นําโดยคณิต ณ นคร ก็เป็นกลุ่มที่เคยมีความบาดหมางหรือว่าเป็นส่วนหนึ่งกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ณ ขณะนั้น การเขียนข้อเท็จจริงจึงมีการกลับหัวกลับหาง คือแทนที่จะตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนอย่างไร มันจะมีบางส่วนของข้อความที่พยายามเขียนว่าประชาชนหรือผู้ชุมนุมตอนนั้นทําผิดอะไรบ้าง มีการปราศรัยข้อความที่กระทบความมั่นคง กระบวนการหรือรูปแบบการชุมนุมที่มีการนําผู้หญิงและเด็กขึ้นมาอยู่หน้าขบวนเป็นแนวหน้าก็เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย ยิ่งทําลายความชอบธรรมแก่ผู้ชุมนุม”</p><p>ทั้งสถาบันตุลาการและองค์กรอิสระที่มีส่วนให้เกิดการลอยนวลพ้นผิดในทั้งสองเหตุการณ์ก็คือพลวัตใหม่หรือสถาบันใหม่ที่เพิ่มเข้ามาค้ำยันสถาบันลอยนวลพ้นผิดให้มั่นคงยิ่งขึ้น</p><p>“มันเป็นข้อยืนยันว่าการลอยนวลพ้นผิดเป็นสถาบันการเมืองอย่างหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบที่สร้างรัฐไทยขึ้น ต่อให้มีหน่วยงานหรือมีองค์กรอะไรก็ตามที่เชื่อว่าจะปกป้องเสรีภาพ ที่เชื่อว่ามันจะสร้างความยุติธรรม แต่ก็จะเห็นว่าสุดท้ายแล้วการลอยนวลพ้นผิดก็ยังดําเนินต่อมา ผมใช้คําว่าเป็นบรรทัดฐานอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมไทย”</p><h2><strong>นิติรัฐอภิสิทธิ์-ราชนิติธรรมครอบงำระบบกฎหมายไทย</strong></h2><p>ภาสกรระบุด้วยว่าสถาบันลอยนวลพ้นผิดยังประกอบขึ้นจากมโนทัศน์พื้นฐานทางกฎหมายว่าด้วยหลักนิติรัฐอภิสิทธิ์และราชนิติธรรมที่ครอบงําระบบกฎหมายและสถาบันกฎหมายของรัฐไทย จากแนวคิดที่ว่ากฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองทำให้กฎหมายรับใช้อุดมการณ์ที่อยู่เบื้องหลังมันอีกที</p><p>เขาหยิบยื่นความคิดของธงชัย วินิจจะกูลเรื่องหลักนิติรัฐอภิสิทธิ์ที่อธิบายว่า การหยิบความคิดของตะวันตกมาใช้ในสังคมไทยย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปะทะกับความเชื่อ คุณค่า ค่านิยม จารีตประเพณีที่อยู่ในรัฐไทยตั้งแต่แรก หมายความว่าเมื่อนิติรัฐพยายามจะเสริมสร้างสิทธิเสรีภาพของประชาชน วางหลักว่าทุกคนเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย และจํากัดอํานาจรัฐ แต่ในสังคมไทยที่ความเสมอภาคกันต่อด้านกฎหมายไม่ได้มีตั้งแต่แรก แต่มีความเชื่อทางศาสนาเรื่องบุญกรรม มีมโนทัศน์ที่มองระเบียบความสัมพันธ์ทางสังคมแบบแนวดิ่ง&nbsp;</p><div class="more-story"><p><strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</strong></p><ul><li>(คลิปเต็ม) ธงชัย วินิจจะกูล: นิติรัฐอภิสิทธิ์และราชนิติธรรม | ปาฐกถาป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 17 (https://prachatai.com/journal/2020/03/86739)</li></ul></div><p>&nbsp;</p><p>“สังคมไทยไม่เชื่อตั้งแต่แรกว่าคนเราเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมายเพราะมันเป็นความคิดจากตะวันตก พอปะทะกันแบบนี้ อาจารย์ธงชัยเลยผลิตคําว่า นิติรัฐอภิสิทธิ์ ขึ้นมาในความหมายที่ว่ารัฐไทยเป็นระบบกฎหมายที่ให้อภิสิทธิ์การลอยนวลผิดแก่ผู้มีอํานาจ ไม่ใช่ระบบกฎหมาายที่ให้และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่เป็นกฎหมายที่กลับตาลปัตร คือจํากัดสิทธิเสรีภาพ แต่ให้อํานาจอย่างล้นเกินแก่เจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เพราะประโยชน์สาธารณะสําหรับรัฐไทยที่สําคัญที่สุดคือความมั่นคง เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจึงมีอํานาจมากที่สุด”</p><p>ขณะที่ราชนิติธรรมหมายความว่าการใช้อํานาจจะใช้ผ่านผู้แทนในการออกกฎหมาย แต่ความยุติธรรมในระบบกฎหมายไทยกลับมาจากผู้ทรงธรรมที่สังคมยอมรับ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นหลักสูงสุดของกฎหมาย หลักราชนิติธรรมจึงครอบงํานิติศาสตร์ไทย เช่นเดียวกับความศักดิ์สิทธิ์หรือราชาชาตินิยมที่ครอบงําสังคมไทยตั้งแต่แรก โดยอาจผ่านการปลุกปั่น การโหมโฆษณาชวนเชื่อ หรือปฏิบัติการต่างๆ นานาที่ผ่านมาในอดีตที่ส่งผลต่อการเมือง มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อกฎหมายเพราะกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง</p><p>ตัวอย่างที่ชัดเจนคือนิติศาสตร์ไทยไม่ได้ยึดหลักการประชาธิปไตย แต่นิติศาสตร์ไทยมีเสาหลักเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้พิพากษาปฏิญาณตนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ได้ปฏิญาณตนต่อประชาชน เวลาผู้พิพากษาเขียนคําพิพากษาก็จะอ้างว่าเขียนในนามพระปรมาภิไธย ไม่ได้เขียนในนามของความยุติธรรมหรือรัฐธรรมนูญ</p><p>“ขอย้อนกลับไปเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 หลังจากที่สภายื่นเรื่องให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญตีความเกี่ยวกับพระราชกําหนดที่ถูกตีตกไป สถาบันตุลาการ ณ วันนั้นไม่ได้อ้างหลักการทางกฎหมายเพื่อบอกให้พระราชกำหนดโทษกรรมมีผลต่อไป แต่อ้างพระราชดํารัสที่ให้ไว้แก่พลตรีจําลอง ศรีเมืองกับพลเอกสุจินดา คราประยูร เพื่อให้เหตุการณ์สงบ ทั้งที่การจะวินิจฉัยหรือฟันธงอะไรต้องอ้างตามหลักการทางกฎหมาย ถ้าเป็นคดีอาญา คดีแพ่งก็ต้องอ้างตัวบทหรือแนวคําพิพากษาที่เทียบเคียงกันได้ ถ้าเป็นกฎหมายมหาชนหรือรัฐธรรมนูญก็ต้องอ้างหลักกฎหมายมหาชนหรือหลักกฎหมายทั่วไปที่ต้องอิงอยู่กับตัวระบอบการปกครองอย่างประชาธิปไตยที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ มันก็เลยตอกย้้ำหรือสะท้อนภาพของราชนิติธรรมขึ้นมาว่าพระราชดํารัสหรือคําพูดของพระมหากษัตริย์ส่งผลต่อกฎหมายและครอบงําปฏิบัติการทางกฎหมายและสถาบันทางกฎหมายอย่างไร”</p><h2><strong>ใบอนุญาติฆ่า</strong></h2><p>ปฏิบัติการทางกฎหมายที่ภาสกรอธิบายมาทั้งหมดนำไปสู่การออก ‘ใบอนุญาตฆ่า’ หรือ&nbsp;‘killing license’ ซึ่งเขาตีความว่าเป็นกฎหมายที่ให้อํานาจความชอบธรรมแก่เจ้าหน้าที่รัฐในการใช้ความรุนแรงด้วยการสร้างข้อเท็จจริง การทําให้เกิดการรับรู้เกี่ยวกับภัยคุกคาม และสร้างสภาวะยกเว้น เขาอ้างอิงความคิดของธงชัยอีกว่าระบบกฎหมายไทยไม่สามารถแบ่งแยกได้ระหว่างสภาวะปกติกับสภาวะยกเว้น</p><p>สภาวะยกเว้นหมายถึงสภาวะที่กฎหมายที่ควรคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนและจํากัดอํานาจรัฐทั้งหมดได้รับการยกเว้นไว้หรือไม่บังคับใช้ แล้วนําบทกฎหมายพิเศษหรืออํานาจพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่เพื่อนํามาใช้แก้ไขสภาวะฉุกเฉิน</p><p>“คําว่า&nbsp;killing license สามารถตีความได้กว้างกว่านี้ว่าคือการสร้างสภาวะยกเว้นให้เกิดขึ้น เช่นกฎอัยการศึกที่ถูกประกาศใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กฎอัยการศึกมีเส้นบางๆ ระหว่าง&nbsp;killing license กับกฎหมายที่สร้างความชอบธรรม กฎอัยการศึกที่ถูกประกาศใช้มันสร้างทั้งสองรูปแบบคือสร้างภาวะการรับรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามกับสร้างความชอบธรรมในการตอบโต้ให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ และมันถูกนํามาใช้ภายใต้ผ้าคลุมของสิ่งที่เรียกว่า&nbsp;rule of law หรือการปกครองโดยกฎหมาย แต่ว่าเป็นการปกครองโดยกฎหมายที่ไม่มีการตรวจสอบและไม่ได้มุ่งคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่เป็นการปกครองทางกฎหมายที่ให้อํานาจอย่างล้นเกินแก่ฝ่ายรัฐและฝ่ายความมั่นคง”</p><p class="picture-with-caption"><img src="https://live.staticflickr.com/65535/53622777018_14cdc46871_b.jpg" width="1024" height="654" loading="lazy"></p><p class="picture-with-caption">ภาพการสลายการชุมที่หน้า สภ.ตากใบ เมื่อ ต.