[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
06 พฤษภาคม 2567 23:46:54 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 2 3 [4] 5 6 ... 101
61  สุขใจในธรรม / เกร็ดครูบาอาจารย์ / หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจง แปลงกายเป็นเสือทดสอบคณะธุดงค์ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง เมื่อ: 22 สิงหาคม 2557 12:48:41
หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจง แปลงกายเป็นเสือทดสอบคณะธุดงค์ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจงแปลงกายเป็นเสือ
เพื่อทดสอบคณะธุดงค์
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั่นเอง บรรดาท่านทั้งหลายก็ปรากฏว่า
มีเสือลายพาดกลอน ๒ เสือ อาตมาจะไม่เรียกว่า ๒ ตัว ...
ทั้งนี้เพราะว่า จะเป็นการปรามาสครูบาอาจารย์ สองเสือ
ย่างสามขุมเข้ามา ท่าทางดุดัน องอาจมาก ทำท่าคล้าย
กับว่าจะกินพวกเรา ทั้ง ๓ คนเห็นเข้า ก็นึกในใจว่า
เสือมาแล้ว ทุกวันเราเห็นแต่เพียง เสือปลาบ้าง
เสือดาวบ้าง แต่วันนี้เจอะลายพาดกลอน แล้วก็ยาว
มากใหญ่มาก ถ้าแกจะกินเราก็รู้สึกว่า ๓ คนอิ่มพอดี ๆ
ทุกคนตั้งใจเลิกพูด ตอนนี้เลิกพูดแล้ว เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะว่าทุกคนยังกลัวตายอยู่ ไม่ใช่ไม่กลัวตาย

ก็นึกในใจว่า เวลานี้เสือมา ถ้าเสือทำร้ายเรา เราก็ต้องตาย
แต่ความตายของเรามีความหมาย นั่นคือ ถ้าเราตายเวลานี้
เราจะไปอยู่พรหม นี่ผู้พูด ผู้เขียนนะ คิดอย่างนี้นะ อีก ๒ องค์
เขาคิดอย่างไรก็ไม่ทราบ อีก ๒ องค์ดูเหมือนว่าจะตั้งใจ
ไปนิพพานเลย แต่ว่าผู้เขียนเอง ไม่เข้าใจเรื่องนิพพาน
ก็คิดว่า ถ้าตายเวลานี้เราอยู่พรหม ทำไมจึงจะไปพรหม
ถ้าหากว่าเราจะไปชั้นดุสิตไม่ดีหรือ ในเมื่อเราปรารถนา
พุทธภูมิ ก็มีความรู้สึกว่า ชั้นดุสิตนี่มีนางฟ้ามาก
พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง มีนางฟ้าเป็นบริวาร เป็นหมื่น ๆ
ถ้าไปอยู่พรหม เราอยู่คนเดียว พรหมองค์หนึ่ง วิมาน
หลังหนึ่ง มีพรหมองค์เดียว ไม่มีบริวาร สำหรับบริวาร
ก็มีวิมานคนละหลัง ไม่อยู่ร่วมกัน เราชอบ อารมณ์เป็นสุข

เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็เริ่มจับ อานาปานสติ แล้วเสือก็ย่าง
๓ ขุมเข้ามา หลับตานึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น
เห็นชัดเจนแจ่มใสมาก เห็นตามเดิม ท่านอยู่กับ ลุงพุฒ
คือ มหาพุฒ เห็นท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ ก็ชื่นใจ คิดว่า
เอาละ ช่างมัน คราวนี้กายเนื้อมันจะตาย แต่กายที่ไม่ใช่
กายเนื้อเราจะไปพรหม แล้วเสียงลุงพุฒก็ถามมาบอกว่า
ไปแค่พรหมน่ะ พอใจแล้วหรือ ก็เรียนท่านบอกว่า ในเมื่อ
มาจากพรหม ก็ขอไปพรหม ท่านก็บอกว่า ไปชั้นดุสิต
ไม่ดีหรือ เป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ก็บอกว่า ผู้หญิงมาก
และผู้หญิงที่นั่นก็สวยมาก ก็เกรงว่า กำลังใจจะยุ่งกับผู้หญิง
มากเกินไป เดี๋ยวกังวลจะมีมาก ก็ขอไปอยู่พรหม ไปอยู่คนเดียว

ท่านก็บอก ตามใจ นั่งทำสมาธิไป จิตใจจับที่ภาพพระพุทธเจ้า
อย่างเดียว ไม่ไปไหน ก็คิดว่า ร่างกายมันจะเป็นอาหารของเสือ
เวลานี้ก็ช่างหัวมัน ไม่สนใจแล้ว แล้วก็ประกอบกับความรู้สึกว่า
คิดว่าดี ถ้าตายเวลานี้ ดี เราอยู่กับพระพุทธเจ้า อย่างไร ๆ
เราก็ไม่ลงนรก จิตใจชุ่มชื่น ต่างคนต่างทำสมาธิกัน อีก ๒ องค์
เขานึกอย่างไร อาตมาไม่ทราบ สักพักใหญ่ ๆ เสือก็ไม่กิน
พอลืมตาขึ้นมาดู เสือนั่งข้างหน้าเฉย ๆ นั่งมองคนนั้น
นั่งมองคนนี้ ในเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็ถามเสือว่า ทำไมแก
จึงไม่กินฉันล่ะ เสือขยับหนวด ขยับปาก ก็บอกว่า เสือ ๒ ตัวนี่
ไม่กินโว้ย เสือ ๒ ตัวนี่อยากจะรู้ว่า ลูกศิษย์ที่ปล่อยเข้ามาอยู่ป่า
ศรีประจันต์นี่ มันจะมีกำลังใจขนาดไหน มันจะมีความกล้าหรือ
มีความกลัว การตัดสินใจผิดหรือตัดสินใจถูก เสียงเสือตัวที่พูด
ตัวแรก เสียงเหมือนหลวงพ่อปานชัด เสือพูดภาษาคน และเสือ
ที่สองก็พูดเบา ๆ เหมือนเสียงหลวงพ่อจง

ท่านบอกว่า การตัดสินใจแบบนี้น่ะ ถูกต้องทุกองค์ สององค์นั่น
ตัดสินใจเพื่อนิพพานตรง เพราะเป็นพุทธสาวก ปรารถนา
สาวกภูมิถูกต้อง ต้องทำอย่างนี้ และองค์นี้ปรารถนาพรหม
ก็ดี เพราะปรารถนาพุทธภูมิ ตั้งใจไปพรหม รวมความว่า
ทุกองค์ตัดสินใจถูก ความกลัวย่อมมีแก่คนทุกคน บุคคลใด
ถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ก็ตาม ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยังไม่ใช่
ม้าอาชาไนย หรือไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิ์ต้องกลัว แต่การ
กลัวของพวกคุณทั้งหมดถูกต้องเป็นการกลัวที่ถูก คือ กลัว
เสือจะกิน แต่ก็ไม่กลัวในการที่จะไปเป็นพรหม ไปนิพพาน

