เรื่อง(จริง) จาก รอสเวลล์ และ แอเรีย51เรื่องราวของ UFO และมนุษย์ต่างดาวยังคงทำให้มนุษย์ตื่นตะลึงและพิศวงอยู่เสมอ.
ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีเรื่องฮือฮาเกิดขึ้นในบ้านเราเหมือนกันนะคะ กับข่าวที่ว่ามีคนถ่ายภาพ “สิ่งแปลกปลอม”บนท้องฟ้าเหนือนครเชียงใหม่ได้ ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตกันมากว่าหรือยูเอฟโอจะมาเยือนเมืองไทยซะแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีผู้คาดเดาว่า ในพิธีเสกสมรสของเจ้าชายวิลเลี่ยมและเคท มิดเดิลตัน ซึ่งเป็นงานยักษ์ระดับโลก จะต้องมีมนุษย์ต่างดาวมาร่วมสังเกตการณ์ด้วยแน่ๆ แล้วก็มีการจับภาพได้จริงๆว่า มีสิ่งแปลกปลอมอยู่เหนือน่านฟ้าลอนดอนก่อนพิธีจะเริ่มขึ้น
แอเรีย 51 จากภาพถ่ายทางอากาศ.
แม้เรื่องนี้จะยังพิสูจน์ชัดๆไม่ได้แต่ก็เชื่อเหลือเกินค่ะว่าคนจำนวนมากบนโลกเรามั่นใจว่ายูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวมี อยู่จริง เพียงแต่พวกเขายังโฉบไปโฉบมา ไม่ยอมร่อนลงมาคุยกับเราตรงๆเท่านั้น และในเมื่อยังไม่มีอะไรชัดเจนแล้ว ท่านผู้อ่าน เคยสงสัยกันบ้างไหมคะว่า ทำไมเวลาพูดถึง “เอเลี่ยน” คนส่วนมากจะนึกไปในทางเดียวกัน คือ สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายคน แต่ตัวเล็กกว่านิดหน่อย หัวกลมโต ดวงตาใหญ่ สีผิวออกเทาๆ
ความคิดนี้มีที่มาค่ะและไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนก็จะมาไขประตูแห่งความลับนี้ออกมาให้ได้เห็นกัน
หุ่นจำลองที่สร้างตามภาพใน Alien Autopsy.
ย้อนไปก่อนหน้าโน้น...เอเลี่ยนยังเป็นอะไรที่ไกลตัว จนแทบนึกไม่ออกว่าจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร แต่สิ่งที่ทำให้เราเกิดความเคยชินกับมนุษย์ต่างดาวที่มีรูปแบบค่อนข้างแน่นอนนี้เกิดจากวีดิโอ “ลับ” ชุดหนึ่งที่ถูกเผยแพร่ออกมาในปี ค.ศ.1995 วีดิโอที่ถูกเรียกขานกันว่า Alien Autopsy หรือ “การชันสูตรศพมนุษย์ต่างดาว” ซึ่งอ้างว่าเป็นศพที่ได้มาจากเหตุการณ์เล่าลือระดับโลกที่ว่า “เคย” มียูเอฟโอมาหล่นปุ๊อยู่แถวๆรอสเวลล์ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี ค.ศ.1947
วีดิโอนี้เป็นภาพที่ถ่ายอย่างชัดเจน เห็นศพของสิ่งที่แปลกประหลาด หัวโต ตัวเล็ก มีบาดแผลที่ขา และมีคนแต่งกายปกปิดมิดชิดเข้ามาชันสูตรในทำนองเดียวกับแพทย์ที่ผ่าศพทั่วๆไปดู เพียงแต่ศพที่เห็นคราวนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเราๆ แล้วจะเป็นอะไรไปได้บ้างเล่า หากไม่ใช่เอเลี่ยนที่ผู้คนสงสัยและแสวงหามานาน
ประตูด้านหลังของเส้นทางสู่แอเรีย 51.
