ซอฟท์พาวเวอร์—หมูกระทะ
<span class="submitted-by">Submitted on Mon, 2023-11-27 21:33</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ</p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>คำว่า “Soft Power” มาจากงานของโจเซฟ เอส นาย จูเนียร์ (Joseph S. Nye, Jr.) อาจารย์สอนรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ต้นฉบับเขาให้หมายถึง “ความสามารถที่จะดึงเอามาเป็นพวก (co-opt) มากกว่าการบังคับ (coerce)” เขาใช้คำนี้ในบริบทการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อมุ่งสร้างค่านิยมความชอบพอให้กับประเทศอื่น โดยการอาศัยแรงดึงดูดและการชักชวนให้ประเทศอื่นทำตาม </p>
<p>แนวคิดของโจเซฟ นายเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปลายทศวรรษ 1980 ซอฟท์พาวเวอร์เป็นความสามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมประเทศอื่น เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ตามที่ประเทศเราต้องการในมิติของการเมืองระหว่างประเทศ วิธีที่โจเซฟ นาย เสนอให้กับสหรัฐอเมริกามี 3 วิธี ได้แก่ (1) การใช้วัฒนธรรม (culture) (2) คุณค่าทางการเมือง (political values) และ (3) นโยบายต่างประเทศ (foreign policies)</p>
<p>โจเซฟ นาย กล่าวว่า
“A country may obtain the outcomes it wants in world politics because other countries-admiring its values, emulating it example, aspiring to its level of prosperity and openness-want to follow it. In this sense, it is also important to set the agenda and attract others in world politics, This soft power – getting others to want the outcomes that you want – co-opts people rather than coerces them” </p>
<p>ถอดความได้ทำนองว่า
“ประเทศหนึ่งอาจได้รับสิ่งที่ต้องการในการเมืองโลก เพราะประเทศอื่น ชื่นชมคุณค่า เลียนแบบ มีแรงบันดาลใจจากความเจริญรุ่งเรืองและการเปิดประเทศ (ของเรา) จนเขาต้องการทำตาม ตามความหมายนี้ ยังมีสิ่งสำคัญทางด้านการกำหนดนโยบายและการดึงดูดประเทศอื่นในการเมืองโลกด้วย ซอฟท์พาวเวอร์นี้ ทำให้คนอื่นต้องการผลลัพธ์ที่เราต้องการ-เป็นการดึงเอาคนมา เป็นพวก ไม่ใช่บังคับเขา” </p>
<p>ซอฟท์พาวเวอร์จึงหมายถึงการใช้<strong>
“ไม้นวม”</strong> ในเวทีการเมืองโลกนั่นเอง หากเราดูบริบทการเมืองระหว่างประเทศเวลานั้น เราจะเข้าใจ เพราะโลกกำลังตึงเครียดจากการแข่งขันกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ในยุคสงครามเย็น ซึ่งรอวันแตกหักอย่างน่าสะพรึงกลัว หรือเอาง่าย ๆ เทียบระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ในปัจจุบันก็ได้ การมุ่งใช้ “ไม้แข็ง” ต่อกัน ไม่เป็นผลดีทั้งสองประเทศ</p>
<p>ต่อมา ค.ศ. 2004 โจเซฟ นาย เขียนหนังสือเล่มใหม่ ชื่อ