หลังจากนั้น เสือทั้ง ๒ เสือ ค่อย ๆ คลายตัว เป็นหลวงพ่อปาน
กับหลวงพ่อจง ในเมื่อกลายเป็นหลวงพ่อทั้งสอง ก็ลุกขึ้นกราบ
ท่านด้วยความเคารพ อิ่มใจ ชื่นใจ น้ำตาไหล ท่านถามว่า
ดีใจรึ บอกดีใจขอรับ ถามว่า หลวงพ่อเป็นเสือได้อย่างไร
ท่านบอกว่า มันเรื่องของฉันน่ะ ฉันจะเป็นเสือจะเป็นแมว
ฉันจะเป็นอะไรมันเรื่องของฉัน ไม่ต้องถาม พวกเธอทำตาม
คำสั่งได้ดีที่สุด แล้วการกระทำของพวกเธอทั้งหมดนี่
มันไม่พ้นสายตาของฉัน ก็ถามว่า หลวงพ่อส่งตาทิพย์
มาดูหรือ ท่านก็เลยบอกว่า งานของฉันมาก ไม่มีเวลา
จะดูพวกเธอ แต่เทวดาเขารายงาน เทวดารายงานทุก
อิริยาบทที่เธอทำ เธอจะนั่งท่าไหน จะนอนท่าไหน
เขาบอกหมด

ก็รวมความว่า ไม่พ้นสายตาของท่าน เพราะเทวดาบอก
ท่านก็เลยบอกว่า วันนี้เป็น วันวิสาขบูชา ทุกองค์ก็ตั้งใจ
ไปพระมหาจุฬามณีเจดีย์สถานก็แล้วกัน ไปตั้งใจอธิษฐานว่า
จะอยู่ที่นี้จนกว่าจะได้อรุณจึงจะลง ถ้าตัดสินใจอย่างนั้น
พอได้อรุณปั๊บมันจะเคลื่อนลงทันที เมื่อท่านสอนแบบนั้นแล้ว
ท่านก็หายไป เราก็กราบตามหลังท่าน ไม่รู้ว่าท่านไปอย่างไร
ร่องรอยก็ไม่มี เงาก็ไม่มี ไม่รู้ว่าหายไปไหน



62  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / Re: สวดคฤหัสถ์ คืออะไร ? เมื่อ: 07 สิงหาคม 2557 12:52:43





ที่มาภาพและข้อมูล วิกิพีเดีย
ที่มาวีดีโอ ยูทิวบ์


63  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / Re: สวดคฤหัสถ์ คืออะไร ? เมื่อ: 07 สิงหาคม 2557 12:51:10

การสวดคฤหัสถ์ตัวเต็ม พร้อมประวัติเบื้องต้น

สวดคฤหัสถ์ อ.ไอยเรศ งามแฉล้มและคณะ




64  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / Re: สวดคฤหัสถ์ คืออะไร ? เมื่อ: 07 สิงหาคม 2557 12:49:18
65  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / สวดคฤหัสถ์ คืออะไร ? เมื่อ: 07 สิงหาคม 2557 12:48:57
สวดคฤหัสถ์ คืออะไร ?

สวดคฤหัสถ์ หรือ สวดกะหัด คือการสวดชนิดหนึ่ง เป็นการเล่นที่นิยมเล่นในงานศพ เป็นการเล่นเลียนแบบการสวดพระอภิธรรมของพระสงฆ์ และเล่นในตอนดึกหลังจากพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมเสร็จแล้ว

การแสดงจะมีบทสวด "พื้น" อยู่ 4 อย่าง คือ พื้นพระอภิธรรม (สวดบทพระอภิธรรม) พื้นโพชฌงค์มอญหรือหับเผย พื้นพระมาลัย (สวดเรื่องพระมาลัย) และพื้นมหาชัย 1 แต่ที่นิยมใช้สวดกันอย่างแพร่หลาย คือพื้นพระอภิธรรม แต่เดิมเป็นการละเล่นของพระสงฆ์ซึ่งสวดมนต์แล้วออกลำนำเป็นภาษาต่างๆ มีปรากฏในกฎหมายตราสามดวง ห้ามไม่ให้พระสงฆ์สวดออกลำนำแบบนี้ จากนั้นจึงแพร่หลายมาในหมู่ชาวบ้าน และเริ่มมีการแต่งตัวตามภาษาที่ใช้สวด



การเล่น
สถานที่เล่นอาจเล่นตามวัด หรือเล่นที่บ้าน จะเล่นกันแต่ตอนค่ำ บ้างก็เลิกจนรุ่งสว่าง ผู้เล่นสวดคฤหัสถ์มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เรียกผู้สวดว่า “นักสวด” และเรียกผู้สวดคณะหนึ่งๆ ว่า “สำรับ” โดยแบ่งนักสวดเป็น 2 ประเภทคือ นักสวดอาชีพ และนักสวดสมัครเล่น นักสวดอาชีพมีทั้งสำรับพระสงฆ์ และสำรับฆราวาส สำรับหนึ่งมี 4 คน ที่นั่งสำหรับสวดเรียกว่า "ร้าน" ผู้ที่สวดทุกคนถือตาลปัตร ตั้งตู้พระธรรมข้างหน้า ตำแหน่งนักสวดทั้ง 4 คนนั่งเรียงจากซ้ายไปขวาของผู้ชมดังนี้

ตัวตุ๊ย คือตัวตลก มีหน้าที่ทำความขบขันให้แก่ผู้ชม แต่จะต้องอยู่ในแบบไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางไป
แม่คู่ (หรือคอหนึ่ง) มีหน้าที่ขึ้นต้นบท และนำทางที่จะแยกการแสดงออกไปเล่นในชุดใด ยังเป็นตัวซักไซ้ให้เกิดความขบขันจากตัวตลกด้วย
คอสอง มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยแม่คู่ คอยซักสอดเพิ่มเติม
ตัวภาษา เป็นตัวภาษาต่างๆ และตัวนาง ผู้ทำหน้าที่นี้จะต้องร้องเพลงได้ดี พูดเลียนสำเนียงภาษาต่างๆได้ชัดเจน

เมื่อเริ่มสวดคฤหัสถ์นักสวดทั้งหมดจะใช้ตาลปัตรบังหน้าเหมือนพระสวดพระอภิธรรม หากเป็นบทสวด คฤหัสถ์ของ “สำรับพระ” จะขึ้นต้นบทสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยพร้อมกัน 3 จบ แล้วจึงขึ้นบทสวดพระอภิธรรมสังคณี ตัวตุ๊ยก็จะขยับมือข้างหนึ่งออกท่ารำขณะที่ยังถือตาลปัตรอยู่ แม่คู่คนที่อยู่ใกล้จึงยึดมือไว้สักอึดใจหนึ่ง แต่ตัวตุ๊ยยังขยับมือรำอีกแต่จะเป็น 2 มือ หลังจากนั้นจึงมีการเจรจาระหว่างตัวตุ๊ยและแม่คู่