ค. 47 ในเหตุกาณ์ดังกล่าวและการนำตัวผู้ถูกจับกุมไปค่ายทหารส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก</p><h2><strong>สถาบันลอยนวลพ้นผิดรักษาอำนาจเครือข่ายชนชั้นนำ</strong></h2><p>สถาบันการลอยนวลพ้นผิดไม่ได้เพียงทำให้คนผิดไม่ต้องรับโทษ แต่สถาบันนี้ยังเป็นการรักษาประโยชน์ของเครือข่ายชนชั้นนำด้วย ภาสกรอธิบายว่าสังคมไทยยังคงมีการปะทะกันระหว่างระเบียบทางสังคมแบบใหม่กับระเบียบทางสังคมแบบเก่า</p><p>ในระเบียบทางสังคมแบบใหม่ ความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นแนวราบ ทุกคนมีความเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย ขณะที่ระเบียบทางสังคมแบบเก่าเป็นความสัมพันธ์แบบแนวดิ่ง ทุกคนอยู่กันอย่างมีชนชั้นลดหลั่นลงมาตามตามความหมายทางศีลธรรมหรือจริยธรรมศาสนา&nbsp;</p><p>“ผมมองว่าตัวอํานาจเก่ายังคงมีอยู่ทุกวันนี้เพราะระเบียบใหม่ยังไม่สามารถแทนที่ได้และการลอยนวลพ้นผิดไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่มันมีกระบวนการเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันรัฐ เป็นกลไกหรือองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ปกป้องระเบียบความสัมพันธ์แบบเก่า ระเบียบความสัมพันธ์ที่คนกลุ่มหนึ่งจํานวนน้อยมีอํานาจเหนือกว่าและสามารถกดขี่ขูดรีดฉกฉวยผลประโยชน์จากคนส่วนใหญ่ได้</p><p>“ผมใช้ทฤษฎีเรื่องความรุนแรงทางกฎหมายที่มาจากจากทฤษฎีความรุนแรงของโยฮัน กับตุง ซึ่งความรุนแรงทางกฎหมายคือสิ่งที่รักษาสถานะทางอํานาจของเครือข่ายชนชั้นนําซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรง กฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงได้หรือไม่ คําตอบก็คือกฎหมายสามารถทํางานสอดรับกับปฏิบัติการความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างแยบยลผ่านการซ่อนเร้น กลบเกลื่อน บิดเบือน และให้ความชอบธรรมกับปฏิบัติการเจ้าหน้าที่ แทนที่กฎหมายจะเป็นตัวสร้างความยุติธรรมในการเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เราจะเห็นว่ากฎหมายภายใต้ระบบกฎหมายไทยมันไปสร้างผลกลับตาลปัตรขึ้น นั่นหมายความว่ากฎหมายสามารถเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงเชิงโครงสร้าง”</p><p>นอกจากนี้ กฎหมายยังสามารถเป็นความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมได้ ในแง่ที่ทำให้การใช้ความรุนแรงแฝงฝังลงไปในคุณค่าของสังคม เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อและระบบศีลธรรมที่ทําให้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีความชอบธรรม การกระทําของเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้มีอํานาจตามกฎหมายสามารถกระทําต่อประชาชนได้โดยไม่มีความผิด จนสร้างวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดขึ้นมา</p><h2><strong>หยุดสถาบันลอยนวลพ้นผิด</strong></h2><p>ไม่เพียงลอกคราบให้เห็นความเป็นสถาบันของวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดเท่านั้น ภาสกรยังได้เสนอแนะแนวทางเพื่อป้องกันไม่ให้สถาบันลอยนวลพ้นผิดทำงาน</p><p>ข้อแรก ภาสกรเสนอว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจะต้องไม่ใช่การให้อํานาจอย่างล้นเกินแก่รัฐ จะต้องไม่ใช้เป็นเครื่องมือในการประหัตประหารทางการเมือง ดังนั้น การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือการใช้อํานาจภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินจะต้องได้รับการตรวจสอบผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการใช้อำนาจจะต้องดําเนินไปเท่าที่จําเป็น ปฏิบัติการต้องส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนน้อยที่สุด ถ้าไม่ได้ผลจึงค่อยยกระดับ กล่าวคือต้องได้สัดส่วน รัฐต้องรักษาดุลยภาพในการปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนกับสิทธิประโยชน์ของส่วนรวม ไม่ใช้ยึดสิทธิประโยชน์ส่วนรวมเพื่อทําลายสิทธิเสรีภาพของปัจเจก</p><p>ประการต่อมา การออกกฎหมายนิรโทษกรรมสามารถทำได้เพื่อนําพาสังคมไปสู่ระบอบประชาธิปไตยหรือว่าระบอบใหม่ที่ดีกว่า กฎหมายนิรโทษกรรมควรมุ่งเฉพาะผู้กระทําความผิดด้วยมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือกระทําไปโดยต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ต้องไม่นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทําความรุนแรงและผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเด็ดขาด