[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
07 พฤษภาคม 2567 12:04:29 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: Back To Spirit : จิตวิญญาณใหม่ในโลกใบเดิม  (อ่าน 6491 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5079


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 09:45:24 »


 
 
Back To Spirit
 
 
 
จิตวิญญาณใหม่ในโลกใบเดิม

 
ชั่วระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แม้แต่คนที่นั่งอยู่เฉย ๆ ก็น่าจะรับรู้ได้ถึง ' แรงกระเพื่อม ' ของปรากฏการณ์ทางศาสนาและจิตวิญญาณ ผ่านรูปแบบการเคลื่อนไหวอันเป็นรูปธรรมหลากหลายประการ ...

ไล่มาตั้งแต่ประเด็นข้อถกเถียงว่าด้วยจะบรรจุหรือไม่บรรจุคำว่า ' พระพุทธศาสนา ' ให้เป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ซึ่งเป็นระลอกคลื่นที่เกิดไล่หลังปรากฏการณ์จตุคาม - รามเทพ ที่สร้างความตกตะลึงงุนงงให้แก่นักเศรษศาสตร์ด้วยเม็ดเงินหมุนเวียนใน ระบบหลายหมื่นล้านบาท ... มากพอที่จะดันตัวเลขจีดีพีของประเทศให้หรูหราสวยงามขึ้น

พร้อม ๆ กันนั้น แรงเหวี่ยงของปรากฏการณ์ความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศและธรรมชาติอันมีสาเหตุหลักจากน้ำมือมนุษย์เอง ก็ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนจนมีการส่งต่อข้อมูลภาพและคำทำนายถึงสภาพสังคมสภาพดินฟ้าอากาศอันเลวร้าย จนกลายเป็น ปรากฏการณ์ของความกลัวโดยไม่สามารถหาคำอธิบาย

แต่ในช่วงระยะใกล้ ๆ กันนั้นเอง ประเทศไทยก็มีโอกาสต้อนรับการกลับมาเยือนอีกครั้งของท่านติช นัท ฮันห์ พระเซนชาวเวียดนามซึ่งได้ รับความยอมรับนับถือจากผู้คนในฝั่ง ' ก้าวหน้า ' การมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้สื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างก็พร้อมใจ นำเสนอเป็นข่าวใหญ่ในช่วงวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา

ภายใต้ปรากฏการณ์ที่ดูย้อนแย้งสับสนนี้ ... เป็นไปได้ไหมว่า มันอาจเป็นการ ' ส่งข่าว ' สำคัญบางอย่างมาสู่ผู้คนทั้งสังคม ... และทั้งโลก

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5079


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 09:45:54 »


 
 
 
วงล้อแห่งธรรม กับการกลับมาของ ท่านติช นัท ฮันห์


 
ในทางพุทธศาสนา ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นสืบเนื่อง หมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็น วัฏจักร
เฉกเช่นเดียวกันกับการสืบเนื่อง และการมาเมืองไทยอีกครั้งของท่านติช นัท ฮันห์ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ในการมาเมืองไทยของท่าน ห่างจากการมาเยือนครั้งแรกในเมษายน พ.ศ. 2518 ถึง 32 ปี


การกลับมาครั้งนี้ของท่าน หากมองให้ลึกถึงแก่นของปัญหา สถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้แทบไม่ได้มีอะไรต่างไปจากเมื่อ 30 ปีก่อน เพราะยังคงเป็นความขัดแย้งทางศาสนา การเมือง สังคม มิจฉาทิฐิต่าง ๆ จะต่างกันก็เพียงตัวละครและห้วงเวลา


ระยะเวลา 14 วัน ตั้งแต่ 19 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2550 ในการมาเยือนประเทศไทย การมาร่วมงานวิสาขบูชาโลก และการมาเผยแผ่วิถีปฏิบัติธรรมแนวทางหมู่บ้านพลัม ของท่านติช นัท ฮันห์ และคณะภิกษุ และภิกษุณี จากหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เพราะแต่ละครั้งมีผู้ติดตามท่านไปปฏิบัติ และฟังการบรรยายธรรมเป็น จำนวนมาก


ที่น่าแปลกคือ มิใช่แต่กลุ่มคนที่เป็นนักกิจกรรมนักแสวงหา หรือแฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามอ่านงานของท่านเท่านั้น แต่ยังเป็นการมารวมกัน ของคนหลากหลายอาชีพ ชนชั้น ตั้งแต่ ไฮโซ นักการเมือง นักสื่อสารมวลชนทั้งรุ่นใหญ่ รุนใหม่ เด็กเล็ก ๆ จนไปถึงวัยรุ่นหนุ่มสาว และผู้สูงวัยอีกมากมาย


หากวงล้อแห่งธรรมจะหมุนซ้ำ ก็นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ ' ระฆังแห่งสติ ' จะดังก้องกังวานอีกครั้งในสังคมไทยและให้ผู้คนได้หยุด ตระหนักรู้ สำรวจดูท่าที และความคิดของตน พร้อมเปิดโอกาสให้เมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตา ความรัก และการให้อภัยที่ท่านติช นัท ฮันห์ หว่านไว้นั้น ได้งอกงามในทุกหัวใจของผู้ที่เห็นธรรมดังเช่นเมื่อ 30 กว่าปีก่อน


 
ก้าวแรกแห่งการผลิบาน
 
คนไทยที่บทบาทอย่างมากในการเป็นสะพานเชื่อมให้คนไทยได้รู้จักท่านติช นัท ฮันห์ ก็คือ สุลักษณ์ ศิวรักษณ์ โดยการเผยแพร่งานเขียน ของท่านในสังคมไทย ตั้งแต่ปี 2517 โดยเฉพาะในวารสารปาจารยสาร
ท่านติช นัท ฮันห์ ถือเป็นตัวอย่างของนักปฏิบัติธรรมที่ไม่ได้แยกการปฏิบัติทางจิตวิญญาณออกจากการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงานเพื่อรับใช้สังคม หรือที่เรียกกันในชื่อ Engaged Buddhismอย่างที่ท่านเคยกล่าวว่า พุทธศาสนาจะต้องสัมพันธ์กับชีวิตและสังคมอย่าง แนบแน่น


เมื่อครั้งที่ท่านมาประชุมอาศรมแปซิฟิก อาจารย์สุลักษณ์ เป็นผู้จัดให้มีการบรรยายธรรมของท่านตัช นัท ฮันห์ ที่วัดผาลาด จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเดือนเมษายน ปี 2518 กลุ่มคนที่ติดตามไปฟังครั้งนั้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ศึกษาและติดตามงานของท่าน และสายธารความคิดจาก ครั้งนั้นทำให้เมล็ดพันธุ์ได้เบ่งบาน สืบเนื่องในกลุ่มคนที่ทำงานเพื่อสังคม และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทยอย่างมาก ดังที่เราคุ้น ชื่อกันดีไม่ว่าจะเป็นพระไพศาล วิสาโล , รสนา โตสิตระกูล , พจนา จันทรสันติ , ประชา หุตานุวัตร , สันติสุข โสภณศิริ และวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์