การเริ่มลองเสียงจะร้องว่า "เออเฮอะ เออๆๆๆ" หลายๆครั้ง ต่อจากนี้จึงขึ้นบท "เอ๋ย กุ...สลา ฯลฯ" แล้วจึงสวดแยกออกร้องเพลง ตัวตุ๊ยกับตัวภาษาก็ขึ้นรำแสดงท่าทาง มีการตี และตบกันด้วยตาลปัตรบ้างตามสมควร แล้วจึงหันเข้าบทพระธรรม ตัวภาษาตีกลองเข้าจังหวะเพลง ตัวตุ๊ยเข้าแทรกประกอบ แล้วจึงร้องลำจีนกำกับท้ายกราวต่อจากนี้จึงแยกออกชุดจีน และชุดอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งการแสดงชุดต่าง ๆ ยังมีอีกมากแล้วแต่ทางคณะเช่น ชุดภาษาญวน มอญ แขก ลาว พม่า เขมร ฝรั่ง เพลงฉ่อย และละคร เป็นต้น ไม่มีการวางลำดับตายตัว

การเล่นพื้นพระอภิธรรม
ในการเล่นพื้นพระอภิธรรม ทั้งสี่คนจะสวดบทพระสังคิณี เริ่มจากบทสวดภาษาบาลีก่อน แล้วจึงเจือลำนำทีละน้อยจนเป็นลำนำล้วน เมื่อท้ายตู้กับหัวตู้แต่งตัวพร้อมแล้วจะร้องลำนำเป็นเรื่องต่างๆ เช่นออกภาษาไทยจะเล่นเรื่องไกรทอง รามเกียรติ์เป็นต้น ถ้าออกภาษาจีน จะนิยมเล่นเรื่อง ตั๋งโต๊ะ-เตียวเสี้ยน (สามก๊ก) ไกโซบุ๋น และจีนไหหลำ ซึ่งเป็นการเจรจาโต้ตอบแบบจำอวด ถ้าออกภาษาลาว นิยมเล่นเพลงเส่เหลเมา ถ้าออกภาษาญวน ใช้บทสวดสังคโหและใช้เพลงญวนทอดแห

อิทธิพล
ในระยะต่อมาเมื่อการเล่นสวดคฤหัสถ์เสื่อมความนิยมลงไป ได้มีอิทธิพลต่อการละเล่นในยุคต่อมาคือ การเล่นจำอวด ปี่พาทย์ออกสิบสองภาษา การออกหางเครื่องลูกบทของมโหรี ปี่พาทย์ และเครื่องลูกบทของลิเก



66  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / ถ้าไม่อยากเป็นตะคริว เมื่อ: 07 สิงหาคม 2557 12:38:29
ถ้าไม่อยากเป็นตะคริว

ตะคริว คือ การที่มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงเป็นเวลานาน โดยทั่วไปตะคริวมักเกิดไม่เกินสองนาที แต่อาจมีบางรายเกิดนานได้ถึงห้านาทีหรือนานกว่านั้น ในบางรายอาจเกิดบ่อยจนทำให้เกิดความทุกข์ทรมานได้ โดยทั่วไปตะคริวมักเกิดในผู้สูงอายุและเกิดในตอนกลางคืน แต่ก็อาจเกิดในคนอายุน้อยและเกิดได้ทุกเวลา อาการนี้ถึงแม้จะไม่ส่งผลเสียถึงแก่ชีวิต แต่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ถ้าเกิดระหว่างว่ายน้ำ หรือขับรถ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้



สาเหตุของการเกิดตะคริว

สาเหตุการเกิดยังไม่ทราบแน่ชัด มีหลายทฤษฎี อาจเกิดจากการที่เอ็นและกล้ามเนื้อไม่ได้มีการยืดตัวบ่อยๆ ทำให้มีการหดรั้ง เกร็งได้ง่ายเมื่อมีการใช้กล้ามเนื้อนั้นมากเกินไป นอกจากนั้นยังอาจเกิดจากเซลล์ประสาทและเส้นประสาทที่ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติไป และประการสุดท้ายอาจเกิดจากการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่ดีพอซึ่งมักพบในคนที่มีโรคที่ทำให้หลอดเลือดตีบ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น



อาหารที่ควรรับประทาน

น้ำมะขือเทศ น้ำส้ม มะนาว นม กล้วย เมล็ดผักทอง งา ถั่วเหลือง ป้วยเล็ง ปลาทะเลและวิตามินอื่นๆอีกมากหลายชนิด

อาหารที่ควรเลี่ยงรับประทาน

ชา กา แฟ น้ำอัดลม คาเฟอีนจากเครื่องดื่มเหล่านี้ เป็นตัวการทำให้เลือดข้น เมื่อเลือดไหลเวียนไม่สะดวกกล้ามเนื้อจะแข็งแกร็ง จนกายเป็นตะคริวไปในที่สุด



การปฐมพยาบาลถูกวิธีตะคิวก็หายเร็วขึ้น

ถ้าเป็นตะคริวที่น่อง
เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวออกให้สุด ใช้มือข้างหนึ่งประคองส้นเท้าไว้ ส่วนมืออีกข้างค่อยๆ ดันปลายเท้าขึ้นลงอย่างช้าๆ ประมาณ 5 นาที แล้วนวดที่น่องเบาๆ ไม่ควรนวดแรงเพราะกล้ามเนื้ออาจจะบาดเจ็บ ทำให้ตะคริวกลับมาอีกได้

ถ้าเป็นตะคริวที่ต้นขา
เหยียดขาข้างที่เป็นตะคริวออกให้สุด ใช้มือข้างหนึ่งประคองส้นเท้าไว้ ส่วนมืออีกข้างค่อยๆ กดลงบนหัวเข่า แล้วนวดต้นขาบริเวณที่เป็นตะคริวเบาๆ

ถ้าเป็นตะคริวที่นิ้วเท้า
เหยียดนิ้วเท้าตรงและลุกขึ้นยืนเขย่งเท้า เดินไปมาเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวจากนั้นค่อยๆ นวดบริเวณนิ้วเท้าเบาๆ

ถ้าเป็นตะคริวที่นิ้วมือ
เหยียดนิ้วมือออกเพื่อให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นคลายออก จากนั้นก็ค่อยๆนวดนิ้วมือทีละนิ้วเบาๆ



67  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / ความมหัศจรรย์ของพระแก้วมรกต โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2557 11:33:51
ความมหัศจรรย์ของพระแก้วมรกต
โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต




เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งท่านพระอาจารย์มั่นพักที่วัดป่า
บ้านหนองผือ พระอุปัชฌาย์อุ่น (พระครูบริบาลสังฆกิจ (อุ่น อุตตโม) วัดอุดมรัตนาราม อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร)
ได้ไปกราบนมัสการฟังเทศน์ และได้นำรูปพระแก้วมรกตขนาด 20 นิ้ว เป็นภาพพิมพ์ใส่กรอบไปถวายท่านพระอาจารย์
แต่ดูท่านจะลืมทำความสะอาด เพราะมีฝุ่นจับอยู่ ท่านพระอาจารย์ก็น้อมรับด้วยความเคารพ
หลังจากท่านอุปัชฌาย์อุ่นลาลงกุฏิไปแล้ว ท่านพระอาจารย์ได้ทำความสะอาด โดยนำผ้าสรงน้ำของท่านฯ มาเช็ดถู
ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ-ภิเนษกรมณ์) เอาผ้าเช็ดพื้นเข้าไปช่วยทำความสะอาดด้วย เพราะเห็นว่าผ้ายังสะอาดอยู่

ท่านหันมาเห็นเข้า พูดว่า
"อะไรกัน นั่นรูปพระพุทธเจ้าแท้ๆ ยังเอาผ้าเช็ดพื้นมาถูได้"
ผู้เล่าสะดุ้งไปทั้งตัว เพราะความโง่เขลาปัญญาอ่อน ท่านฯ ก็เลยทำความสะอาดเอง
เสร็จแล้วก็มีเพื่อนภิกษุทยอยกันขึ้นไป รวมทั้งท่านอาจารย์วิริยังค์ด้วย ท่านเลยเทศน์ถึงความมหัศจรรย์ของพระแก้วมรกต

ท่านว่า

"พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศใด
ประเทศนั้นจะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลมีอยู่ในประเทศใด
ประเทศนั้นจะไม่ฉิบหายด้วยภัยแห่งสงคราม"


การเสด็จไปสู่สถานที่ต่างๆ ของพระแก้วมรกตนั้นมีปัจจัย 3 อย่าง คือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา
เกิดกลียุคในประเทศนั้น และด้วยความรัก

และท่านยังบอกอีกว่า วัดพระแก้วนี้เป็นวัดพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระสงฆ์อยู่ไม่ได้
เพราะพระสงฆ์มาจากตระกูลต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ไม่รู้พุทธอัธยาศัย พุทธธรรมเนียม
เพราะพระพุทธเจ้าเป็นทั้งกษัตริย์ และผู้สุขุมาลชาติ เมื่อพระสงฆ์ไม่รู้พุทธธรรมเนียม
ถ้าไปอยู่ก็มีแต่บาปกินหัว

ผู้รู้ทั้งพุทธอัธยาศัยและพุทธธรรมเนียมแล้ว มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวเท่านั้น ครั้งพุทธกาล
ก็มีพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้นทรงรู้
แต่จอมไทย คือ พระมหากษัตริย์ทรงรู้มาแล้ว ได้ทรงสร้างวัด
ถวายจำเพาะพระแก้วเท่านั้น

พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร คือ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ต่างแต่
วาสนาบารมีมากน้อยต่างกันเท่านั้น ท่านจึงทรงรู้พุทธอัธยาศัยเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า

ผู้ใดย่างกรายเข้าสู่วัดพระแก้วเป็นบุญทุกขณะที่อยู่ในบริเวณวัด แม้แต่ชาวต่างชาติ มีโอกาสเข้าไปใน
บริเวณวัดพระแก้ว จะด้วยศรัทธาหรือไม่ก็ตาม ก็ได้เข้ามาสู่วงศ์พระพุทธศาสนาโดยปริยาย หรือจะ
บังเอิญก็แล้วแต่ สามารถเป็นนิสัยให้เข้ามาได้ ต่อไปจะสามารถมาเกิดเป็นคนไทย สืบต่อบุญบารมี
สำเร็จมรรคผลได้




68  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: กรรมที่ทำให้มีกลิ่นปาก กลิ่นตัวเหม็น เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2557 11:27:04


" ข้าราชการซี 7 เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง. มาปรึกษาอาตมาว่า. ทำไมตัวเองถึงมีกลิ่น
ตัวแรง. อาตมาก็ให้นั่งกรรมฐาน จนเห็นกรรมของตัวเองว่าเคยด่าแม่ เมื่อกลับ
ไปขอขมาลาโทษท่าน. เงินเดือน ออกก็ส่งไปให้ใช้ ไม่นานกลิ่นตัวที่เคยเหม็น
ก็หาย...................."

( หลวงพ่อจรัล ฐิตธมฺโม )



ที่มา. :- หนังสือ " แก้เคราะห์กรรมทำได้เอง "
69  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / กรรมที่ทำให้มีกลิ่นปาก กลิ่นตัวเหม็น เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2557 11:26:28

กรรมที่ทำให้มีกลิ่นปาก กลิ่นตัวเหม็น


บางคนที่มีกลิ่นตัวแรง หรือมีปากเหม็นจัดจนคนอื่นไม่อยากเข้าใกล้ หรือพูดจา
ปราศรัยด้วยเลย เหตุที่ทำให้เป็นคนน่ารังเกียจเช่นนี้ อาจเพราะเคยทำกรรมไม่ดี
เอาไว้ เช่น เคยใช้วาจาดุด่าบุพการี , ตำหนิติเตียนผู้ทำบุญกุศล. , ใส่ร้าย
ป้ายสีคนอื่นให้เสียหาย. , พูดล้อเลียนผู้อื่นให้อับอาย. , ดูหมิ่นพระรัตนตรัยหรือ
ผู้มีคุณ


วิธีแก้กรรม. :- หมั่นทำบุญใส่บาตร. ให้ทานกับคนตกยาก. หรือชักชวนคนอื่น
ให้เห็นประโยชน์ของการทำบุญกุศล. สวดมนต์ เจริญสมาธิทุกวัน. เพื่อขออโหสิ
กรรมต่อผู้ที่เคยเดือดร้อนเพราะการพูดของตน


ข้อสำคัญ : - เมื่อโรคนี้ มีสาเหตุมาจากการใช้ปากพูดเป็นสำคัญ. การตัดต้นตอ
ของกรรมนี้ คงไม่มีอะไรดีกว่า การระมัดระวังการพูดจา. ไม่นินทาให้ร้ายใคร
รวมถึงการสรรเสริญคุณความดีของผู้อื่นด้วยความจริงใจ จะมีบุญช่วยให้หาย
เร็วขึ้น


70  สุขใจในธรรม / ธรรมะจากพระอาจารย์ / หลวงพ่อชา สอน "พระขี้บ่น" เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2557 11:22:53
หลวงพ่อชา สอน "พระขี้บ่น"