วีดิโอที่ถูกนำไปฉายทางโทรทัศน์ทั่วโลกนี้ มาจากฟิล์มภาพยนตร์ในครอบครองของเรย์ แซนทิลลิ คนทำงานเบื้องหลังในวงการบันเทิงในอังกฤษ ซึ่งอ้างว่าได้ฟิล์มนี้มาจากบุคคลที่ไม่เปิดเผย แต่ยืนยันว่ามันคือเหตุการณ์พิสูจน์มนุษย์ต่างดาวที่มาสิ้นชีพบนโลกของเราที่รอสเวลล์ และนั่นก็ ทำให้กระแสคลั่งเอเลี่ยนเกิดขึ้น ตามมาด้วยความคิดฝังหัวของคนทั่วโลกว่า ถ้าเป็นมนุษย์ต่างดาว ต้องมีรูปร่างหน้าตาแบบนี้แน่ๆ
ก่อนจะเล่าเรื่องภาพยนตร์ลึกลับของแซนทิลลิต่อ เห็นทีจะต้องขอย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1947 ว่าด้วยเรื่องของเหตุการณ์ที่รอสเวลล์ อันเป็นต้นตอของเรื่องนี้กันเสียก่อน
อันที่จริง เริ่มมีข่าวลือหนาหูออกมาตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน ต่อต้นเดือนกรกฎาคม 1947 แล้วว่า มีคนเห็นอะไรบางอย่างแปลกประหลาดที่ทุ่งนาทางตอนเหนือของเมืองรอสเวลล์ในรัฐนิวเม็กซิโกของสหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังไม่มีอะไรแน่ชัดจนกระทั่งหนังสือพิมพ์รอสเวลล์ เดลี่ เรคคอร์ด ได้ตีพิมพ์ข่าวที่สะท้านลั่นโลกในวันที่ 8 กรกฎาคม 1947 ว่า มีคนพบ “ซาก” ของวัตถุบางอย่างที่อาจจะเป็นยานบินลึกลับในทุ่งนา แล้วทีนี้ก็ลือสะพัดกันมากขึ้นว่า ไม่ใช่เฉพาะยูเอฟโอร่วงหรอก...แต่มีเอเลี่ยนติดคาอยู่ในซากจานบินด้วย บ้างก็บอกว่าเพื่อนตัวจิ๋วของเราบาดเจ็บสาหัส แต่ส่วนใหญ่จะบอกว่าตายแล้วแหงแก๋ แต่ที่แน่ๆ ทางการได้มา “เก็บ” ไปหมด แล้ว ทั้งซากยานและเอเลี่ยนที่ว่า ทำให้ไม่เหลืออะไรให้เห็นอีกเลย
แต่ข่าวลือประเภทนี้เกิดขึ้นแล้วดับยากค่ะ เพราะแม้รัฐบาลสหรัฐฯรวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพจะบอกว่าไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น แต่ก็มีพยานจำนวนมากนั่งยันนอนยันว่าเห็นยานบินลึกลับแน่นอน แถมยังมีคนเก็บเศษโลหะประหลาดที่ตกกระจายอยู่ในบริเวณนั้นได้ด้วย แต่ก็เป็นไปตามฟอร์ม ปกติของทางการที่รีบบอกปัดว่ามันคือบอลลูนตรวจอากาศต่างหากที่ร่วงลงมาตะหากไม่ใช่ยูเอฟอง...ยูเอฟโออะไรอย่างที่เล่าลือกันสักหน่อย
ภาพบางส่วนจากวีดิโอลับ Alien Autopsy.