" อาตมาจำได้ว่าใส่ชุดนักเรียนขาสั้นมาเชียงใหม่ การได้มาพบท่านนัท ฮันห์และภิกษุษีเจิงคอม ทำให้เราประทับใจ เพราะท่านทำให้เรา เห็นว่าการทำงานเพื่อสันติภาพหรืออะไรก็ตาม จิตใจเราต้องสงบ ต้องสันติเป็นประการแรก และท่านทำให้ชีวิตและการทำงานเพื่อสังคม ต้องสันติเป็นประการแรก และท่านทำให้ชีวิตและการทำงานเพื่อสังคมเป็นการปฏิบัติไปในตัว ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างธรรมกับชีวิตประจำวัน และไม่มีเส้นแบ่งระหว่างธรรมะกับการงานเพื่อสังคม " พระไพศาล วิสาโล เล่าไว้ในงานเสวนา 3 ทศวรรษสารธารความคิด ติช นัท ฮันห์ กับสังคมไทย


ในช่วงปี 2517 - 18 ขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความขัดแย้งและการต่อสู้รุนแรง แน่นอนว่ามีผู้คนจำนวนมากที่ไม่อยากเลือกข้างไม่ว่า จะซ้ายหรือขวา เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่งานของท่านติช นัท ฮันห์ และขบวนการชาวพุทธในเวียดนามได้เผยแผ่ออกไป ทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งได้เห็นทางเลือกที่สาม นั่นก็คือการไม่ใช้ความรุนแรง การอุทิศตัวให้สันติภาพ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เป็นการต่อสู้ที่เคลื่อน จากพลังแห่งความเมตตา กรุณา และใช้ความรักเข้าต่อสู้


" ตอนนั้นอาตมาไม่ค่อยได้ทำงานการเมือง เพราะไม่ค่อยเชื่อ แต่ทำงานเชิงมนุษยธรรมหรืองานสังคมมากกว่า และได้เรียนรู้ว่าระหว่าง ที่เราทำนั้นเราก็ได้ปฏิบัติธรรมไปด้วย สิ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจคือ ในระหว่างทำงานจะมีการแลกเปลี่ยนจดหมายกัน ท่านนัท ฮันห์ จะเขียนจดหมายให้กำลังใจและเตือนพวกเรา สมัยก่อนท่านไม่ใช่คนดังมาก ท่านจะมีเวลาเขียนจดหมาย เคยไปเยี่ยมท่านที่ฝรั่งเศสเมื่อปี 2520 มีคนไปไม่กี่คน เรามีเวลาคุยกับท่านนาน ๆ ได้อยู่ไกล้ชิด เพราะฉะนั้นท่านเป็นฮีโร่ที่ใกล้ตัวเรายิ่งกว่าคานธี "

รสนา โตสิตระกูล เล่าว่าในยุคนั้นนักศึกษาที่ไม่เป็นฝ่ายซ้าย มักถูกเพื่อน ๆ ต่อว่า

" เมื่อก่อนเพื่อนถามว่า เขาอยู่ฝ่ายซ้ายกันแล้วเธอไปอยู่อะไรชุมนุมพุทธ เราบอกว่ากำลังแสวงหา เขาบอกว่า เขาพบกันหมดแล้ว เธอยังแสวงหาอยู่อีกหรือ ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้พวกเขายังแสวงหากันอยู่เลย ... แต่เราพบแล้ว "
รสนาเล่าว่า เส้นทางเดินของเธอเมื่อ 30 ปีก่อนยังไม่ได้เปลี่ยนไป สิ่งที่เธอสนใจมากในงานของท่านนัท ฮันห์ คือ ท่านเสนอเป็นรูปแบบ และรูปธรรมของการต่อสู้ทางสังคม ขณะที่ความรุนแรงของการแบ่งขั้วระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา คนที่อยู่ตรงกลางจะดำรงตนได้อย่างไร ในการที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ของสังคมด้วย แต่ในขณะเดียวกันไม่ตกไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งเธอประทับใจมากกับขบวนการคนหนุ่มสาว ของไถ่ ( ท่านนัท ฮันห์ ) เมื่อ 30 ปีก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กรกฎาคม 2553 20:06:45 โดย มดเอ๊ก » บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5079


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 09:46:30 »


 
 
 
ความสงบ ภายใต้ความขัดแย้ง และความเกลียดชัง

 

30 ปีที่ผ่านมา ความรุนแรง และความขัดแย้งในสังคมไม่ได้เลือนหายไปจากจิตใจมนุษย์แต่อย่างใด เราเปลี่ยนจากความขัดแย้ง และการต่อสู้ทางอุดมการณ์ทางการเมือง ทุนนิยม กับคอมมิวนิสต์ มาเป็นการต่อสู้กับบริโภคนิยม และความสุดโต่งในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะศาสนา อุดมคติทางเชื้อชาติ ศาสนา ซึ่ง พระไพศาล เรียกว่า " วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง "


" คำสอนของท่านนัท ฮันห์ ยังมีคุณค่า ไม่ว่าการใช้สันติวิธี การให้อภัยที่จะเผชิญความรุนแรงที่มาจากความสุดโต่งทางศาสนา หรือความสงบสุขภายในที่ต้องเผชิญกับการยั่วยุของบริโภคนิยม ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเดียวกัน ถ้าเรามีความสงบภายใน เราจะเผชิญกับ วัฒนธรรมแห่งความโกรธเกลียดและความละโมบได้ "


นอกจากนี้พระไพศาล ได้ยกตัวอย่างความประทับใจในมุมมองของท่านนัท ฮันห์ ในการสนทนาครั้งหนึ่งกับ เดเนียล เบอร์ริแกน บาทหลวงนิกายเยซูอิต ในช่วงสงครามเวียดนามเมื่อปี 2517 โดยเดเนียลถามท่านว่า " ระหว่างศาสนากับสันติภาพท่านจะเลือกอะไร "


ท่านนัท ฮันห์ ตอบว่า เลือกสันติภาพ เพราะว่าชาวพุทธหรือพุทธศาสนายอมไม่ได้ที่จะเลือกศาสนาแล้วไม่มีสันติภาพ