พระขี้บ่นอีกรูปหนึ่ง ชอบติเตียนเพื่อนสหธรรมิก ครูบาอาจารย์ สถานที่ ว่าไม่สัปปายะ
ไม่เอื้อเฟื้อต่อการปฏิบัติ จิตใจหมักหมมไว้แต่เรื่องอกุศลมูลจนกลิ่นตลบ
เลยโดนหลวงพ่อกระทุ้งเอาอย่างแรง แต่เป็นเชิงตลกว่า

“คุณนี่แปลก ชอบเอาขี้พกใส่ย่าม แล้วพกติดตัวไปไหนต่อไหนด้วย แล้วมาบ่นว่าเหม็นขี้
ที่นี่เหม็นขี้ ที่ไหน ๆ ก็เหม็นแต่ขี้ ดีแต่บ่น ทำไมไม่ลองสำรวจย่ามของตัวเองดูบ้าง”




พระโพธิญาณเถระ (พระอาจารย์ชา สุภัทโท)


71  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / วิธีการชำระหนี้สงฆ์ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2557 11:17:54
การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์

ผู้ถาม : แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ...?

หลวงพ่อ : เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ฉันไปที่ศรีราชา ญาติโยมเขาถาม เรื่องพระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหลายๆ ชาติ เราไม่รู้เอาอะไรมาบ้าง ถามว่าจะทำอย่างไร ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอตอบไม่รู้ก็เห็นพระท่านลอยมา ท่านบอก

"ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็นเงินเท่าไรก็ไม่พอ ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก"
พระหน้าตัก ๔ ศอก ถือว่าเป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า "พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้วๆ มา ถือเป็นการหมดกันไป"


ฉันพูดแล้วก็กลับมาวัด ต่อมาพวกนั้นก็มาถามใหม่ว่า "สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน" ฉันก็ไม่รู้อีกซิ ก็นึกถึงท่าน ท่านก็มาใหม่ ท่านบอกว่า

"ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ" คำว่า "คณะ" หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่า ถ้าสร้างใหม่เอาอีกนะ สร้างหนี้ใหม่ต่อเป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ"


ผู้ถาม : ถ้าหากว่าเรามีสตางค์น้อยๆ แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ....?

หลวงพ่อ : ถ้าเรามีสตางค์น้อยๆ ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า "ชำระหนี้สงฆ์" คือว่าไม่ได้จำกัด ทำไปเรื่อยๆ ให้ใจสบาย บาทสองบาทตามกำลังที่พึงทำได้ เขาไม่ได้เกณฑ์ว่าจะสร้างพระ หลวงพ่อปานท่านทำอย่างนี้มาก่อน เรื่องสร้างพระนี่เขาถามก็บอก ท่านมาบอกอัตรานี้โละกันเลยนะ คือไม่ใช่จะเกณฑ์ให้ไปสร้างพระเพราะทุนไม่พอใช่ไหม เราก็ทำไปเรื่อยใจสบาย มีสตางค์รับเงินเดือนมาทีทำ 5 บาท ใส่ซองถวายพระบอก "ขอชำระหนี้สงฆ์"

ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิด ท่านลงนรกเอง ไม่ต้องห่วง ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย เงินชำระหนี้สงฆ์มันมีค่ากว่าเงินสังฆทานและวิหารทาน ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้เป็นส่วนกลาง อันตรายกับพระ แต่ช่างเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไป ใช่ไหม....?"


ผู้ถาม : ถ้ามีญาติโยมเอาเงินไปถวายพระ แต่ก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง ให้ญาติโยมไปออกดอกออกช่อบ้าง อยากทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบหรือไม่เจ้าคะ...?

หลวงพ่อ : เขาถวายเป็นของ สงฆ์ใช่ไหม เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร แต่คนในวัดเแาไปปลูกบ้าน เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม เขาถวายอานิสงส์ มันได้ตั้งแต่ถวาย มีอานิสงส์ครบถ้วน นั่นเขาครบ 100 เปอร์เซ็นต์เลยนะ คนอื่นเอาไปใช่ไหม อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ อานิสงส์ มันได้ตั้งแต่เริ่มให้ ยิ่งให้ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้นเวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม ขณะที่พระรับก็เกิดธรรมปิติอิ่มใจ อานิสงส์มันเพิ่ม แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษคนนั้นลงอเวจีแน่

ผู้ถาม : โอ้โฮ...หนักถึงขนาดนั้นเลยหรือครับหลวงพ่อ.....?

หลวงพ่อ : ยังเบานะ ถ้า 2-3 คราว ลงโลกันต์..!

ผู้ถาม : นี่ดีนะ...ที่สึกออกมาก่อน ไม่งั้นไปอยู่ใต้พระเทวทัตแน่ๆ

หลวงพ่อ : ใต้พระเทวทัตน่ะไม่มีความทุกข์นะ ความทุกข์มันอยู่แค่อเวจี ต่ำกว่าอเวจีก็ไม่ถึงโลกันต์


จาก หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
72  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / อาหารถวาายพระพุทธ เหยื่อล่อทายกลงอเวจี เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2557 11:09:13


และอาหารถวายพระพุทธรูป ก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี เพราะเป็นพุทธานุสสติด้วย เป็นพุทธบูชาด้วย แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม อาตมาคิดว่าทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน หลายวัดหรือส่วนใหญ่ ทายกมักจะเอาอาหารดีๆ และมากๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป

เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว ต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นเดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น ลูกศิษย์พระพุทธรูป แต่ประการใด

รวมความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือของในวัดทุกประการที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ดอกไม้ ผลไม้ในวัดเศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่นเล็กๆ น้อยๆ บ้าง จงอย่าคิดว่าไม่มีบาป แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน

เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาติ อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้ รับมาได้ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์

และอีกประการ หนึ่ง วัดร้างที่ไม่มีพระอยู่ แต่มีสภาพเป็นวัด กับที่ของสงฆ์ที่เป็นไร่นาไปแล้ว ไม่มีสภาพเป็นวัด ถ้าเราไปนำมานิดเดียวแม้แต่หญ้าต้นเดียว เขาถือว่า เป็นหนี้สงฆ์ อันนี้อันตรายมาก สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็แนะนำให้คน ชำระหนี้สงฆ์ บาทสองบาทสลึงสองสลึง บางคนไม่มีเงืนเอามาทำงานแทน ทำอะไรก็ได้ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอาค่าแรง



73  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / หนี้สงฆ์ - กินข้าวพระที่ญาติโยมนำมาทำบุญ เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2557 11:08:37


หนี้สงฆ์-กินข้าวพระที่ญาติโยมนำมาทำบุญ

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาติแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ....?