แต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ผ่านมา 64 ปีแล้ว คงต้องบอกว่าหาคนเชื่อคำปฏิเสธนี้ได้ยากเต็มทน คำว่ารอสเวลล์ก็เลยกลายเป็นคำที่สื่อความหมายถึงยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวเรื่อยมา
เหล่านักทฤษฎี สมคบคิดบอกว่า ทางการสหรัฐฯได้สร้างฐานลับขึ้นมาแห่งหนึ่งในรัฐเนวาดา ภายใต้ชื่อแอเรีย 51 ซึ่งเป็นสถานที่ลับสุดยอด ที่มีการนำซากยานที่ตกและศพเอเลี่ยนไปไว้ที่นั่นเพื่อการศึกษา ทั้งการผ่าศพมนุษย์ต่างดาวดูเครื่องในต่างๆ และการศึกษาเทคโนโลยีการบินของยูเอฟโอ เพื่อพัฒนากิจการการบินของสหรัฐฯ
ทีนี้ทั้งคำว่ารอสเวลล์และคำว่าแอเรีย 51 ก็เลยกินความหมาย กว้างทั้งในแง่ที่หมายถึงสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญานอกโลก และในแง่ที่หมายถึงการปกปิดและเชื่อถือไม่ได้ของทางการที่พยายามปิดบังเรื่องยูเอฟโอ ซึ่งเป็นความพยายามที่ค่อนข้างล้มเหลว เพราะคนเชื่อไปแล้วว่า ปรากฏการณ์รอสเวลล์และแอเรีย 51 มีความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแน่ๆ
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น นั่นก็เพราะมีความแน่นหนาทั้งพยานและหลักฐาน โดยพยานปากเอกคือ วิลเลียม แม็ค บราเซล คนงานในไร่ปศุสัตว์แถบนั้น ที่ให้การว่าเห็นวัตถุบินได้เรืองแสงขนาดใหญ่อยู่บนท้องฟ้าตอนกลางคืน ก่อนที่จะได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น พอเช้าขึ้น พ่อหนุ่มก็เลยออกเดินดุ่มๆไปดูให้เห็นกับตาสักหน่อยว่าไอ้ที่เห็นและได้ยินเมื่อคืนมันคืออะไร แล้วก็ได้พบเศษชิ้นส่วนของวัสดุประหลาดอยู่ กลางทุ่ง เป็นวัสดุที่ดูเหมือนแผ่นฟอยล์บางๆที่มาพร้อมลักษณะอันน่าฉงนคือ ยืดหยุ่นมากจนสามารถม้วนงอได้ แต่ก็แข็งแรงจนไม่สามารถทำให้ฉีกขาด และยังมีชิ้นส่วนในรูปแบบอื่นๆ อีกหลายสิบชิ้นกระจายเกลื่อนไปหมด ก็เลยเก็บๆมาแล้วรีบแจ้นไปบอกจอร์จ วิลค็อกซ์ นายอำเภอในพื้นที่
ท่านนายอำเภอก็ตื่นเต้นพอกันค่ะ พอรู้เรื่องก็รีบซิ่งไปบอกกองทัพอากาศ ซึ่งก็เร็วพอกัน ส่งพันตรีเจสซี มาร์เซล มาร่วมตรวจสอบทันที
หนังสือพิมพ์ของรอสเวลล์ เดลี่ เรคคอร์ดที่ลงข่าวยานบินลึกลับในปี 1947.
ท่านนายพันเป็นอีกหนึ่งในพยานที่สำคัญที่สุด เพราะได้บอกกับผู้สื่อข่าวอย่างชัดแจ้งว่าเจออะไร “บางอย่าง” ในทุ่งนั้นจริงๆ และยังไปร่วมเดินดุ่มๆกับพลพรรคเพื่อหาชิ้นส่วนต่างๆเพิ่มเติมจากที่หนุ่มชาวไร่เก็บมาได้ก่อนหน้านี้ และก็ได้พบวัสดุปริศนาอีกหลายชิ้นที่ว่ากันว่าไม่เหมือนวัสดุอื่นใดที่เคยเห็น ที่ไหนในโลก ดังนั้น มันต้องมาจากนอกโลกแหง็มๆ
แล้วพันตรีมาร์เซลก็ยังกลายเป็นขวัญใจของนักนิยมยูเอฟโอได้เพียงพริบตา เมื่อออกแถลงการณ์แบบชัดแจ้งแจ่มแจ๋วว่า เรื่องที่เล่าลือกันมามากเกี่ยวกับจานบินกลายเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว เจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศรอสเวลล์โชคดีมากที่ได้ครอบครองจานบินจานหนึ่ง...อ่ะหะ...เป็นเรื่อง
แต่ท่านนายพันก็เจ๋งได้ไม่นาน เพราะอีกแป๊บเดียวต่อมา ก็มีแถลงการณ์จากภาครัฐอย่างหนักแน่นว่าเหลวทั้งเพ เพราะมันเป็นแค่บอลลูนตรวจอากาศแน่ๆ แต่ก็แน่ๆ อีกอย่างว่า หาคน เชื่อแทบไม่ได้ และหลังจากนั้น ก็มีพยานอีกมากหน้ามายืนยันว่าเป็นยูเอฟโอชัดๆ ขนาดที่ว่าในปี 1997 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นร่วมกับนิตยสารไทม์ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของอเมริกันชน พบว่าคนอเมริกันมากกว่าครึ่งเชื่อเรื่องเล่าที่ว่ามียานอวกาศจากต่างดาวมาเยือนโลกจริง และมันตกลงสู่รอสเวลล์ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า การสำรวจความคิดเห็นที่ทำขึ้นหลังการเผยแพร่วีดิโอสะท้านโลกนั้น ทำให้แนวคิดนี้ถูกตอกลิ่มเข้าไปในจิตใจของผู้คนอย่างยากจะแปรเปลี่ยน
แต่วีดิโอที่ทำเอาสะเทือนไปทั่วโลกนี้ เชื่อถือได้ขนาดไหน???