ท่านนัทฮันห์ บอกว่า พุทธศาสนาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่โบสถ์ ไม่ได้อยู่ที่จีวร แต่อยู่ในใจ เพราะฉะนั้นตราบใดที่มีสันติภาพ เราก็แน่ใจได้ว่าสวันหนึ่งพุทธศาสนาจะงอกงามในใจคน สันติภาพที่เกิดขึ้นอาจจะหมายถึงการกดขี่บีฑาชาวพุทธและกิจกรรมทาง พุทธศาสนา แต่แต่มันไม่สามารถจะทำลายวัดหรือพุทธศาสนาในใจได้ ฉะนั้นท่านเลือกสันติภาพ


" ตรงกับบทกัลยณธรรมข้อแรกที่ว่า เธออย่ายึดติดอุดมการณ์ใด ๆ แม้กระทั่งพุทธศาสนา ถ้าเราทำทุกอย่างเพื่อพระพุทธศาสนา ถ้าเราเลือกพุทธศาสนาแต่หมายถึงการละทิ้งสันติภาพ อันนั้นเป็นความขัดแย้งในตัว ตรงนี้ทำให้เราคิดเลยว่า ถ้าจะเป็นชาวพุทธอย่าง แท้จริง ต้องไปพ้นจากยี้ห้อพุทธศาสนาด้วยซ้ำ ตรงนี้ชาวพุทธทั่วไปอาจทำใจยาก "


" นี่คือเหตุผลว่าทำไมลังกาถึงลุกเป็นไฟ เพราะคนจำนวนมากเลือกพุทธศาสนามากกว่าสันติภาพ สนับสนุนรัฐบาลให้ทำสงครามกับ ชาวทมิฬ เพราะเชื่อว่าอย่างนั้นจะทำให้พุทธศาสนาอยู่ได้ โดยหารู้ไม่ว่ายิ่งฆ่ากันมากเท่าไหร่ พุทธศาสนายิ่งถูกบั่นทอน เหลือแต่พุทธ ที่เป็นยี้ห้อ พุทธในใจหมดไปแล้ว เพราะว่าเกลียดกัน "

ในบทกวีของท่านนัท ฮันห์ กล่าวไว้ว่า " ศัตรูที่แท้จริงของเราไม่ใช่มนุษย์ ศัตรูของเราคือ ความโกรธ ความเกลียด ความยึดติดในอุดมการณ์ และตรงนี้เองเมื่อเราพยายามหยั่งลึกเข้าไปในจิตใจของคนเหล่านี้ จะพบว่าเขาเองก็เป็นเหยื่อ ในขณะที่เขาทำกับเราเขาก็เป็นเหยื่อของ ความรุนแรง "


" อาตมาคิดว่าในยุคแห่งความโกรธเกลียดโดยมีศาสนาเป็นเชื้ออย่างดีเช่นนี้ คำพูดอย่างนี้ยังไม่ล้าสมัย และจะเป็นอมตะไปตลอดกาล " พระไพศาลกล่าว



 
 
โอบอุ้มไว้ด้วยเมล็ดพันธุ์แห่งสติ


 
ปาฐกถาธรรมของท่าน นัท ฮันห์ ตั้งแต่สวนลุมพินี ที่จังหวัดเชียงใหม่ และตามที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพ สารที่ท่านพยายาส่งถึงผู้ฟังก็คือ " การมีสติ และตระหนักรู้ให้ได้ถึงลมหายใจ เข้าและออกของเรา "

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เรามีสติที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะ ทันทีที่เราอยู่กับปัจจุบันขณะ ความโกรธ ความเกลียดชัง ความกลัว ความทุกข์ทั้งหลาย จะเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อเราสงบ มีความสุข เราก็จะทำให้คนอื่น ๆ มีความสุขไปด้วย โดยเฉพาะ " ความสุขอันเป็นหนึ่งเดียวในครอบครัว และสังคม "

" สาเหตุที่เราป่วยกาย ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากเราไม่รู้จักวิธีการดูแลจิตใจของเรานี่เอง ลมหายใจช่วยให้เราตระหนักรู้ และเอาสิ่งที่ปิดกั้น เมล็ดพันธุ์ที่ดีงามออก เมื่อเกิดความรู้สึกไม่ดี หรือเมล็ดพันธุ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจเรา เราสามารถเชื้อเชิญลมหายใจแห่งสติโอบอุ้มความรู้สึก เหล่านั้น เมื่อความโกรธได้อาบน้ำแห่งสติ สภาพแห่งจิตของเราจะดีขึ้น " ท่านติช นัท ฮันห์ กล่าว

นอกจากนี้ในเรื่องของศีลห้า หรือ ข้อฝึกอบรมสติ 5 ประการ ท่านติช นัท ฮันห์ได้นำศีล 5 มาตีความใหม่ ให้มีเนื้อหาร่วมสมัย เข้ากับสภาวการณ์สังคมปัจจุบัน โดยมีมิติที่กว้าง และลึกทำให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นข้อห้าม แต่จะเป็นการตระหนักรู้และเอาใจใส่ต่อ การใช้ชีวิตอย่างจริงจัง
 
 



ความรักอันไม่แบ่งแยก
 
เกือบทุกแห่งที่ท่านไปปาฐกถาธรรม คำถามหนึ่งที่มีผู้คนสนใจถามและอยากให้ท่านชี้ทางออก นั่นคือ เรื่องความขัดแย้งโดยมีความรุนแรง ในสามจังหวัดภาคใต้เป็นตัวอย่างกรณีศึกษา


ท่านนัท ฮันห์ กล่าวว่า " ชาวพุทธเปรียบดั่งมือขวา ชาวมุสลิมเปรียบดั่งมือซ้าย เราเป็นดั่งพี่น้องกัน หากเราทำให้อีกฝ่ายทุกข์ เราย่อมเป็น ทุกข์ด้วย "


" การจะอยู่ด้วยกันอย่างสันติ มิใช่เพราะเราต่างเป็นชาวพุทธเหมือนกัน ฉันเห็นชาวพุทธมากมายมิได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่การจะอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสันตินั้นมีรากฐานมาจากความเข้าใจและความรัก ซึ่งความรักและความเมตตาต่อกัน มีพื้นฐานจาก การฝึกปฏิบัติ และ ความเข้าใจ "


ท่านให้ความเห็นว่า พี่น้องชาวมุสลิมในประเทศไทยอาจได้รับข้อมูลที่ผิด จึงทำให้พวกเขามีความโกรธ ความกลัว ความไม่เข้าใจ พวกเขาได้รับการรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรง ความโกรธ และความกลัวมากเกินไป ในขณะที่เมล็ดพันธุ์แห่งสันติ ความเป็นพี่น้อง ความรัก ความเข้าใจ ไม่ได้รับการรดน้ำอย่างเพียงพอ ฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้คือฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง ใช้วาจาแห่งสติ และเริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์