ทั้งยังต้องดําเนินควบคู่ไปกับการเยียวยาด้วยให้แก่เหยื่อของความรุนแรงด้วย</p><p>ประการที่ 3 การปฏิรูปสถาบันที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง เช่น กองทัพ สถาบันตุลาการ องค์กรอิสระต่างๆ เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างอํานาจรัฐ เปลี่ยนและตัดตอนความสัมพันธ์ต่างๆ ที่เคยยึดโยงกันจนนําไปสู่การลอยนวลพ้นผิด และให้กลับมายึดโยงกับประชาชนมากขึ้น</p><p>ประการสุดท้ายคือการผลักดันให้รัฐไทยยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เพราะเมื่อกลไกในประเทศไม่สามารถดำเนินการได้ ประชาชนสามารถใช้กลไกศาลอาญารหว่างประเทศซึ่งมีอํานาจเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนวลมนุษยชาติ อาชญากรสงคราม และการรุกรานต่างๆ ซึ่งอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหมายรวมถึงอาชญากรรมความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เป็นระบบ และมีเป้าหมายเป็นประชาชนพลเรือนทั่วไป</p><p>&nbsp;</p></div>
      <div class="node-taxonomy-container">
    <ul class="taxonomy-terms">
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C" hreflang="th">สัมภาษณ์[/url]</li>
      </ul>
</div> <!--/.node-taxonomy-container -->
<div class="node-taxonomy-container">
    <ul class="taxonomy-terms">
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87" hreflang="th">การเมือง[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99" hreflang="th">สิทธิมนุษยชน[/url]</li>
      </ul>
</div> <!--/.node-taxonomy-container -->
<div class="node-taxonomy-container">
    <ul class="taxonomy-terms">
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%A3-%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87" hreflang="th">ภาสกร ญี่นาง[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94" hreflang="th">สถาบันการลอยนวลพ้นผิด[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2" hreflang="th">ปฏิบัติการทางกฎหมาย[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C" hreflang="th">นิติรัฐอภิสิทธิ์[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1" hreflang="th">ราชนิติธรรม[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%86%E0%B9%88%E0%B8%B2" hreflang="th">ใบอนุญาตฆ่า[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%C2%A0killing-license" hreflang="th">&nbsp;killing license[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3" hreflang="th">สถาบันตุลาการ[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B0" hreflang="th">องค์กรอิสระ[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%C2%A014-%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1%C2%A02516" hreflang="th">&nbsp;14 ตุลาคม&nbsp;2516[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/6-%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2519" hreflang="th">6 ตุลาคม 2519[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1%C2%A02535" hreflang="th">พฤษภาคม&nbsp;2535[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2553" hreflang="th">พฤษภาคม 2553[/url]</li>
          <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90" hreflang="th">การใช้ความรุนแรงโดยรัฐ[/url]</li>
      </ul>
</div> <!--/.node-taxonomy-container -->

            <div class="field field--name-field-promote-end field--type-string field--label-hidden field-item">ติดตาม "ประชาไท Prachatai.com" ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้า https://prachataistore.net</div>
     
 

http://prachatai.com/journal/2024/04/108927