“Soft Power, The Means to Success in World Politics” อธิบายที่มาของซอฟท์พาวเวอร์ (Sources of Soft Power) และข้อจำกัด (The Limits of Soft Power) (หน้า 11-17) และต่อด้วยการอธิบายถึงบทบาทของอำนาจทางทหารที่เปลี่ยนแปลงไป (The Changing Role of Military Power) (หน้า 18-20) เพื่อให้สอดรับกับการใช้ซอฟท์พาวเวอร์ รวมถึงหัวข้อการใช้อำนาจสลับกันระหว่างฮาร์ดพาวเวอร์กับซอฟท์พาวเวอร์ หรือ <strong>
“การใช้ไม้แข็งสลับกับไม้นวม” </strong></p>
<p>หัวข้อที่มาของซอฟท์พาวเวอร์ เขาอธิบายว่ามี 3 ทางดังที่กล่าวไปแล้ว ได้แก่ วัฒนธรรม คุณค่าทางการเมือง และนโยบายต่างประเทศ วัฒนธรรมก็อย่างเช่น วรรณคดี ศิลปะวัฒนธรรมและการศึกษา ซึ่งชักนำให้ผู้นำและประชาชนประเทศอื่นคล้อยตาม เช่น การกินพิซซา เบอร์เกอร์หรือดูวีดิโอหนังอเมริกัน ส่วนคุณค่าทางการเมืองก็เน้นคุณค่าสากล เช่น เสรีภาพ และนโยบายต่างประเทศก็ใช้นโยบายภายในส่งออกไปต่างประเทศ เช่น การส่งเสริมประชาธิปไตยสมัยเรแกนและคลินตัน ด้านวิธีส่งซอฟท์พาวเวอร์กระทำผ่านทางการค้า สถาบันระหว่างประเทศ นโยบายต่างประเทศ การเปิดประเทศและการสื่อสารคมนาคม เช่น การให้คนต่างประเทศมาเรียน มาเที่ยว สื่อความคิด คุณค่า วัฒนธรรมผ่านหนังสือ ตำรา และสื่อมวลชนออกไปทั่วโลก</p>
<p>คาดคะเนไม่ได้เหมือนกับการใช้กำลังบังคับหรือการยื่นคำขาด บางทีก็ถูกประเทศอื่นต่อต้านและล้มเหลว แต่โจเซฟ นาย บอกว่าถูกครึ่งเดียว เพราะความสำคัญของซอฟท์พาวเวอร์อยู่ที่การแผ่อิทธิพลทางความคิดและวัฒนธรรม อันมีผลต่อการครอบงำ หรือสมัยนี้เรียกว่าการสร้างอำนาจวาทกรรมนั่นเอง ซอฟท์พาวเวอร์จะใช้ได้เมื่อประเทศที่เรามุ่งครอบงำมีการกระจายอำนาจ แต่จะใช้ไม่ได้กับประเทศที่อำนาจกระจุกตัว เช่น ประเทศเผด็จการหรือเผด็จการเบ็ดเสร็จ</p>
<p>หน้า 31 โจเซฟ นาย สรุปว่า ยุคข้อมูลข่าวสารของโลก แบ่งอำนาจได้ 3 ประเภท คือ (1) อำนาจทางทหาร (military power) (2) อำนาจทางเศรษฐกิจ (economic power) และ (3) ซอฟท์พาวเวอร์ (soft power) สำหรับซอฟท์พาวเวอร์เป็นอำนาจการดึงดูด ชักชวน กำหนดนโยบายชี้นำ จุดเน้นหลักมี 4 จุด ได้แก่ อำนาจของคุณค่า อำนาจวัฒนธรรม อำนาจนโยบาย และอำนาจสถาบัน ส่วนรัฐบาลที่ต้องการผลักดันซอฟท์พาวเวอร์ต้องดำเนินทางการทูต ระดับทวิภาคีและพหุภาคี</p>
<p>จากงานของโจเซฟ นายดังกล่าว ต่อมา ค.ศ. 2010 สถาบัน Institute for Government กับ บริษัท Monocle ร่วมมือกันจัดทำดัชนีวัดซอฟท์พาวเวอร์ เรียกว่าดัชนี “The IfG-Monocle Soft Power Index” มีองค์ประกอบ 5 ด้าน ได้แก่ (1) วัฒนธรรม (culture) (2) การทูต (diplomacy) (3) การศึกษา (education) (4) ธุรกิจหรือนวัตกรรม (business/innovation) และ (5) การปกครอง (government) </p>
<p>หลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็เกิดการวัดระดับซอฟท์พาวเวอร์ของประเทศต่าง ๆ ในโลก ปัจจุบันมีองค์การหลายแห่งทำการวัด เช่น Brand Finance’s Global Soft Power, ISSF’s World Soft Power Index, Monocle’s Soft Power Survey และ Portland’s the Soft Power 30 </p>
<p>ทางด้านมิติขององค์ประกอบก็เพิ่มขึ้น เช่น วัดโรงเรียนสอนภาษา เช่น สมมติไทยมีโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ก็แสดงว่าภาษาอังกฤษเป็นซอฟท์พาวเวอร์ที่สำคัญ หรือการได้รับเหรียญโอลิมปิก หรือสถาปัตยกรรมของชาติ หรือแบรนด์ธุรกิจ เช่น แบรนด์โค้กกับเป๊บซี่ แบรนด์ไหนมีอิทธิพลต่อไทยมากกว่ากัน หรือแบรนด์บิ๊กแม็คมีอิทธิพลต่อไทยแค่ไหน หรือคนไทยกินเบอร์เกอร์มากหรือน้อยแค่ไหน หรือในทางกลับกัน คนในโลกกินต้มยำกุ้งหรือส้มตำแค่ไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มิติย่อยเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจการครอบงำโลก ต้องดูทั้งคะแนนรวมและคะแนนตามรายการย่อยประกอบกัน จะเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของการครอบงำของแต่ละประเทศ</p>
<p>การวัดตามดัชนีดังกล่าว ที่จริงแล้วจึงเป็นการวัดว่าประเทศหนึ่ง ๆ มีอำนาจครอบงำโลกแค่ไหน โดยดูจากอำนาจการครอบงำทางวัฒนธรรม การทูต การศึกษา ธุรกิจหรือนวัตกรรม และการปกครอง และมิติย่อยขององค์ประกอบแต่ละด้าน ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนตามเวลา และมีองค์กรระดับโลกที่ทำการวัดหลายองค์กร ไม่ได้ต่างจากองค์กรหลายแห่งที่วัดระดับความเป็นประชาธิปไตยของโลกในเวลานี้</p>
<p>อำนาจการครอบงำของซอฟท์พาวเวอร์จึงมีที่มาจากข้อเสนอของโจเซฟ นาย ที่ให้สหรัฐอเมริกาใช้
“ไม้นวม” ในการครอบงำโลก จนกระทั่งในที่สุด กลายเป็นดัชนีวัดซอฟท์พาวเวอร์ว่าประเทศไหนมีอำนาจการครอบงำโลกมากกว่ากัน ซึ่งปัจจุบันประเทศที่มีอำนาจครอบงำระดับต้น ๆ ก็ยังเป็นตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ส่วนเอเชียหลุดเข้าไป 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่นกับจีน </p>
<p>โดยเฉพาะจีน น่ากลัวมาก ซอฟท์พาวเวอร์ของจีน ทำให้สหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด และน่าจะเกี่ยวข้องกับนโยบายปิดล้อมจีนทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและตะวันตกที่กำลังพยายามกระทำอย่างเต็มที่ รวมถึงกรณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาไปเยือนจีน ก็น่าจะเป็นซอฟท์พาวเวอร์ในแง่ rapprochement คือ พยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์อันดีกับจีน เพื่อดึงจีนมาเป็นพวก มากกว่าปล่อยให้จีนใกล้ชิดกับรัสเซียมากกว่านี้</p>
<p>ซอฟท์พาวเวอร์ของจีนมาจากนโยบายของรัฐบาลปักกิ่งเป็นหลัก โดยเฉพาะนโยบายการขยายเส้นทางการขนส่งและการคมนาคม การพัฒนาเทคโนโลยี การค้า และความช่วยเหลือในการพัฒนาแก่ประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งขยายไปไกลมาก ไม่ใช่เฉพาะนโยบาย “one belt one road” ที่ล้อมประเทศไทยกับเพื่อนบ้าน แต่รวมถึงการขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูงไปรัสเซียและยุโรปตะวันออก นโยบายการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศในทวีปอาฟริกา พม่า ปากีสถาน การพัฒนาเทคโนโลยี การค้าและอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศของจีนกำลังขยายออกไปสู่ระดับโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ</p>
