จิตมี 2 ชนิด
1. จิตสังขาร จิตตัวนี้สร้างวิญญาณธาตุ หรือกายทิพย์หรืออทิสมานกาย ผู้ที่เข้านิพพาน ต้องดับจิตสังขารหรือกายทิพย์ก่อน เพราะมันเกิดจากความไม่บริสุทธิ์หรืออวิชชา เมื่อดับจิตสังขารหรือกายทิพย์ตัวนี้แล้ว จะได้
2. จิตบริสุทธิ์ที่เป็นจิตปภัสสรที่หมดกิเลสอวิชชา จิตปภัสสรที่หมดกิเลสอวิชชา จะสร้างกายทิพย์ และกายธรรม ขึ้นมาแทน
ลองฟังที่หลวงปู่มั่นเล่าให้ฟังในเรื่องนิพพานไม่สูญ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตนะครับ
http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1257:%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95%E0%B9%92-%m-%E0%B9%91%E0%B9%95-%E0%B9%91%E0%B9%98-%M-%S&catid=39:2010-03-02-03-51-18
นิพพานเป็น แดนของวิสุทธิเทพคือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้วเหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงประกายพรึกพระ อรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น.......
ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย กายทิพย์ หรือ ธรรมกาย ของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม
ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญาณ ร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้วประกายพรึก
มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบเพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์ คุณเดียรถีย์พลศักดิ์....จ๋า.......
เพิ่งนึกได้เหรอจ๊ะ ....เลยเปลี่ยนเป้นจิตสองชนิด
อายมั๊ยล่ะครับ.... พื้นฐานยังไม่แน่น
ก็ตกม้าตาย ....หัวจิ้ม
พระวิสุทธิเทพนั่นเหรอครับเป็นพระอรหันต์
ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ดอกเด้อ......
เป็นเพียงพระราชา... ของคนผมหงอกเท่านั่นแหละ ครับ
อ่านพระคาถานี้ให้ดีๆ...
พระราชาทรงถือผมหงอก ตรัสพระคาถานี้แก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า
ผมที่หงอกบนศีรษะของเรานี้เกิดแล้ว เป็นเหตุนำวัยไป เทวทูตปรากฏแล้ว นี้เป็นสมัยแห่งการบรรพชาของเรา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุตฺตมงฺครุหา ได้แก่ ผม. จริงอยู่ ผมทั้งหลายเรียกว่า อุตฺตมงฺครุหา เพราะงอกขึ้นบนเบื้องสูงแห่งอวัยวะ มีมือและเท้าเป็นต้น คือว่า บนศีรษะ. บทว่า อิเม ชาตา วโยหรา ความว่า พ่อทั้งหลาย จงดูผมหงอกเหล่านี้เกิดแล้ว ชื่อว่าเป็นเหตุนำเอาวัยไป เพราะนำเอาวัยทั้ง ๓ ไป โดยภาวะปรากฏผมหงอก. บทว่า ปาตุภูตา ได้แก่ บังเกิดแล้ว.
มัจจุ ชื่อว่า เทวะ ที่ชื่อว่า เทวทูต เพราะเป็นทูตแห่งเทวะนั้น. จริงอยู่ เมื่อผมหงอกทั้งหลายปรากฏบนศีรษะ บุคคลย่อมเป็นเหมือนยืนอยู่ในสำนักของพญามัจจุราช เพราะฉะนั้น ผมหงอกทั้งหลายท่านจึงเรียกว่า ทูตของเทวะ คือมัจจุ ที่ชื่อว่า เทวทูต เพราะเป็นทูตเหมือนเทวะ ดังนี้ก็มี เหมือนอย่างว่า บุคคลย่อมเป็นเหมือน ผู้อันเทวดาผู้มีทั้งประดับและตกแต่ง แล้วยืนในอากาศกล่าวว่า ท่านจักตายในวันชื่อโน้น ฉันใด
เมื่อผมหงอกทั้งหลายปรากฏแล้วบนศีรษะ ย่อมเป็นเช่นกับเทวดาพยากรณ์ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผมหงอกทั้งหลาย ท่านจึงกล่าวว่า เป็นทูตเหมือนเทพ ที่ชื่อว่าเทวทูต เพราะเป็นทูตของวิสุทธิเทพทั้งหลาย ดังนี้ก็มี. จริงอยู่ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต เท่านั้น ก็ถึงความสังเวช เสด็จออกบวช.
สมดังที่ตรัสไว้ว่า
ดูก่อนมหาบพิตร เพราะอาตมภาพเห็นคนแก่ คนป่วยไข้ได้ความทุกข์ คนตายอันถึงความสิ้นอายุ และบรรพชิตผู้ครองผ้ากาสาวะ จึงได้บวช ดังนี้.
โดยปริยายนี้ ผมหงอกทั้งหลาย ท่านจึงเรียกว่าเทวทูต เพราะเป็นทูตแห่งวิสุทธิเทพทั้งหลาย.
มฆเทวชาดก
ว่าด้วย เทวทูต
พระพุทธเจ้า เห็นผมหงอก อันเป็นสาส์นจากพระวิสุทธิเทวา จึงออกบรรชา....เด้อ
พระวิสุทธิเทวา ผมหงอกเมื่อไร ก็ถึงความตาย
ความสิ้นอายุ ....เด้อ
และขณะที่เห็นผมหงอก.... พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
และก็เป็นเครื่องยืนยัน ...ว่า พระวิสุทธิเทวา ไม่ได้เป็นพระอรหันต์อย่างที่เข้าใจกัน ดอกเด้อคุณเดียรถีย์พลศักดิ์
เพราะ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะออกบรรพชา
ทั้งสามโลกในตอนนั้น..... ไม่มีพระอรหันต์สักองค์...เด้อ
คุณเดียรถีย์พลศักดิ์.... จ๋า
สวัสดีปีใหม่นะจ๊ะ.....จุ๊ปส์ๆ