หลวงพ่อ : ถ้าอาหารที่พระให้ต้องเป็นของญาติโยมที่ถวายเฉพาะองค์นั้น ไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้
ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือเป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้
นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์


ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระ ที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปกินบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น
อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง บางทีกินอาหารที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาติแล้วไม่มีโทษ

แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉยๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอแล้วยกไปเลย
พระยังไม่ทันอนุญาติ ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก

เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม ถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน
เพราะท่านอาจมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระ
มีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์



74  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / ความสำคัญของการชำระหนี้สงฆ์ เพื่อเป็นการป้องกันการตกนรก เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2557 11:05:01
ความสำคัญของการชำระหนี้สงฆ์
เพื่อเป็นการป้องกันการตกนรก


การชำระหนี้สงฆ์
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ผู้ถาม : ทำกรรมอะไรถึงลง อเวจี คะ.?
หลวงพ่อ : อเวจีนี่ทำกรรมหนักมากมันจึงจะลง ก็มีอนันตริยกรรม อาจิณกรรม ขโมยของสงฆ์ ของสงฆ์นี่แตะนิดเดียว
ลงอเวจีเลยนะ แม้แต่เศษเล็ก ๆ เรื่อง อนันตริยกรรม เช่น ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ยุให้สงฆ์แตกกัน เป็นต้น
พระยายมมาบอกหลวงพ่อว่า "ทุกคนอย่าได้ทำเด็ดขาด ท่านช่วยไม่ได้เลย"
ส่วน อาจิณกรรม เช่น แม่ครัวทุบหัวปลาแกงเป็นประจำเป็นต้น

สำหรับ ขโมยของสงฆ์ หลวงพ่อได้ยกตัวอย่างให้ฟังดังนี้

หลวงพ่อ : มีญาติพระเจ้าพิมพิสาร เป็นทายกในตอนต้นก็ดี ซื่อตรงต่อการบุญการกุศล แต่มาตอนกลาง ๆ
มือถึงท้ายมือไม่ค่อยดี เริ่มหยิบแล้วทีแรกก็เป็น ทายก ต่อมาก็เลยเป็น ทายัก ของอะไรดี ๆ ก็ยังเอาไปเสียบ้าง
เอาไว้ให้ลูกให้เมียเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสียบ้าง ของที่เขาจะถวายสงฆ์ เขาตั้งใจจะทำอาหารถวายสงฆ์
เนื้อ ดี ๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง แกงดี ๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง

บางทีไม่ยกของสด ไอ้ของที่สำเร็จรุปที่เขาไม่ทันจะถวายพระ ก็ยักเอาไว้เสียบ้าง ญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นทายักแบบนี้
ตายแล้วลงนรกสิ้นระยะเวลา ๑ กัป พ้นจากนั้นแล้ว ก็มาตก ยมโลกียนรก คือ ผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม
แล้วก็มาตกยมโลกีนรกตามลำดับมาเป็น เปรต ๑๑ จำพวก สุดท้ายก็เป็น เปรตพวกที่ ๑๒ สมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้

จำไว้ด้วยนะ ของสมบัตินิดหนึ่งน่ะ แม้จะเป็นก้อนดินก้อนหนึ่ง กระเบื้องหัก ๆ ก้อนหนึ่งก็ตาม ถ้าเราถือเอาเข้าบ้านด้วย
อาการของขโมย เสร็จ..สะเด็ดไม่เหลือ ลูกหมากรากไม้ที่มีอยู่ในวัด เราจะไปขอเด็กขอพระไม่มีประโยชน์
ของสงฆ์สงฆ์ต้องประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้วตกลงกันว่ายังไง ต้องปฏิบัติตามนั้น ขายหรือให้ใครต้องปฏิบัติตามนั้นนะ

แม้แต่ "ดอกไม้บูชาพระ" ก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ปลูกยังมีชีวิตขอเฉพาะท่านได้ ถ้าท่านผู้ปลูกตายไปแล้วหรือสึกไปแล้ว
อันนี้เป็นของสงฆ์ ต้องเป็นเรื่องของสงฆ์วินิจฉัย ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้ให้ หรือไปขอเก็บเด็กวัดอันนี้ไม่ถูกต้องลงอเวจี

และอีกเรื่องหนึ่ง กากะเปรต สมัยที่เกิดเป็น "กา" แย่งข้าวในขันที่เขานำไปจะถวายพระ ข้าวสุกนั้นเขานำไปยังไม่ถึงพระ
ยังไม่ใช่ของสงฆ์ จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้วกรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้
ตายไปแล้วไปลง อเวจี แล้วแถมมาเกิดเป็น เปรต



75  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2557 10:57:43
เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต
โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน




" เวลาที่สำคัญที่สุดของนักเรียนนักศึกษา คือตอนสอบไล่
เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเรา คือ อารมณ์จิตก่อนตาย
จะไปสวรรค์ พรหม พระนิพพานหรือแดนอบายภูมิ
ก็อยู่ที่จิตก่อนตายของท่านจะผ่องใสหรือเศร้าหมอง "



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ ที่กล่าวมาแล้ว กล่าวถึงความตาย
ความจริงเรื่องความตายมีเรื่องเล่าสู่กันฟัง บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านบอกว่า
"คนเราจะตาย จะเห็นนิมิตก่อน"

ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ แล้วก็คนโบราณ โบราณสมัยนี้ สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้
ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรา ก็ไม่ทราบว่าตำราเล่มไหนเหมือนกัน ท่านบอกว่าคนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต
เรื่องนี้สำคัญบรรดาท่านพุทธบริษัท คนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ


๑. เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ คนนั้นตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักของพระยายม
๒. ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๓. ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
๔. ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล ของที่เคยให้ทานหรือวัดที่เคยทำบุญ พระที่เคยไหว้
    จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่า สิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล
    อย่างนี้ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ ไปสู่สุคติ




ตามที่ท่านเขียนมาอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ใช่ต้องการพิสูจน์ แต่ก็เข้าไปประสบโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือ มีอยู่ว่า มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ จวน นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เมื่อเวลาสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก เป็นนายก ฯ เวลานั้นก็เกณฑ์คนไปทำงานที่เพชรบูรณ์ ตามลีลาที่เขาเล่ากันบอกว่า ตั้งใจจะต่อต้านญี่ปุ่น ว่าอย่างนั้นชาวบ้านพูด แต่ท่านจอมพลแปลกไม่ได้พูดให้ฟัง แต่ท่านมาแถลงการณ์ทางวิทยุทีหลัง ก็คล้ายคลึงแบบนี้ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น จะเอานักเรียนนายร้อยไปไว้ที่นั่น เป็นผู้บังคับหมวด อย่างนี้เป็นต้น

ก็เป็นอันว่า เมื่อเลิกสงคราม เธอเลิกงานมาแล้ว ก็ปรากฎว่าเป็นโรค เป็นไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรค คือ เป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด วันหนึ่ง เป็นวันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก็พอดีกลับมา เขาบอกว่า จวนป่วยหนัก เป็นเวลาเย็น ประมาณสัก ๔ โมงเย็น

ก็นิมนต์พระไปเป็นเพื่อน ๔ องค์ อาตมาด้วย ๑ องค์ เป็น ๕ องค์ ที่ไปเป็นเพื่อนไม่ใช่คิดว่ากลัวใครจะทำร้าย ที่นำไปแบบนั้นก็คิดว่าคนป่วยหนัก ถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะว่าตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นกุศล คนนั้นจะไปสวรรค์

พอไปถึงเข้าจริง ๆ จวน ก็อาการหนักจริง ๆ หายใจเบา หายใจช้า ๆ แล้วก็เบาลง ๆ แต่ว่าอาตมาไปนั่งข้าง ๆ ก็เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม?"
เธอเหลียวหน้ามา ก็พยักหน้าตอบว่า "จำได้" เสียงเบามาก

ก็ถามเธอว่า "เวลานี้เห็นอะไรไหม? ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง?"
เธอก็ตอบว่า "เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า" เธอก็แสดงอาการหวาดกลัวมาก กลัวไฟ

เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่า ท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตตามที่ท่านเขียนไว้ปรากฏ นึกในใจ ไม่พูด คิดว่า นิมิตอย่างนี้ ถ้าเห็นไปนรกทันที ก็คิดอะไรไม่ถูก

ถามว่า "จวน ภาวนา พุทโธ ไหม ?"
เธอส่ายหน้าบอกว่า "คิดไม่ออก"

จึงหันไปหาภรรยาเขา อาตมาก็จำชื่อภรรยาไม่ได้ ลืมเสียแล้ว ถามว่า "มีสตางค์ไหม?"
เธอก็บอกว่า "มี"

ก็เลยบอกว่า "ถ้ามีละก็ ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม?"
เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้

อาตมาก็ไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือ บอกว่า
"จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตายหรือไม่ตายนั้น ไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกัน ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ คิดว่าของต่าง ๆ ในวัดทั้งหลาย ที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือว่าเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ตาม หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท"

เธอก็พูดเบา ๆ ตาม แล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย
ก็เลยบอกพระท่านบอกว่า "คุณทั้งหลาย ถ้าเห็นชอบ ให้ สาธุ พร้อมกันนะ"
พระทั้งหลายก็ "สาธุ" พร้อมกัน

พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของเธอสดชื่นขึ้นมามาก
ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง"
เธอก็ตอบ "ไฟหายไปแล้ว"

ถามว่า "เธอเห็นภาพอะไร"
เธอบอก "เห็นภาพพระประธานในอุโบสถวัดบางนมโค"
เพราะว่าเธอบวชวัดนั้น เธอก็ไปทำวัตรเป็นประจำ

ถามว่า "เห็นชัดไหม"
เธอก็บอก "เห็นชัด อยู่ใกล้มาก"

ก็บอก "จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ"
แทนที่เธอจะนึกในใจ เธอก็ออกเสียงว่า "พุทโธ ๆ ๆ ๆ" เบา ๆ
เธอว่าไปสัก ๓ - ๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลง แต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย

ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นพระไหม"
เธอตอบว่า "เห็นพระ"

ถามว่า "ชัดขึ้นไหม"
เธอก็ตอบว่า "ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างมาก ใหญ่กว่าเดิมมาก"

บอก "ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็น คือ ภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์"

เธอยิ้มนิดหนึ่ง เธอตอบว่า "พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระก็ชี้ แสดงว่า วิมานนี้เป็นของเธอ"

จึงถามเธอว่า "เวลานี้ ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน"
เธอก็ตอบเบา ๆ ว่า "ต้องการวิมานครับ"

ก็ไม่ต้องการรบกวนให้เหนื่อยต่อไป ก็บอกว่า "ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ"
เธอก็ภาวนาเบา ๆ ว่า "พุทโธ ๆ ๆ ๆ"
ในที่สุดก็เงีบบไปพร้อมกับคำภาวนา และลมหายใจเข้า-ออก
รวมความว่า เธอตายคู่กับพุทโธ

เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท มีจริง อาตมาผ่านแบบนี้มาหลายสิบราย ที่พบมาเองนะ ไม่ใช่หลายราย หลายสิบราย และวิธีแก้ของอาตมาก็มีวิธีเดียววิธีนี้ เพราะว่าอย่างอื่นเวลานั้น มันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่า เป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ นี่เป็นอันว่า มนุษย์เราที่ตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน




ที่มา เว็บศูนย์พุทธศรัทธา
76  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / พบอัฐิปริศนาในอกพระพุทธรูปหินอายุกว่า 600 ปี เมื่อ: 18 มิถุนายน 2557 08:51:37
พบอัฐิปริศนาในอกพระพุทธรูปหินอายุกว่า 600 ปี



พบเศษพระอัฐิหรือพระอังคารปริศนา ถูกซุกอยู่กลางพระอุระของพระพุทธรูปหินทรายอายุกว่า 600 ปี ที่ทางวัดพิหารแดงส่งมาให้ทางร้านซ่อมแซม คาดเป็นของบุคคลสำคัญ เร่งตรวจสอบหาที่มาที่ไป

วันพุธ 11 มิถุนายน 2557 เวลา 13:00 น.
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 11 มิ.ย.ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก ดร.ฉันทัส เพียรธรรม ผู้ช่วยคณะบดี มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ว่า พบอัฐิในพระอุระ(อก)พระพุทธรูปหินทราย อายุกว่า 600 ปี ที่ร้านซ่อมพระเชียงราย อาร์ท ตั้งอยู่ริมถนนสายสุพรรณบุรี-ชัยนาท หมู่ 1 ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี จึงเดินทางไปตรวจสอบร้านดังดังกล่าวเป็นร้านรับซ่อม-สร้างพระพุทธรูปทั้งเก่าและใหม่ พบพระพุทธรูปหินทรายแดง ปางมารวิชัย สูง 129 ซม. หน้าตักกว้าง 90 ซม. อายุประมาณ 600 ปี โดยที่พระอุระมีรอยถูกเจาะเป็นรูลึกประมาณ 6 ซม. และมีคราบฝุ่นผงอัฐิติดอยู่บางส่วน



จากการสอบถามนายภูวนารถ แสงมาลัย เจ้าของร้านซ่อมพระเล่าว่า พระพุทธรูปดังกล่าวเป็นของวัดพิหารแดง ตั้งอยู่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เป็นพระเก่าแก่อายุกว่า 600 ปี ชำรุดเหลือเพียงท่อนอก ไม่มีเศียรและหน้าตัก ทางวัดจึงนำมาให้ตนซ่อม ขณะกำลังทำความสะอาดเพื่อเตรียมซ่อมแซม จู่ ๆ ก็พบปูนขาวติดอยู่ที่บริเวณหน้าอกองค์พระ จึงค่อย ๆ แกะออกมาดูพบว่าปูนขาวนั้นเป็นปูนสมัยเก่าอายุหลายร้อยปี แต่ที่น่าตะลึงมากกว่านั้นคือที่หน้าอกพระถูกเจาะเป็นรู ภายในรูมีอัฐิ และผงขี้เถ้าบรรจุอยู่ ทั้งนี้สันนิษฐานว่าน่ามีอายุหลายร้อยปี จึงแจ้งให้ ดร.ฉันทัส ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ

ด้าน ดร.ฉันทัส เปิดเผยว่า วัดพิหารแดงมีพระพุทธรูปหินทรายอยู่หลายองค์ที่บูรณะไปแล้วกว่า 10 องค์ และที่มาบูรณะครั้งนี้อีก 9 องค์ สำหรับเศษพระอัฐิหรือพระอังคารที่พบในองค์พระพุทธรูปที่นำมาซ่อมแซมนั้น เมื่อนำกล้องส่องพระมาส่องดู พบว่าบางชิ้นมีสีเขียวฟ้าอย่างน่าประหลาด เมื่อมองด้วยตาเปล่าก็จะเป็นสีขาวธรรมดา ซึ่งคนโบราณเชื่อว่าพระเถระผู้ใหญ่ผู้ปฏิบัติดีเมื่อละสังขารกระดูกที่ถูกเผาก็จะกลายเป็นอัฐิธาตุ ทั้งนี้คาดว่าอัฐิดังกล่าวน่าจะของบุคคลสำคัญพอสมควร ถ้าเป็นพระก็น่าจะเป็นถึงระดับพระสังฆราช จึงได้มีการนำมาเก็บไว้ในพระอุระของพระพุทธเจ้าได้ อย่างไรก็ตามต้องสืบหาข้อมูลให้มากกว่านี้จึงจะทราบว่าพระอัฐิที่พบนั้นเป็นของผู้ใด พร้อมทั้งจะประสานให้ทางกรมศิลปากรช่วยตรวจพิสูจน์หารายละเอียดที่ชัดเจนอีกทางหนึ่งด้วย.

ข่าวจากเดลินิวส์

77  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก / ครั้งหนึ่งในอดีต ชาวอเมริกันเคยหลงเชื่อละครวิทยุจนคิดว่าเอเลี่ยนบุกโลกจริง เมื่อ: 28 เมษายน 2557 09:41:33

ครั้งหนึ่งในอดีต ชาวอเมริกันเคยหลงเชื่อละครวิทยุจนคิดว่าเอเลี่ยนบุกโลกจริง



ก่อนที่นิยายของ H.G. Welles เรื่อง War of the Worlds จะกลายเป็นหนังดังพันล้าน
ที่ได้พระเอก Tom Cruise มานำแสดง มันเคยเป็นละครวิทยุในช่วงปี 1938 มาก่อน
แม้จะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นการหลอกลวง แต่หลังจากออกอากาศละครดังกล่าว
ก็มีผู้คนในอเมริกาจำนวนมากที่หลงคิดไปว่ามีเอเลี่ยนจากดาวอังคารมาบุกโลกจริงๆไปซะนี่

คนจำนวนกว่า 6 ล้านคนที่ได้ฟังการออกอากาศ มีหลายๆคนที่ถึงขนาดยืนยันว่าตัวเองเห็นแสงสว่างระเบิดจ้า
หรือได้กลิ่นแก๊สพิษจนหน่วยกู้ภัยต้องปั่นป่วนไปทั่ว

เมืองๆหนึ่งในวอชิงตันก็เกิดไฟตก เลยทำให้ประชากรพากันแตกตื่น
ติดอาวุธให้ตัวเองและอพยพไปหาที่หลบภัยที่เนินเขา



78  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก / เดอะเติร์ก สมองกลเล่นหมากรุกที่ทำให้ทั้งทวีปยุโรปต้องทึ่งในช่วงศตวรรษที่ 18 เมื่อ: 28 เมษายน 2557 09:37:10

THE TERK



เดอะเติร์ก คือเครื่องจักรเล่นหมากรุกที่ทำให้ทั้งทวีปยุโรปต้องทึ่งในช่วงศตวรรษที่ 18

มันถูกสร้างขึ้นโดย Wolfgang Von Kempelen ประกอบไปด้วยจักรกลฟันเฟืองต่างๆมากมาย
และควรจะมีสมองกลที่สามารถเล่นเกมหมากรุกเอาชนะคู่ต่อสู้ที่เป็นผู้เล่นชั้นเซียนได้

แต่อันที่จริงแล้วความลับของจักรกล The Turk ก็คือมีเซียนหมากรุกนั่งอยู่ข้างในเครื่อง
และควบคุมตัวหมากรุกด้วยการใช้แม่เหล็ก


เดอะเติร์ก สามารถลวงโลกได้นานกว่า 80 ปี เอาชนะคู่แข่งที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์
อย่างจักรพรรดินโปเลียน และ เบนจามิน แฟรงคลิน ได้อีกด้วย




79  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก / ไดอารี่ลับของจอมเผด็จการ ฮิตเลอร์ จริงหรือหลอก ? เมื่อ: 28 เมษายน 2557 09:32:20

ไดอารี่ลับของฮิตเลอร์ จริงหรือหลอก ?



นิตยสารในเยอรมนีชื่อ Stern ต้องหาปี๊บมาคลุมหัวหลังจากลงตีพิมพ์ส่วนหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นไดอารี่ลับ
ของจอมเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

นิตยสารดังกล่าวจ่ายเงินไปกว่า 190 ล้านบาท เพื่อซื้อไดอารี่ที่เชื่อว่าถูกกู้ขึ้นมาได้จากซากเครื่องบินที่ตก
เมื่อปี 1945 อย่างไรก็ตาม ไดอารี่เล่มนั้นกลับเป็นผลงานของนักปลอมแปลงชื่อดัง Konrad Kujau
ซึ่งเป็นอะไรที่นักประวัติศาสตร์สามารถจับผิดได้อย่างง่ายดาย

หลังจากนั้น Konrad Kujau ก็ถูกจับและถูกลงโทษจำคุก 4 ปี แต่ต่อมาเขาก็ได้กลายเป็นเหมือนกับเซเลบคนดังไปแทน
ถึงขนาดเคยลงเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีของสตุ๊ตการ์ท ก่อนจะเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งในปี 2000

80  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก / Re: มนุษย์พิลท์ดาวน์ ( Piltdown Man ) จิ๊กซอว์ที่ขาดหาย ที่ไหนได้ถูกสร้างขึ้น เมื่อ: 28 เมษายน 2557 09:28:11

   หนึ่งในเรื่องที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์เสียหน้าสุดๆ  หัวเราะลั่น
หน้า:  1 2 3 [4] 5 6 ... 101
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.19 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 04 กุมภาพันธ์ 2567 20:00:47