<p>ตลอดระยะเวลายี่สิบห้าปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างน่าทึ่ง รัฐบาลปักกิ่งยกระดับการมีอิทธิพลต่อโลกและเปลี่ยนแนวทางจากการใช้อำนาจบังคับสมัยเหมา เจ๋อตง มาเป็นซอฟท์พาวเวอร์ บางคนถึงกับเชื่อว่า ขณะนี้จีนมีศักยภาพที่จะคุกคามการเป็นซุปเปอร์มหาอำนาจของสหรัฐอเมริกาได้ </p>
<p>ทุกวันนี้จีนกลายเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ การเปลี่ยนประเทศทั้งหมดส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับการใช้ซอฟท์พาวเวอร์ โดยเฉพาะนโยบายการต่างประเทศที่มีคุณค่า ทั้งชาญฉลาดและมีจุดยืนที่มั่นคงต่อผลประโยชน์อันสำคัญยิ่งยวดของประเทศ</p>
<p>ส่วนซอฟท์พาวเวอร์
“หมูกระทะ” ของไทย น่าจะเป็นแบรนด์ทางธุรกิจอย่างหนึ่ง แม้ยังไม่ได้ตั้งชื่อแบรนด์ว่าอะไร แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่น่าจะครอบงำใครได้ ใครว่าง ๆ ที่ไม่มีอะไรทำ ลองช่วยกันตั้งชื่อช่วยรัฐบาลบ้าง เอา “หมูกระทะ เสี่ยโย่ง” เป็นยังไง?? แต่ถ้าไม่ว่าง ก็ไม่เป็นไร-นะคร้าบ!!</p>
<p>การพัฒนานโยบายซอฟท์พาวเวอร์ของไทยที่ถูก น่าจะเริ่มต้นจากการดูองค์ประกอบของดัชนีวัดซอฟท์พาวเวอร์ของโลก แล้วเราเอามากำหนดนโยบายสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศ โดยมีนโยบายต่างประเทศและการทูตสนับสนุนอย่างจริงจัง </p>
<p>ไม่ใช่คิดซอฟท์พาวเวอร์โดยไม่มีฐานทฤษฎีรองรับ บางคนไปไกลมากบอกว่า ซอฟท์พาวเวอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนไทย คือ คนไทยยิ้มเก่ง สยามเมืองยิ้มนั่นยังไงสมญาประเทศ</p>
<p>แต่ก็อย่าลืมว่า ซอฟท์พาวเวอร์เป็นเพียงอำนาจอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากอำนาจเศรษฐกิจและอำนาจทางทหาร อย่างที่โจเซฟ นาย สรุปเอาไว้ ซอฟท์พาวเวอร์จะไปไม่ได้ ถ้าไม่มีตัวส่ง เช่น เศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว ความสามารถทางเทคโนโลยี หรือกำลังอำนาจของชาติ โดยเฉพาะการต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ</p>
<p>กรณีผู้นำประเทศไทยแสดงความชื่นชมต่อความสำเร็จของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นดารานักร้อง นางงาม หรือนักกีฬา น่าจะยังไม่ถึงกับมีอำนาจไปครอบงำใคร เป็นเพียงการออกไปโลดเต้นเพื่อให้คนรู้จัก แต่ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรต่อซอฟท์พาวเวอร์!! รวมทั้งคนไทยก็ไม่น่าจะคิดว่าการโลดเต้นอย่างนั้นเป็นซอฟท์พาวเวอร์ แม้รัฐบาลจะโฆษณากรอกหูสามเวลาหลังอาหารก็ตาม</p>
<p><strong>โจเซฟ นาย กล่าวว่า
“การโฆษณาชวนเชื่อที่ดีที่สุด คือ อย่าโฆษณาชวนเชื่อ”!!!</strong></p>
<p>
</p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">บทค
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/11/107002