น่าเสียดายแทนนักคิดด้านยูเอฟโอเป็นอย่างมาก ที่ในที่สุดหลังจากผ่านไป 11 ปี นับจากวันแรกที่เปิดเผยวีดิโอลับนี้ เรย์ แซนทิลลิ ผู้ครอบครองฟิล์มก็ออกมายอมรับในปี 2006 ว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่ถูกทำขึ้น แต่ถึงกระนั้น แซนทิลลิก็ยังคงยืนกรานว่า ของจริงก็มีอยู่ในบางท่อนของวีดิโอ แต่เนื่องจากมันเก่ามาก ทำให้ต้องลวงโลกด้วยการถ่ายทำขึ้นมาใหม่ ประกอบกับของเก่าให้เกิดความสมบูรณ์
ซากวัตถุประหลาดที่เชื่อกันว่ามาจากซากจานบินที่รอสเวลล์.
ภาพส่วนใหญ่ในวีดิโอจึงไม่ใช่เหตุการณ์ในรอสเวลล์ หรือแอเรีย 51 แต่เป็นฉากจากการถ่ายทำในอังกฤษ โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญสร้างหุ่นเอเลี่ยน ขึ้นมา อาศัยวัสดุที่หาได้ในลอนดอน บวกเข้ากับเนื้อสัตว์จากตลาดก็กลายมาเป็นศพมนุษย์ต่างดาว เครื่องใน และเนื้อสมองอย่างที่เห็น
แต่การสารภาพของแซนทิลลิก็ไม่เคยลบล้างความเชื่อเรื่องรอสเวลล์ และตัวเขาเองก็ยังมั่นใจว่ามันเป็นเรื่องจริง แม้ “จำเป็น” ต้องสร้างสถานการณ์ลวงโลกครั้งใหญ่ขึ้นมาก็ตาม แต่เขาเคยเห็นภาพยนตร์ต้นฉบับแล้วแน่ๆ เสียดายแค่ว่า มันผุพังไปตามกาลเวลาแล้วก็เท่านั้น เรื่องเล่าจากรอสเวลล์ และแอเรีย 51 จึงยังเป็นเรื่องจริงที่ถูกปิดบังจากทางการ และรอคอยว่าสักวันหนึ่ง ความจริงที่แน่แท้จะถูกเปิดเผย และอาจจะทำให้เราทั้งโลกต้องตะลึงงัน
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังของฮอลลีวูด คือ เจ.เจ. อับรามส์ ก็เกิดไอเดียบรรเจิดขึ้นมาว่า หากมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ถ่ายเหตุการณ์ หรือจับภาพเอเลี่ยนจากรอสเวลล์และแอเรีย 51 ได้ขึ้นมาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น ทำให้เป็นที่มาของภาพยนตร์ระทึกขวัญ เรื่อง Super 8-ซูเปอร์ 8 วิบัติลับมรณะซูเปอร์ 8 ที่กำลังเป็นที่สนใจอยู่ในช่วงนี้ คำว่า Super 8 นั้น ไม่ได้หมายถึงยอดมนุษย์แต่อย่างใด แต่เป็นชื่อของกล้องฟิล์มถ่ายภาพยนตร์ขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมอยู่ในยุคเดียวกันกับการเกิดเหตุการณ์ปริศนาขึ้นที่รอสเวลล์
ดูแล้วก็ให้ความรู้สึกที่ชัดแจ้งมากขึ้นทุกทีว่า เมื่อไหร่รัฐบาลสหรัฐฯจะเลิกหลอกเราเสียทีว่ายูเอฟโอไม่มีจริง.
ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน