หัวข้อ: กำเนิดคณะธรรมยุต เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 07 ตุลาคม 2555 17:05:26 (http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQ77DKJAQpI8iC4vkCskZw8mbRHXMrNdB8Bah9QVgOzIvZqIi3E) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ภาพจาก : chaoprayanews.com กำเนิดคณะธรรมยุต พระสงฆ์คณะธรรมยุติกนิกาย หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า คณะธรรมยุต นั้นคือพระสงฆ์ที่ออกมาจากคณะสงฆ์เดิมของไทยนั่นเอง แต่ได้รับอุปสมบทซ้ำในรามัญนิกายด้วย อันเป็นผลเนื่องมาจากการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะเมื่อยังทรงผนวชอยู่ ทรงศึกษาพระไตรปิฎก และทรงปรับปรุงแก้ไขวัตรปฏิบัติของพระองค์ขึ้นก่อนเป็นประเดิม ตามความรู้ที่ได้ทรงศึกษามาจากพระไตรปิฎก ภายหลังจึงมีภิกษุอื่น ๆ เกิดความนิยมนับถือแล้วถวายตัวเป็นศิษย์ปฏิบัติตามแบบอย่างที่พระองค์ได้ทรงริเริ่มปรับปรุงแก้ไขนั้นทีละรูปสองรูป และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นลำดับ จนกลายเป็นพระสงฆ์หมู่หนึ่งที่ได้รับขนานนามว่าคณะธรรมยุต หรือ คณะธรรมยุติกนิกายในภายหลังต่อมา โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงมีพระชนมายุ ๑๔ พรรษา ทรงผนวชเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง โดยมีสมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดมหาธาตุ เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) เป็นพระอาจารย์ถวายศีล ประทับ ณ วัดมหาธาตุ เป็นเวลา ๗ เดือน จึงทรงลาผนวช ถึง พ.ศ. ๒๓๖๗ พระชนมายุ ๒๐ พรรษา ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามโบราณราชประเพณี โดยมีสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) วัดมหาธาตุ เป็นพระอุปัชฌาย์ เสด็จประทับ ณ วัดมหาธาตุ ทรงทำอุปัชฌายวัตร ๓ วัน แล้วเสด็จไปจำพรรษา ณ วัดสมอราย เพื่อทรงศึกษาวิปัสสนาธุระตามธรรมเนียมนิยมของเจ้านายผู้ทรงผนวชเพียงพรรษาเดียวในครั้งนั้น หลังจากทรงผนวชได้เพียง ๑๕ วัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมชนกนาถ ทรงพระประชวรเสด็จสวรรคต จึงได้ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะดำรงสมณเพศศึกษาวิปัสสนาธุระที่ได้ทรงเริ่มศึกษามาแต่แรกทรงผนวชแล้วให้ถ่องแท้ต่อไป ได้ทรงศึกษาอยู่ในสำนักอาจารย์ ณ วัดสมอรายนั้น และได้เสด็จไปทรงศึกษา ณ วัดราชสิทธาราม อันเป็นสำนักวิปัสสนาที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในยุคนั้น แต่ไม่ได้ประทับอยู่ประจำ คงเสด็จไปมาระหว่างวัดราชสิทธารามกับวัดสมอราย นอกจากนี้ยังได้เสด็จไปทรงศึกษากับอาจารย์ในสำนักอื่น ๆ ที่ปรากฏว่ามีการเล่าเรียนวิปัสสนาธุระทั่วทุกแห่งในยุคนั้น แม้กระนั้นก็ยังไม่เต็มตามพระราชประสงค์ จึงทรงพระราชดำริที่จะศึกษาพระปริยัติธรรม คือภาษามคธหรือภาษาบาลี เพื่อจะได้สามารถอ่านพระไตรปิฎกได้ด้วยพระองค์เอง อันจะเป็นทางให้ทรงศึกษาหาความรู้ในพระปริยัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้โดยลำพังพระองค์ต่อไป พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาพระปริยัติธรรมมิใช่เพื่อพระเกียรติยศหรือผลประโยชน์อื่นใด แต่ทรงศึกษาด้วยทรงมุ่งหวังที่จะทราบพระธรรมวินัยให้แจ้งชัดในข้อปฏิบัติ อันเป็นมูลรากของพระศาสนาว่าเป็นอย่างไร ผลแห่งการศึกษาและทรงพิจารณาอย่างละเอียดทั่วถึง ทำให้ประจักษ์แก่พระราชหฤทัยว่าวัตรปฏิบัติและอาจาริยสมัยที่ได้สั่งสอนสืบกันมาในครั้งนั้นได้คลาดเคลื่อนหรือหย่อนยานไปเป็นอันมาก จึงทรงรู้สึกสลดสังเวชพระราชหฤทัย ถึงกับทรงเห็นว่ารากเหง้าเค้ามูลแห่งการบรรพชาอุปสมบทจะเสื่อมสูญเสียแล้ว (http://www.sookjaipic.com/images/3155984141_DSC02599_1_.JPG) ทรงญัตติซ้ำในรามัญนิกาย ในระหว่างที่กำลังทรงพระปริวิตกถึงเรื่องความเสื่อมสูญแห่งวงศ์บรรพชาอุปสมบทอยู่นั้นเอง ก็ได้ทรงพบพระเถระชาวรามัญรูปหนึ่งชื่อ ซาย พุทฺธวํโส ซึ่งอุปสมบทมาแต่เมืองมอญมาอยู่วัดบวรมงคลได้เป็นพระราชาคณะที่พระสุเมธมุนี เป็นผู้ชำนาญพระวินัยปิฎก ประพฤติวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด สามารถทูลอธิบายเรื่องวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์รามัญคณะกัลยาณีที่ท่านได้รับอุปสมบทให้ทรงทราบอย่างพิสดาร ทรงพิจารณาเห็นว่าสอดคล้องต้องกันกับพระพุทธพจน์ที่ได้ทรงศึกษามาจากพระบาลีไตรปิฎก ก็ทรงเลื่อมใสและทรงรับเอาวินัยวงศ์นั้นเป็นแบบอย่างสำหรับปฏิบัติสืบมา ด้วยการทำทัฬหีกรรม คือทรงอุปสมบทซ้ำในคณะสงฆ์รามัญอีกครั้งหนึ่ง โดยมีพระสุเมธมุนี (ซาย พุทธวํโส) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ จ.ศ. ๑๑๘๗ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๖๘ อันเป็นปีที่ทรงผนวชได้ ๒ พรรษา การทำทีทัฬหีกรรมครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ ๑ การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำทัฬหีกรรมอุปสมบทซ้ำในคณะสงฆ์รามัญนั้น นับเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงแก้ไขวัตรปฏิบัติของคณะสงฆ์ โดยเริ่มต้นที่พระองค์เป็นประเดิมแล้วจึงมีภิกษุอื่นเกิดความนิยมเลื่อมใสและประพฤติปฏิบัติตามอย่างขึ้นในช่วงที่ประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุนั้น มีภิกษุมาถวายตัวเป็นศิษย์เพื่อเล่าเรียนพระปริยัติธรรมและประพฤติปฏิบัติตามแนวพระราชดำริเพียง ๕ – ๖ รูปเท่านั้น ในบรรดาผู้ที่มาถวายตัวเป็นศิษย์ในชั้นแรกนี้ก็คือ สมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทฺธสิริ) เมื่ออุปสมบทได้ ๒ พรรษา สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แต่เมื่อแรกทรงอุปสมบท ในระยะนี้การเปลี่ยนแปลงแก้ไขในทางวัตรปฏิบัติคงทำได้ไม่มากนัก เพราะยังทรงอยู่ในระหว่างศึกษาพระปริยัติธรรมและเริ่มมีผู้มาศึกษาปฏิบัติอยู่ด้วยเพียงห้าหกรูป แต่คงค่อยเปลี่ยนแปลงแก้ไขมาโดยลำดับ ส่วนการแนะนำสั่งสอนในพระธรรมวินัยแก่ผู้ที่นิยมเลื่อมใสนั้น คงทรงกระทำในขอบเขตที่ทรงกระทำได้ ดังที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงบันทึกไว้ในพระราชประวัติว่า “พระองค์ทรงอนุเคราะห์สั่งสอนกุลบุตรผู้มีศรัทธาให้เล่าเรียนศึกษา ทั้งกลางวันกลางคืน มิได้ย่อหย่อนพระทัย ทรงสั่งสอนในข้อวินัยวัตรและสุตตันตปฏิบัติต่างๆ ให้ถูกต้องสมธรรมวินัย เป็นข้ออ้างแห่งธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งนั้นก็เป็นมหามหัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาโลก ด้วยมีกุลบุตรซึ่งมีศรัทธาเลื่อมใสเข้ามาสู่สำนักพระองค์ท่านขอบรรพชาอุปสมบทประพฤติตามลัทธิธรรมยุติกนิกายมีปรากฏขึ้นเป็นครั้งปฐมหลายองค์ โดยไม่ได้ข่มขี่ล่อลวงหลอกหลอนหามิได้” ที่กล่าวว่า “ขอบรรพชาอุปสมบทประพฤติตามลัทธิธรรมยุติกนิกาย” ดังที่อ้างมาข้างต้นนั้น คงหมายถึง อุปสมบทวิธีแบบรามัญที่ทรงเห็นว่าถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติ และทรงแนะนำผู้ที่มาถวายตัวเป็นศิษย์ในระยะที่ประทับ ณ วัดมหาธาตุนั้น ให้รับการอุปสมบทซ้ำในคณะสงฆ์รามัญตามอย่างพระองค์ คงมิได้หมายถึงทรงให้บรรพชาอุปสมบทด้วยพระองค์เอง ดังปรากฏในประวัติสมเด็จพระวันรัตน์ที่ท่านเขียนเองว่า เมื่อท่านได้ถวายตัวเป็นศิษย์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่เสด็จประทับ ณ วัดมหาธาตุนั้น พระองค์ได้ทรงสั่งสอนชี้แจง โดยข้อปฏิบัติสิกขาบทวินัยต่าง ๆ ทรงแนะนำในพิธีอุปสมบทรามัญและอักขรวิธี โดยฐานกรณ์ที่ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ พร้อมทั้งทรงจัดหาพระรามัญจากวัดชนะสงครามมาเป็นพระอุปัชฌาย์ นิมนต์พระสงฆ์รามัญมาเป็นคณปูรกะ อุปสมบทให้ใหม่ตามรามัญวิธีในพระอุโบสถวัดมหาธาตุนั้น เพราะเหตุใดจึงทรงเลือกรับเอาวงศ์บรรพชาของพระสงฆ์รามัญมาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราชาธิบายไว้ในพระมหาสมณศาสนภาษาบาลีที่พระราชทานไปยังลังกา ตอนหนึ่งว่า “อนึ่ง ในเรื่องวงศ์นี้ พวกข้าพเจ้าขอบอกความมุ่งหมายของบัณฑิตฝ่ายธรรมยุตตามเป็นจริงโดยสังเขป คือหากสีหฬวงศ์เก่ายังตั้งอยู่ในสีหฬทวีป มาจนถึงปัจจุบันนี้ไซร้ พวกธรรมยุตบางเหล่าจักละวงศ์เดิมของตนบ้าง บางเหล่าจักให้ทำทัฬหีกรรมบ้าง แล้วนำวงศ์ (สีหฬ) นั้นไปเป็นแน่แท้ แต่เพราะไม่ได้วงศ์เก่าเช่นนั้น ไม่เห็นวงศ์อื่นที่ดีกว่าจึงตั้งอยู่ในรามัญวงศ์ ซึ่งนำไปแต่สีหฬวงศ์เก่าเหมือนกัน ด้วยสำคัญเห็นวงศ์ (รามัญ) นั้นเท่านั้นเป็นวงศ์ดีกว่าเพื่อนโดยความที่ผู้นำวงศ์ไปนั้นเป็นผู้นำไปจากสีหฬทวีปในกาลก่อนบ้าง โดยความวิธีเปล่งเสียงอักขระของภิกษุรามัญเหล่านั้นใกล้เคียงกับสีหฬในบัดนี้บ้าง” (http://www.sookjaipic.com/images/6272349382_kimleng._1_.gif) ที่มา : หนังสือ “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับงานพระพุทธศาสนา” จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในโอกาสที่วันพระบรมราชสมภพครบรอบ ๒๐๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๗ โดย คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม |