รื้อฟื้นการสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่
ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๓
ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) ตลอดมาจนสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ หากมีการสร้างวัดวาอารามขึ้นมาใหม่ พระประธานประจำโบสถ์หรือประจำพระวิหารก็มิได้หล่อขึ้นมาใหม่ แต่ได้ไปอัญเชิญพระพุทธปฏิมากร หล่อด้วยทองเหลือง ทองสัมฤทธิ์ มาจากกรุงศรีอยุธยา กรุงสุโขทัย เมืองพิษณุโลก เมืองลพบุรี และหัวเมืองประเทศราช ได้แก่ อาณาจักรล้านนา และอาณาจักรล้านช้าง มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ประจำพระวิหาร เช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทน์ เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๗ ครั้งนั้นโปรดให้อัญเชิญพระบางอันเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่เมืองหลวงพระบางลงมาพร้อมกับพระแก้วมรกต เข้ามาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สถิตอยู่เป็นเวลา ๓ ปีเศษ ก็โปรดเกล้าฯ ให้เจ้านันทเสนอัญเชิญพระบางไปประดิษฐานไว้ ณ เมืองเวียงจันทน์
การที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเชื่อว่าการสร้างพระพุทธรูปเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ ฉะนั้น ในระหว่างรัชสมัยจึงได้มีการรื้อฟื้นการสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่อีกครั้ง โปรดฯ ให้สร้างพระพุทธรูปสำคัญหลายพระองค์ด้วยกัน เช่น พระประธานในพระอุโบสถวัดราชโอรส วัดราชนัดดา วัดสุทัศนเทพวราราม วัดเฉลิมพระเกียรติ และวัดปรินายก กับในพระวิหารวัดกัลยาณมิตร และวัดพระเชตุพน พระนอนวัดพระเชตุพนมีขนาดยาวเป็นอันดับสามของประเทศไทย
รองลงมาจากพระนอนจักรสีห์ จ.สิงห์บุรี และพระนอนวัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง
พระพุทธรูปที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีแบบและลักษณะคล้ายคลึงกับพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนปลาย ไม่อ่อนช้อยเหมือนกับที่สร้างในสมัยกรุงสุโขทัยและเมืองพิษณุโลก แต่จะเป็นแบบเรียบๆ ดูเข้มแข็ง และมักนิยมสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางคว่ำลงที่พระชานุ
โดยเหตุที่การหล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัยมีจำนวนมากแล้ว รัชกาลที่ ๓ ทรงมีพระราชดำริว่า พระพุทธรูปปางสำคัญได้สร้างขึ้นในวัดนี้หลายปางแล้ว ขาดแต่ปางปรินิพพาน หรือเรียกโดยทั่วไปว่า "ปางไสยาสน์" จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระนอน หรือพระพุทธไสยาสน์ ไว้ที่วัดพระเชตุพนองค์ ๑ เป็นพระก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทองทั้งองค์ พุทธลักษณะบรรทม (นอน) ตะแคงเบื้องขวา พระเศียรหนุนพระเขนย (หมอน) พระหัตถ์ซ้ายทอดทาบไปตามพระวรกาย พระหัตถ์ขวาวางหงายอยู่ข้างพระเขนย พระบาทซ้ายทับซ้อนพระบาทขวา ฝีมือช่างสิบหมู่ของหลวง พระองค์เจ้าลดาวัลย์ (กรมหมื่นภูมินทรภักดี) เป็นผู้ควบคุมการสร้าง มีความยาว ๑ เส้น ๓ วา สูง ๑๕ เมตร เฉพาะพระพักตร์วัดจากไรพระศกถึงพระหนุยาว ๑๐ ศอก กว้าง ๕ ศอก พระบาทยาว ๕ เมตร สูง ๓ เมตร จำหลักด้วยมุกเป็นภาพอัฎฐตดรสตมงคล หรือมงคล ๑๐๘ ล้อมรอบด้วยกงจักร ประดับที่พื้นฝ่าพระบาท ฝีมืองดงามมาก
อัฎฐตดรสตมงคลหรือมงคล ๑๐๘ ประการ เป็นคติความเชื่อที่ปรากฏในคัมภีร์ชินาลังการฎีกาของลังกา โดยระบุว่าเป็นมงคลที่พราหมณ์ได้เห็นจากฝ่าพระบาทของเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อประสูติได้ ๕ วัน แต่ปรากฏว่าไม่มีการสร้างพระพุทธบาทรูปลักษณ์นี้ในลังกา หากแต่พบที่พุกาม ประเทศพม่า กล่าวกันว่า มงคล ๑๐๘ ประการนี้ เป็นการพัฒนาแนวความคิด และสืบทอดมาจากรูปมงคล ๘
มงคล ๑๐๘ ประการ ประกอบด้วยมงคลต่างๆ แบ่งประเภทได้ดังนี้
๑.เป็นลักษณะแห่งโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ เช่นหม้อน้ำ ปลาคู่ สวัสดิกะ พวงมณี ดอกบัว เป็นต้น
๒.เป็นเครื่องประกอบพระบารมีของกษัตริย์และพระเจ้าจักรพรรดิ เช่น สัตตรัตนะ ๗ ประการ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ บัลลังก์ เครื่องสูง เครื่องยศ เครื่องตันต่างๆ และราชพาหนะ เป็นต้น
๓.เป็นส่วนประกอบของพระภูมิในจักรวาลตามความเชื่อของพระพุทธศาสนา เช่น เขาจักรวาล มหาสมุทร ทวีปทั้ง ๔ เขาพระสุเมรุ เขาสัตตบริภัณฑ์ ป่าหิมพานต์ เป็นต้น พระพุทธโลกนาถ พระประธานในพระวิหารทิศตะวันออกมุขหลัง
พุทธลักษณะประทับยืน หล่อด้วยโลหะ สูง ๒๐ ศอก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ถวายพระนามพระพุทธรูปประธาน
ในพระวิหารทิศใหม่ และจารึกพระนามไว้ที่ผนังด้านหลังพระพุทธรูปว่า
" พระพุทธโลกนารถ ราชมหาสมมุติวงษ์ องคอนันตญาณสัพพัญญู
สยัมภูพุทธบพิตร" ดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้
พระพุทธโลกนาถ หรือพระโลกนาถ พระนามเดิมว่า "พระโลกนาถศาสดาจารย์" พระประธานในพระวิหารทิศตะวันออกมุขหลัง เป็นพระพุทธรูปยืน หล่อด้วยโลหะ สูง ๒๐ ศอก เดิมเคยประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระศรีสรรเพชญ์ กรุงศรีอยุธยา ต่อมาได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดพระเชตุพน ตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช น่าจะพร้อมกับการอัญเชิญพระพุทธรูปพระศรีสรรเพชญ เมื่อราวปี พ.ศ.๒๓๓๒ ในศิลาจารึกกล่าวว่า “พระพุทธรูปยืนสูงยี่สิบศอก ทรงพระนามว่าพระโลกนาถศาสดาจารย์ ปรักหักพัง เชิญมาแต่วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์กรุงเก่า ปฏิสังขรณ์เสร็จแล้วเชิญประดิษฐานในพระวิหารทิศตะวันออกมุขหลัง บรรจุพระบรมธาตุด้วย”
พระพุทธโลกนาถเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญในวัดพระเชตุวิมลมังคลารามที่มีหลักฐานเกี่ยวกับที่มาดั้งเดิมว่าอัญเชิญมาจากวัดพระศรีสรรเพชญ กรุงเก่า ซึ่งเป็นวัดในพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๐๔๓ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธรูปพระศรีสรรเพชญ เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.๒๓๑๐