ท่านแนะนำให้ รัฐบาลไทยเชิญผู้มีปัญญาในสังคม และเชื้อเชิญทุกฝ่ายในความขัดแย้งนี้มาร่วมฟังกันอย่างลึกซึ้ง ด้วยความเมตตากรุณา เพื่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีความโกรธแค้นชิงชังและสงสัยคลางแคลงเพราะอะไร แลกเปลี่ยนข้อมูลให้ทุกฝ่ายได้สร้างความเข้าใจกัน จากการฟังเช่นนี้เอง เราจะตระหนักว่า เราเองก็ได้ทำอะไรผิดพลาดเช่นกัน เราควรใช้โอกาสนี้ในการขอโทษและสัญญาว่า จะไม่ทำเช่นนั้นอีก เพื่อสมานไมตรีทีดีต่อกัน
 

ก้อนเมฆในน้ำชา


 
' ความสืบเนื่อง ' เป็นปาฐกถาธรรมครั้งสุดท้ายที่เชียงใหม่ หนึ่งในตัวอย่างที่ท่านนำมาอธิบายธรรม คือ ' ก้อนเมฆในน้ำชา ' เพราะก่อนที่จะมาเป็นก้อนเมฆนั้น ก็คือไอน้ำและไอน้ำก็เคยเป็นทั้งหิมะ แม่น้ำ ทะเล หรือแม้แต่หยดน้ำค้างบนใบหญ้า ซึ่งตอนนี้กลายเป็นน้ำชาในถ้วย และกลายเป็นคำพูดในการบรรยายธรรม

ถ้าเราสามารถเห็นก้อนเมฆในน้ำชาอย่างที่ท่านสอน เราก็จะเข้าใจการสืบเนื่องของสรรพสิ่ง ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เราเห็นความจริงแห่งชีวิต และธรรมชาติเท่านั้น แต่จะทำให้เราตระหนักรู้ถึงการกระทำของเรา เพราะแค่เพียงความคิดด้านลบของเรา แม้ปล่อยให้เกิดขึ้น ก็มีผลทำร้ายทำลายโลกทั้งใบได้
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5079


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 09:46:56 »

5 คุรุ ผู้สร้างปรากฏการณ์
 
 



Hugging Mother " อ้อมกอดเปลี่ยนชีวิต "

 
20 , 000 คน คือ จำนวนของผู้คนที่เธอสวมกอดภายใน 1 วัน
22 ชั่วโมง คือ เวลาประมาณของชั่วโมงทั้งหมดที่เธอนั่งกอดและปลอบประโลมผู้คน
33 ปีมาแล้วที่เธอทำอยู่เช่นนี้ในการหยิบยื่นอ้อมกอดแห่งการเปลี่ยนแปลง
24 ล้านครั้งแล้วที่เธอสวมกอดผู้คน


Mata Amritanandamayi หรือที่คนทั่วไปเรียกเธอว่า ' อัมม่า ' คุรุฮินดูแห่งรัฐเกรละที่ได้รับการกล่าวขานจากผู้คนทั้งในและนอกประเทศ


แต่ละปีมีนักแสวงหาทางจิตวิญญาณ ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากสหรัฐอเมริกา แคนาดา เยอรมันนี ประเทศไทย และอีกมากมายหลาย ประเทศไปยืนรอต่อคิวเพื่อให้ได้รับการสวมกอดจากเธอ


หลายคนยืนยันว่า " อ้อมกอดเธอนั้นมีพลังและสามารถหยิบยื่นพลังดี ๆ ให้กับคุณได้ "


" ถ้าคุณได้ให้เธอสวมกอดสักครั้ง ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปเลยทีเดียว " นี่คือเสียงของบรรดาผู้ที่ศรัทธาเธอ
ชื่อ Amaritanandamayi ! แปลว่า " แม่ของความสุขอันแท้จริง " อัมม่ามาจากคนวรรณะต่ำธรรมดาที่ครอบครัวมีอาชีพหาปลาในรัฐเกละ แต่ปัจจุบันเธอเป็นคุรุทางจิตวิญญาณที่มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็น โยลันดา คิงส์ ลูกสาวของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ หรือ ซาเบียร์ บูเทีย ผู้ก่อตั้ง Hotmail


คนไทยเราอย่างมีแม่ชีศันสนีย์ ก็เคยมาเยี่ยมถึงอาศรม และเขียนถึงอัมม่าไว้ที่อาศรมเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2546 ว่า " อัมม่า เป็นผู้หยิบยื่น ความรักอันปราศจากเงื่อนไขและไร้ขีดจำกัด ให้กับทุก ๆ คนที่เธอได้พบ "
ในปี 1980 อัมม่าเริ่มก่อตั้งอาศรม อย่างเป็นทางการเพื่อต้อนรับผู้คนและมอบ " อ้อมกอดแห่งการเยียวยา "
มีคนเคยถามเธอว่า " ทำไมต้องสวมกอดผู้คน "

เธอตอบว่า " เช่นดียวกับเธอถามแม่น้ำว่า ทำไมต้องไหลริน " - " มันเป็นโชคชะตาของฉันที่จะต้องมาปลอบประโลมคนบนโลกนี้ที่ โศกเศร้า "

มีคนเคยถามอัมม่าว่าเธอนับถือศาสนาอะไร เธอตอบว่า ศาสนาของเธอคือ ความรัก และเธอก็บอกกับทุกคนที่เข้ามาหาเธอว่า " ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงความเชื่อใด ๆ ที่มีมาของเธอแต่ให้หันกลับไปสู่ แต่ให้หันกลับไปสู่ธรรมชาติที่แท้จริงของตนเอง และเชื่อมั่นในตนเองเท่านั้น "

The Mata Amritanandamayi Math ashram ตั้งอยู่ในเมือง โคลัม รัฐเกรละ แต่ละวันจะมีกิจธรรมทางจิตวิญญาณต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การร้องเพลง นั่งสมาธิ สวดมนตรา นอกจากนั้นอาศรมยังมีกิจกรรมการกุศลในการช่วยเหลือคนยากจน ตรวจรักษาโรคให้กับคนจน แจกทาน และปลูกที่อยู่อาศัยให้กับคนไร้บ้าน
อย่างไรก็ตาม ' อัมม่า ' ก็ถูกวิจารณ์ว่า เธอมักจะกอดชาวต่างชาตินานกว่าคนอินเดีย บ้างก็ว่าเป็นเรื่องฝรั่งมังค่าที่อินเดีย เพื่อมองหาความตื่นเต้นทางจิตวิญญาณ และมันก็เป็นแค่ความศรัทธาของผู้คนที่ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาพิสูจน์
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5079


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 09:47:23 »




ตามไปฟังทะไล ลามะ บรรยายธรรม
 
นอกจากเมืองธรรมศาลา ตอนเหนือของประเทศอินเดีย จะเป็นที่ตั้งของรัฐบาลทิเบตพลัดถิ่น วัดและวังของท่านทะไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตแล้ว ที่นี่ยังเป็นเสมือนบ้านของชาวต่างชาติพลัดถิ่นด้วย แต่ละปีจะมีผู้คนมากมายมาจองโรงแรม เกสต์เฮาส์เพื่อให้ได้ฟังและเห็นท่านทะไลลามะ ในการบรรยายธรรม

หนึ่งในโปรแกรมการเดินทางแห่งจิตวิญญาณในอินเดียของชาวตะวันตก และปัจจุบันชาวตะวันออกอย่าง เกาหลี จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น ก็เช่นกัน นอกจากจะมาเรียนโยคะ ฝึกสมาธิ สัมผัสแม่น้ำคงคาแล้ว การมาได้ฟังท่านทะไลลามะเทศน์ ก็เสมือนหนึ่งได้บรรลุประสบการณ์ ทางจิตวิญญาณไปอีกขั้น

ใช่ว่ามีสตางค์แล้วจะซื้อบัตรกันได้ง่าย ๆ เพราะต้องคอยจับจ้องติตดามข่าวสารกันให้ดี ๆ ว่าท่านจะไปบรรยายธรรม หรือไปพบปะสนทนากับผู้คนที่เมืองไหนและเมื่อใด โดยปกตินั้นบัตรที่จะเข้าฟังการบรรยายก็มักจะหมดตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เริ่มจำหน่าย

แต่สำหรับการบรรยายธรรมของทะไลลามะ ณ ธรรมศาลา จะเริ่มในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมของทุกปี บรรยายประมาณ 15 วัน ทุกคนไม่ว่าจะศาสนาไหนเชื้อชาติใดก็สามารถเข้าฟังได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
 
ผู้ที่จะเข้าฟังต้องมีอุปกรณ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเสื่อผืนหมอนใบ เพราะต้องนั่งกับพื้น วิทยุ FM ไว้ฟังการแปลเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมหูฟังเพื่อจะได้ไม่รบกวนคนข้าง ๆ อุปกรณ์ทุกอย่างจะผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผู้ที่ต้องการเข้าฟังต้องลงทะเบียนที่สำนักงานรักษาความปลอดภัยล่วงหน้าอย่างน้อย 4 วัน พร้อมรูปถ่าย พาสปอร์ต

ภายใต้ข้อขัดแย้งทางการเมืองกับรัฐบาลจีนต่อเนื่องมาหลายสิบปี ทะไลลามะ เพิ่งประกาศเมื่อไม่นานมานี้ว่าจะยุติความเคลื่อนไหว ทางการเมืองทั้งปวง เหลือไว้แต่กิจกรรมทางธรรมเท่านั้
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5079


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 09:51:08 »





Osho กับ ห้องปฏิบัติการพัฒนามนุษย์คุณภาพใหม่
 

เจ้าหน้าที่ของโอโชยืนยันและอ้างว่า Osho International Meditation Resort เป็นรีสอร์ทแห่งจิตวิญญาณเพียงแห่งเดียวในโลก และไม่มีที่ใดที่คุณจะได้รับพลังแห่งการตื่นรู้เท่ากับการได้มาฝึก Active Meditation ที่นี่ ซึ่งเป็นการปฏิบัติสมาธิในรูปแบบใหม่ที่ถูกคิดค้น ขึ้นโดยท่านโอโช หนึ่งในผู้นำทางจิตวิญญาณที่ทรงอิทธิพลแห่งศตวรรษที่ 20

บนเนื้อที่ 40 เอเคอร์ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ แมกไม้ และสายน้ำ การจัดภูมิทัศน์เน้นความสมดุลระหว่างพื่นที่ว่างและสวนสไตน์เซน มีคนเคยเปรียบที่นี่ไว้ว่าเป็น Paradise on Earth อาคารที่นี่ถูกออกแบบเพื่อให้มันมีผลต่อการพัฒนาสมาธิโดยตรง โดยใช้รูปแบบของพีรามิด ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนผืนน้ำ

ในแต่ละวันจะมีเทคนิคของการฝึก Active Meditation แตกต่างกันไปในแต่ละชั่วโมง ซึ่งทั้งหมดถูกออกแบบและพัฒนาโดยท่านโอโช เช่น Dynamic Meditation สมาธิที่มีพลวัต เคลื่อนไหว สามารถเข้ากับคนทุกเพศทุกวัย หรือแม้แต่คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านสมาธิ นอกจากนั้น Wheeling Meditation แบบ Sufism ก็ถูกนำมาปรับใช้ให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างสภาวะการตระหนักรู้แห่งตน

โอโชได้รับการขนานนามว่า เขาเป็น ' บุรุษผู้อันตราย ' ภายหลังการมาของพระเยซู แต่โอโชเรียกตัวเองว่า เขาเป็น ' True existentialist ' และเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ

นอกจากนั้นโอโชก็เคยถูกเรียกขนานว่า เขาเป็น ' Sex Guru ' เนื่องจากท่านหยิบเอา ' ตันตระ ' ออกมาสอนผู้คนโดยเฉพาะในเรื่อง ที่เกี่ยวกับเซกส์ และตีความกามารมณ์ใหม่ให้เห็นมิติแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งคนภายนอกที่ไม่เคยได้รับรู้ว่าโอโชสอนอะไร ก็คิดตีความไปใน เรื่องกามารมณ์ตามแบบที่เคยได้รับรู้มา

ช่วงปี 1970 เป็นช่วงที่โอโชย้ายจากอเมริกากลับมาอินเดีย ครั้งนั้นลูกศิษย์ลูกหาของท่านมากมายก็ติดตามท่านมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปูเณ่แห่งนี้ และตั้งโอโช คอมมูน ขึ้นมา นับเนื่องตั้งแต่ห้วงเวลานั้นจนถึงปัจจุบัน ทั้งชาวตะวันตกและตะวันออกที่คลั่งไคล้และศรัทธาในคำสอนของ ท่านก็ยังคงเดินทางมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปูเณ่แห่งนี้ทุกปี

แม้ว่าวันนี้โอโชจะไม่อยู่ในร่างเดิมแล้ว แต่เสียงแห่งคำสอนท่านก็ยังดังกังวาลอยู่ในห้องประชุมใหญ่ทุกวันในเวลา 8 นาฬิกาตรง ปัจจุบันมีผู้คนกว่า 20 , 000 คนจากทั่วทุกมุมโลก ยังคงเลือกให้ Osho
International Meditation Resort แห่งเมืองปูเณ่ รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย เป็นที่เยียวยาและพัฒนาทางจิตวิญญาณของตน
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5079


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 09:51:41 »




Hare Krishna ขวัญใจฮิปปี้

 
ในยุค 60 - 70 เราอาจเคยเห็นภาพชาวตะวันตกใส่เสื้อแขกตัวยาว นุ่งผ้าคล้ายโจงกระเบนสีเหลือง ส่วนผู้หญิงนุ่งส่าหรี ตีกลอง เต้น และร้อง " Hare Krishna Hare Krishna Hare ... " ไปบนถนน หรือไม่ก็กลุ่มคนที่โกนผมหมดแต่ไว้ปอยผมไว้หนึ่งปอยอยู่บนขวัญ

หากเห็นสัญลักษณ์เหล่านี้แล้ว แน่ใจได้เลยว่าพวกเขาเหล่านี้คือ กลุ่ม Hare Krishna คนไทยเราเองก็อาจจะเคยเห็นภาพเหล่านี้สอดแทรก อยู่ในภาพยนต์ที่พูดถึงฮิปปี้ในยุค 60

International Society For Krishna Consciousness ( ISKCON ) หรือที่รู้จักกันดีว่า กลุ่ม Hare Krishna ก่อตั้งขึ้นในตะวันตก เมื่อปี 1966 ที่เมืองนิวยอร์ค โดยท่านคุรุ Srila Prabhupada ซึ่งเป็นทีรู้จักดีของชาวตะวันตก และท่านเป็นผู้หนึ่งที่แปลคัมภีร์ภควคีตาออกมาเป็น ภาษาอังกฤษ

กลุ่ม ISKCON เป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มศาสนาใหม่ โดยมีปรัชญาคำสอนตั้งอยู่บนพื้นฐานของคัมภีร์ภควคีตา และเป็นการฝึกโยคะ ในสายลัทธิภักดีโยคะ หรือที่คนไทยเรียกว่าลัทธิภักดี นับถือต่อพระกฤษณะซึ่งเป็นองค์อวตารของพระวิษณุ

ในการฝึกปฏิบัติสมาธิ คนกลุ่มนี้จะร้องท่องคำมันตระ เพื่อให้ดำดิ่งสู่สภาวะอันล้ำลึกแห่งจิตวิญญาณ อันนำไปสู่สภาวะการตระหนักรู้ และสัมผัสสภาวะแห่งพระเจ้า โดยจะร้องมหามันตระนี้ว่า ... " Hare Krishna Hare Krishna Krishna Krishna Hare Hare Hare Rama Hare Rama Rama Rama Hare Hare "

เพลง Hare Krishna เคยติดอันดับท็อปเท็นของฝั่งอังกฤษมาแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นเพลงที่ร้องกันในกลุ่มฮิปปี้ ทั้ง ๆ ที่รูปแบบ และหลักการของการเข้ามาเป็นผู้ติดตามในกลุ่ม Hare Krishna นั้น แตกต่างกับรูปแบบชีวิตของฮิปปี้อย่างสิ้นเชิง

ผู้ที่จะเข้ามาใช้ชีวิตในทางจิตวิญญาณในกลุ่มชอง ISCKON จะต้องปฏิบัติตามที่ท่าน Srila Prabhupada ระบุไว้อย่างเคร่งครัดนั่นก็คือ ห้ามกินเนื้อสัตว์ ปลา และไข่ ห้ามประพฤติผิดในกามารมณ์ และไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ ห้ามเล่นการพนัน และข้อสุดท้ายคือห้ามสิ่ง เสพติดทุกชนิด ไม่ว่ากัญชา สุรา บุหรี่ หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่มีคาเฟอีน

ปัจจุบันมีเครือข่ายของกลุ่ม ISKCON กระจายอยู่ทั่วโลก มีกิจกรรมร่วมกันทั้งร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า หรือนั่งสมาธิร่วมกัน นอกจากนั้นก็ยังมีการสร้างโรงเรียน ร้านอาหาร และฟาร์ม เพราะวัดของกลุ่ม ISKCON เป็นโรงทานแจกจ่ายอาหารให้กับผู้ขัดสน

หลายมหาวิทยาลัยในตะวันตกมีการเรียนสอนวิชา Krishnology แต่ภาพอีกด้านหนึ่งของกลุ่ม Hare Krishna และผู้นำอย่าง Prabhupada ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายทั้งในสังคมตะวันตก ในประเทศอินเดียและสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับแนวทางพฤติกรรมของผู้นำและองค์กร
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5079


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 09:52:06 »





Satya Sai BaBa นักมายากล หรือ บุคคลผู้บรรลุ
 

สัตยา ไส บาบา เป็นคุรุหรือ ' กูรู ' อีกคนหนึ่งที่คนไทยรู้จักกันดี

ภาพประทับใจที่คนนึกถึงไส บาบามักเกี่ยวข้องกับอิทธิฤทธิ์ อภินิหาร หรือปาฏิหาริย์ประเภทคว้าให้กลายเป็นทองคำ หรือไม่ก็เสกให้ มีขี้ธูปออกมาจากแจกันเปล่าได้ แต่ละครั้งที่ไส บาบาปรากฏตัวจะมีคนมากมายรายล้อมรอชมปาฏิหาริย์ จนทางการอินเดียต้องสั่งให้ไส บาบาหยุด

ไส บาบา กล่าวว่าตนเป็นองค์อวตารของไส บาบา แห่งเมืองชรีดี ( Shridi ) ซึ่งถือเป็นคุรุที่ชาวอินเดียให้ความนับถืออย่างมาก รถยนต์แทบทุกคันจะติดภาพของไส บาบาไว้ที่หน้ากระจกรถเพื่อเป็นสิริมงคลต่อรถและชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไส บาบาสอนก็เน้นย้ำ การไม่แบ่งแยกศาสนา พูดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน และความรักที่ไม่มีขีดจำกัด

" การมาของท่านนั้นไม่ได้มาเพื่อจะรบกวน หรือทำลายความศรัทธาใด ๆ แต่มาเพื่อยืนยันความเชื่อและความศรัทธาของแต่ละท่าน ซึ่งคริสเตียนก็จะเป็นคริสเตียนที่ดี และมุสลิมก็จะเป็นมุสลิมที่ดี และฮินดูก็จะเป็นฮินดูที่ดี " สานุศิษย์ของไส บาบา ยืนยัน

ทุกวันนี้ Prasanthi Nilayam แห่งเมืองพุทธปาตี แห่งรัฐอันธรประเทศ ทางใต้ของประเทศอินเดีย ยังเต็มไปด้วยผู้คนที่มาจากทั่วสารทิศ และทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงวันเกิดของไส บาบาในเดือนพฤศจิกายน เราจะเห็นผู้คนแห่แหนเข้าไปที่อาศรม คนเหล่านั้นต่างขับร้องเพลง เพื่อบูชาและสรรเสริญไส บาบา

แต่พ้นไปจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แล้ว ว่ากันว่าคำสอน แนวปฏิบัติ รวมถึงสิ่งที่ไส บาบาทำให้กับสังคมล้วนเกาะเกี่ยวกับเรื่องราวแห่ง สติปัญญา ไม่ว่าจะเป็นธรรมะที่เผยแผ่ โรงเรียนที่สร้าง รูปแบบการศึกษาผสานกับสมาธิ คุณธรรมที่เน้นย้ำ โรงพยาบาล บ้านพักของคนไร้ที่อยู่

ไม่เพียงที่อินเดียเท่านั้น องค์กรสัตยาไส และโรงเรียนสัตยาไส ยังเผยแผ่ไปทั่วโลก แม้กระทั่งในเมืองไทยโรงเรียนสัตยาไสของ ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ก็เป็นส่วนหนึ่งดำเนินตามแนวคิดนี้

มีคนเคยถามต่อหน้าว่า แท้จริงแล้วสัตยา ไส บาบาเป็นใคร ท่านตอบว่า " ฉันคือพระเจ้า และคุณคือพระเจ้า แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างกัน ระหว่างคุณกับฉัน นั่นคือ ขณะที่ฉันตระหนักรู้กับมัน แต่คุณกลับไม่ตระหนักรู้อะไรเลย "
คำสอนของสัตยา ไส บาบา เน้นถึงหนทางที่นำไปสู่ความหมายของชีวิต 5 ข้อ อันได้แก่ สัจจะ การมีธรรมะ มีสันติ มีความรัก และยึดหลักอหิงสา ขณะเดียวกันก็ให้รักพระเจ้า เกรงกลัวต่อบาป และรับผิดชอบต่อสังคม
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5079


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 09:52:33 »



การแสวงหาจิตวิญญาณใหม่


 
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกได้ประมาณการเอาไว้ว่า ภายในอีก 100 ปีข้างหน้า หรือราวปี ค.ศ. 2100 สงครามระหว่าง ' มนุษย์ ' และ ' ธรรมชาติ ' จะดำเนินไปสู่จุดแตกหัก ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่สะสมในชั้นบรรยากาศจนกลายเป็นผ้าห่มผืนหนา ห่อหุ่มโลก ส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นสูงจนโลกใบนี้ไม่เหมาะที่จะให้มนุษย์อยู่อาศัย อีกต่อไปนั้น ... ว่าที่จริงแล้ว ก็เป็นคำทำนายบนพื้นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างใจเย็นพอสมควร


ตลอดฤดูร้อนปีนี้ ทั่วทั้งโลกต่างพร้อมใจกันพูดถึงประเด็นโลกร้อนในฐานะวาระเร่งด่วนที่พลเมืองโลกจำเป็นต้องรับมือร่วมกันอย่าง พร้อมเพรียง ... สังคมไทยเองก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าปฏิกิริยาสังคมเราอาจมีลักษณะเฉพาะเป็นแบบฉบับของเราเอง


นอกเหนือจากความพยายามทำให้ประเด็นโลกร้อนเป็นเรื่อง ' ง่าย ' โดยหดเหลือแค่ภาวะน้ำท่วมโลกเฉียบพลัน จนประเทศไทยต้องเปลี่ยน แผนที่ใหม่ภายในระยะเวลา 10 ปี ตามที่สื่อโทรทัศน์หลายแห่งเสนอไปนั้น เอกสารคำทำนายเกี่ยวกับสภาพสังคม ดินฟ้าอากาศ ภาพจำลองแผนที่ใหม่ของประเทศไทย ทั้งที่ถ่ายเอกสารและฟอร์เวิร์ดเมลส่งต่อกันเป็นทอด ๆ หลายแหล่งหลายที่มาหลายสำนวนภาษา ในหมู่ชนชั้นกลางนั้น แม้นว่า ' ที่มา ' ของคำทำนายสภาพความวิบัติทั้งหลายทั้งปวงส่วนใหญ่จะอิงอยู่กับสำนวนและถ้อยคำในร่มเงาของ ' ศาสนา ' แต่ก็ดูเหมือนว่า ปฏิกิริยาความตื่นตระหนกดังกล่าว อาจไม่ได้มีคำอธิบายถึง ' เหตุปัจจัย ' ของความวิบัติดังที่กลัว ๆ กันมากนัก ยกตัวอย่างเช่น ...


" ดูกร อานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลกที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ


" เริ่มแต่เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงเลย 2 , 500 ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามจากทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอารามสมณะชีพราหมณ์จะอดอยาก ยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ สงครามจะเกิดทั่วทิศ ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ้งสู่หายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ .... ในระยะนั้น ศาสนาของตถาคตจะเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบกลับไม่มีใครเคารพยำเกรง ...


" ดูกร อานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาตตนี้ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตัวเอง ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติให้รักษาศีล 5 ประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคต ให้มั่นคงจึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล ... "


แม้นว่าความตื่นตระหนกดังกล่าวจะไม่ได้ให้คำอธิบายถึงเหตุผลปัจจัยใด ๆ มากนัก แต่อย่างน้อยที่สุด เนื้อหาหลายส่วนของ ' คำทำนายเชิงภัยพิบัติ ' เหล่านี้ก็สอดรับกับอารมณ์ความรู้สึกและความกลัวลึก ๆ ของผู้คน ซึ่งนานวันเข้าก็ยิ่งต้องยอมรับสภาพว่าปริมาณ ความถี่และระดับความรุนแรงของภัยธรรมชาตินั้น ยิ่งมีระดับทำลายล้างสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องเตรียมใจยอมรับล่วงหน้าว่าเมื่อจะไม่มี ประเทศใด ๆ บนโลกแม้แต่ประเทศเดียว ที่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างแข็งแรงแน่นหนาเพียงพอที่จะ รับมือกับเภทภัยครั้งนี้ ... อย่าว่าแต่ในบางประเทศที่สถาบันค้ำยันสังคมเกือบทุกสถาบัน ต่างก็หักโค่นไปล่วงหน้าเกือบหมดแล้ว


และถึงแม้นว่าสภาพความอลหม่านที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะดำเนินไปโดยไม่ได้มีองค์ความรู้ใด ๆ รองรับ แต่ภายใต้ข้อเท็จจริงเดียวกันนั้น ก็ได้นำมาสู่ความพยายามที่จะไขปัญหาลึกลับทั้งจากฟากนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามหาคำอธิบายใหม่ ๆ ให้พ้นไปจากกรอบความคิด เชิงกลไกแบบนิวตัน ทั้งจากฟากศาสนาที่พยายามแสวงหารูปแบบใหม่ ๆ เพื่อที่จะเข้าถึงเนื้อหาดั้งเดิมของจิตวิญญาณไม่ว่าจะผลิตออกมา ในชื่อเรียกใดก็ตาม จนกระทั่งกลายเป็นข้อสรุปในหมู่นักวิทยาศาสตร์ช่วงทศวรรษ 1970 เป็นต้นมาแล้วว่า ความรู้ความเข้าใจต่อธรรมชาติ ของจิตวิญญาณ เป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่วิทยาศาสตร์กำลังเผชิญหน้าอยู่ในปัจจุบัน


ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ท้าทายและก้าวหน้าในปัจจุบัน จึงไม่ใช่เพียงความรู้เชิงประจักษ์ภายใต้กรอบของสสารและเหตุผล แต่มันเป็น ความพยายามคลี่ปมปริศนาลึกลับที่แฝงอยู่ในตัวตนของมนุษย์ สรรพชีวิต โลก และจักรวาล ประเด็นทำนองนี้นักฟิสิกส์คนดังอย่าง ฟริตจอฟ คาปรา ได้กล่าวเอาไว้ตั้งแต่ปี 1975 แล้วว่า แบบแผนต่าง ๆ เท่าที่มีอยู่ในโลก ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา หรือสังคม หากยังไม่มีการปรับกระบวนทัศน์ใหม่ให้ทันเวลา หรือยังเดินหน้าไปภายใต้ทัศนคติที่มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ยุคเก่า ภายในไม่เกินปี ค.ศ. 2030 ระบบทั้งปวงที่มีอยู่จะเดินไปสู่ความอับจน โดยมีความเสื่อมสลายของโลกเป็นผลลัพธ์ตกค้าง
กระบวนทัศน์เก่าที่นักฟิสิกส์อย่างคาปรากล่าวถึงไว้นั้น เดวิด ซี. คอร์เทน ผู้เขียนหนังสือ โลกหลังยุคบรรษัท ( The Post - Coperate World ) ขยายความถึงความเชื่อเก่าแก่ทางวิทยาศาสตร์ที่ครอบงำสังคมตะวันตกและโลกมาตลอด 300 ปีไว้ว่า


" จักรวาลมีลักษณะคล้ายลานนาฬิกายักษ์ที่นายช่างผู้สร้างได้ไขลานไว้ตั้งแต่แรก จากนั้นก็ปล่อยให้มันหมุนเดินไปเรื่อย ๆ เรากำลังอยู่ใน จักรวาลที่ตายแล้วและสูญเปล่า สสารคือความจริงเพียงสิ่งเดียว จิตสำนึกเป็นเพียงภาพลวงตา ชีวิตเป็นเพียงผลลัพธ์ทางการผ่าเหล่าทาง พันธุกรรมจากความซับซ้อนของวัตถุ ... ในการต่อสู้แข่งขันผู้ที่เหมาะสมกว่าจะอยู่รอดรุ่งเรือง ส่วนผู้อ่อนแอกว่าต้องสูญสิ้นไป ... มนุษย์เป็นเพียงเครื่องจักรที่ซับซ้อนที่สุด เราไม่อาจคาดหวังให้มนุษย์เป็นอะไร หรือกลายเป็นอะไรได้มากกว่าสัตว์ร้ายที่โหดเหี้ยม "


แน่นอนว่า หลักคิดครอบงำอันโหดเหี้ยมซึ่งวิวัฒน์มาเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายทฤษฎี โดยที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงมันตรง ๆ นี้ ถูกนักวิทยาศาสตร์ยุคหลังหักล้างอย่างย่อยยับ เดวิด โบห์ม นักฟิสิกส์แห่งมหาวัทยาลัยลอนดอน มีชื่อเสียงจากการค้นพบสมมติฐาน เสนอเป็นภาพจำลองจักรวาลที่แตกต่างไปจากจักรวาลของนิวตันอย่างสิ้นเชิง จักรวาลของโบห์มไม่ใช่ ' นาฬิกาที่ถูกไขลานให้เดิน อย่างไร้จุดหมาย ' ตรงกันข้าม โบห์มค้นพบพลังงานบางอย่างที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ความเคลื่อนไหวนั้นเกี่ยวโยงอย่างมีนัยสำคัญกับ ความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งจนไม่อาจแยกส่วนออกเป็นชิ้นย่อย ๆ



ดานาห์ โซฮาร์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาดและเอ็มไอที ผู้วิจัยเรื่อง ' Quantum Model of Consciousness ' อธิบายปรากฏการณ์บิ๊กแบงว่า มันไม่ได้เป็นเพียงการก่อรูปและเปิดฉากให้สสารปรากฏขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีเบื้องหลังที่ไม่ได้ปรากฏตัวในรูปแบบของสสารเข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วย สิ่ง ๆ นั้นอาจมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน บ้างก็เรียกว่าจิตจักรวาล หรือถ้ายึดตามคำบอกเล่าทางศาสนา สิ่ง ๆ นั้นก็อาจมีสภาพไม่ต่างจาก ... พระผู้เป็นเจ้า


ข้อเสนอและการค้นพบเหล่านี้ ขยายพรมแดนจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์กลายมาเป็นสิ่งที่เรียกว่า ' การเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์ในศตวรรษที่ 21 ' แทนที่ความรู้และกระบวนทัศน์เดิมที่สืบขนบต่อเนื่องกันมา 300 กว่าปี ความเปลี่ยนแปลง ครั้งนี้เองที่อาจจะทำให้คำถาม ความสับสน หรือสภาพไร้อารยธรรมทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ถูกหักโค่น แล้วต้องหวนกลับ ไปสู่การใช้เครื่องมือเดิมที่เรียกที่เรียกว่าศาสนาเพื่อแสวงหาจิตวิญญาณใหม่


- คัดบางส่วนจากนิตยาสาร Way ฉบับ BACK TO SPIRIT -

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 15 มีนาคม 2553 12:04:11 »



http://i194.photobucket.com/albums/z32/jatikanont/24b4c35f.jpg
Back To Spirit : จิตวิญญาณใหม่ในโลกใบเดิม


สาธุ สาธุ สาธุ ขอบพระคุณค่ะ ดีมากมาย
ถ้าว่างแวะมาให้ธรรมทานบ่อยๆนะคะ หลายๆคนรออ่าน..   โดยเฉพาะ - -" ก็ด้วยน่ะค่ะ...
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 3.153 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 29 มีนาคม 2567 17:20:56