พระพุทธโลกนาถ นับถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ในทางขอลูก มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ดังปรากฏเรื่องเล่ากันว่า เจ้าจอมแว่น (พระนามเดิมว่า เจ้านางคำแว่น เป็นพระบรมวงศานุวงศ์จากนครเวียงจันทน์) หรือที่เรียกกันว่า “คุณเสือ” พระสนมเอกในรัชกาลที่ ๑ ได้เคยมาบูชากราบทูลอธิษฐานความปรารถนาใคร่จะขอบุตรและได้ถวายตุ๊กตาศิลาไว้ ๑ คู่ ปัจจุบันนี้ก็ยังติดอยู่ที่ผนังพระวิหาร
เรื่องนี้มีโคลงจารึกในรัชกาลที่ ๓ ว่า
รจนาสุดารัตนแก้ว กุมารี หนึ่งฤา
เสนอธิบายบุตรี ลาภไซร้
บูชิตเชตชินศรี เฉลาฉลัก หินเฮย
บุญส่งจงลุได้ เสร็จด้วยดังถวิล
กุมารหนึ่งพึงฉลักตั้ง ติดผนัง
สถิตย์อยู่ทิศเบื้องหลัง พระไว้
คุณเสือสวาดิหวัง แสวงบุตร ชายเฮย
เฉลยเหตุธิเบศร์ให้ สฤษดิ์แสร้งแต่งผลฯ
แต่ตามประวัติของคุณเสือนั้น ปรากฏว่ามิได้ประสูติพระราชบุตร คือไม่สมหวังในเรื่องขอบุตรนี้พระพุทธรูปองค์สำคัญในวัดพระเชตุพนฯพระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานประจำพระอุโบสถ
พระพุทธโลกนาถศาสดาจารย์พระพุทธรูปปางปรินิพพาน หรือปางไสยาสน์ หรือเรียกกันทั่วไปว่า "
พระนอนวัดโพธิ์"
กล่าวกันว่าพระบาทมุก เป็นผลงานอันยอดเยี่ยมหาที่ติมิได้
พระพุทธไสยาสวัดพระนอน จึงเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้น
ด้วยฝีมือช่างในยุคแห่งศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ที่รุ่งโรจน์ที่สุด
ลวดลายอันประณีต วิจิตรงดงาม ที่ข่างศิลป์สมัยรัชกาลที่ ๓
ฝากฝีมือไว้ที่พระเขนย หรือหมอนหนุนพระเศียรพระนอนวัดพระเชตุพน
พระโปรดปัญจวัคคีย์ ปางมารวิชัยสมัยสุโขทัย
พระประธานประจำพระวิหารทิศใต้ มีหน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๑ นิ้ว
ได้อัญเชิญมาจากสุโขทัย ส่วนพระปัญจวัคคีย์นั้น โปรดฯ ให้หล่อขึ้นใหม่
ที่ฐานพระพุทธรูปมีจารึกซึ่งเข้าใจว่าจารึกในสมัยรัชกาลที่ ๔
ได้พระราชทานสร้อยพระนามเพิ่มว่า
“พระพุทธชินราช วโรวาทธรรมจักร อัครปฐมเทศนา นราศภบพิตร”
"พระปาเลไลย์" ภาพจาก : เว็บไซต์วัดพระเชตุพนฯพระปาเลไลยก์ หรือ พระปาลิไลยก์ มีพระนามว่า
“
พระพุทธปาลิไลยก์ ภิรัติไตรวิเวก เอกจาริกสมาจารวิมุตติญาณบพิตร”
พระประธานประจำวิหารทิศเหนือ พุทธลักษณะประทับนั่งห้อยพระบาท
มีความสูง ๘ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้วมีลิงและช้างอยู่เบื้องหน้า
สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๑ เมื่อทรงสถาปนาวัดพระเชตุพนฯ
พระพุทธชินศรี พระพุทธชินศรี หรือ พระนาคปรก พระประธานพระวิหารทิศตะวันตก เดิมเป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตักสามศอกคืบสิบนิ้ว อัญเชิญมาจากเมืองลพบุรี ครั้นบูรณปฏิสังขรณ์แล้ว จึงประดิษฐานไว้เป็นพระประธานพระวิหารทิศตะวันตก และได้สร้างพญานาคแผลงฤทธิ์และต้นจิกไว้ด้านหลังพระประธานด้วย จึงเรียกว่า "พระนาคปรก" ดังปรากฏความใน "จารึกเรื่องทรงสร้างวัดพระเชตุพนครั้งรัชกาลที่ ๑ ว่า
"...พระพุทธรูปน่าตักสามศอกคืบสิบนิ้ว เชิญมาแต่ลพบุรีปติสังขรณ์เสรจ์แล้ว ประดิษถานไว้ในพระวิหารทิศตะวันตกบันจุพระบรมธาตุ์ถวายพระนามว่าพระนาคปรก มีพญานาคแผลงฤทธิ์เลิกพังพานมีต้นจิกด้วยแลผนังนั้นเขียนเรื่องระเกษธาตุ์..."โปรดติดตามตอนต่อไป