[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
04 พฤษภาคม 2567 23:32:27 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: "ดูจิต" มีสติอย่างเบิกบาน  (อ่าน 3379 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2 Chrome 2.0.157.2


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 18 ธันวาคม 2552 12:49:10 »

"ดูจิต" มีสติอย่างเบิกบาน

คำนำ

เนื่องจากทาง ผู้ดูแลเว็บ ยังเป็นผู้หนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส เป็นผู้รู้น้อย และยังมีหนทางอีกยาวไกลในการปฏิบัติ ดังนั้นจึงไม่กล้าหรืออาจหาญที่จะอธิบายความได้อย่างเต็มที่ จึงขอเกริ่นเพียงสั้น ๆ เพื่อให้เข้าใจความหมายหรือคำจำกัดความของการดูจิตหรือการฝึกสติเท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ ผู้ดูแลเว็บ เท่านั้น ผู้ที่สนใจฝึกสติควรศึกษาจากครูบาอาจารย์ให้มากโดยสำคัญ ที่ทาง เว็บ จะทำการรวบรวมมาให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษาอย่างสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้

การดูจิตคืออะไร ?

พูดว่า “ดูจิต” ท่านที่ไม่เคยได้ยินอาจจะงง ที่จริงการดูจิตคือ “การฝึกสติ” นั่นเอง ... สติ แปลว่าความระลึกได้  ดังนั้นการดูจิตจึงไม่ได้มีความหมายอะไรซับซ้อนไปกว่า “ความรู้สึกตัว” เมื่อใดที่เรามีความรู้สึกตัวนั่นหมายความว่าเรามีสติอยู่นั่นเอง

รู้สึกตัวที่ว่าคือรู้อะไร ?

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า สติปัฏฐาน 4 มาบ้าง การมีสติก็คือการฝึกสติปัฏฐาน 4 ,  สี่อย่างที่ว่านั้นคือ กาย เวทนา จิต ธรรม ฟังดูอาจจะงง พูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อใดเราเกิดความรู้สึกในสิ่งใดที่ชัด ก็ให้รู้อันนั้น การรู้นั้นรู้อะไร ก็เช่น หากเดินอยู่ก็รู้สึกว่าเดินอยู่, นั่งก็รู้สึกว่านั่ง, ยืนก็รู้สึกว่ายืน, นอนก็รู้สึกว่านอน, ดีใจก็รู้ว่าดีใจ, โกรธก็รู้ว่าโกรธ, สุขก็รู้ว่าสุข, ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์, จะขยับซ้าย แลขวา หันหน้า มองหลัง เคลื่อนไหวใด ๆ ก็ "รู้สึก"ตามนั้น คิดก็รู้ว่าคิด, จะฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน เผลอลืมไม่มีสติก็รู้ว่าเผลอ   

กล่าวโดยย่อคือให้มีความรู้สึกตัวผ่านอายตนะทั้ง 6 ได้แก่ ตา (รูป), หู (เสียง), จมูก (กลิ่น), ลิ้น (รส), กาย (สัมผัส), ใจ (ความรู้สึก-ความคิดปรุงแต่ง) รู้ไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์หรือสภาวธรรมที่ปรากฏ “ตามจริง” ในขณะนั้น ๆ

รู้แบบนี้มันจะเครียดไหม ? ขอตอบว่าไม่เลย การมีความรู้สึกตัวนั้นทำแบบสบาย ๆ ให้เป็นธรรมชาติตามปกติ ไม่ต้องไปเพ่ง ไปจ้อง ไปบังคับ ไปควบคุม ง่าย ๆ คือเป็นปกติอย่างที่เคยเป็นนั่นหละ เพียงแต่มีความรู้สึกตัวอยู่เนือง ๆ อยู่เสมอ




Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2 Chrome 2.0.157.2


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2552 12:50:14 »

รู้ไปเพื่ออะไร ?

สตินั้นหากนำมาใช้กับทางโลกทั่วไปก็ย่อมมีประโยชน์มหาศาลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการงาน, ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ การคิดอ่านย่อมเป็นระบบ, จิตย่อมมีสมาธิในการทำกิจการงานใด ๆ , อารมณ์มักจะเป็นปกติ ไม่ค่อยโกรธ เครียด หรือทุกข์ใจอะไรมาก ๆ กล่าวโดยรวมคือย่อมเกื้อกูลชีวิตประจำวันทางโลกได้อย่างดีซึ่งเป็นประโยชน์ที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจน

หากแต่ถ้ารู้เนือง ๆ มาก ๆ เข้าจนเป็นมหาสติ ก็จะได้ประโยชน์จากทางธรรมด้วย การที่เรามีสติอยู่เนือง ๆ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง ทำอย่างติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็เพื่อให้สติเกื้อกูลต่อการ “เห็นความจริง” ความจริงนี้เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเราที่สุดก็คือกายกับใจของเรา แต่เราไม่เคยรู้สึกถึงความจริงนี้เลย

จุดหมายของการรู้ก็เพื่อให้เห็นความจริง อันได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่ากายและใจของเรานั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยง  เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา เนื่องจากสัมมาสติทำให้เราได้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามสภาวธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดจิตจะยอมรับความจริงในข้อนี้ (หรือที่ท่านพระพุทธทาสชอบเรียกว่าให้ละตัวกู ของกู)  อันนำไปสู่หนทางแห่งการดับทุกข์ ที่เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของพระพุทธศาสนา   

ดูจิตมีอะไรดี ?

ดูจิต คือการเรียนธรรมะที่ “เรียบง่ายและธรรมดาที่สุด” ไม่จำเป็นต้องรู้คำศัพท์ทางศาสนายาก ๆ หรือนั่งท่องพระไตรปิฎก เพราะจุดมุ่งหมายคือการเรียนรู้กายและใจของตัวเอง ให้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น (อุปทาน) อันเป็นสาเหตุทำให้เรา ๆ มีความทุกข์กัน

การดูจิตสามารถทำได้ “ทันที” , “ที่นี่” และ  “เดี๋ยวนี้” ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยมักเข้าใจผิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องทำอะไรที่มันดูยาก ๆ, เคร่งเครียด, น่าเบื่อ, หรือต้องใช้เวลา เนื่องจากตนไม่มีเวลาจึงไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ ซึ่งความจริงเราสามารถเรียนธรรมะด้วยการฝึกสติได้ตลอดเวลา ด้วยใจที่ปกติสบาย ๆ ไม่ว่าจะดูทีวี, กินข้าว, เล่นเน็ต, อาบน้ำ, ไปเที่ยว, ออกกำลังกาย ฯลฯ ล้วนสามารถฝึกสติได้ทั้งสิ้น

ธรรมทั้งปวงรวมที่จิต (ตามที่ครูบาอาจารย์ได้กล่าวไว้) ดังนั้นการดูจิตคือการเรียนรู้ธรรมะภาคปฏิบัติที่เป็นเส้นทางตรง ไม่อ้อม ช่วยให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ไวขึ้นและไม่หลงทาง

หากพูดถึงในแง่ของบุญกุศลสำหรับคนชอบทำบุญ  การดูจิตเปรียบเสมือนการทำวิปัสสนากรรมฐาน จึงเป็นภาวนาบารมี ซึ่งเหนือกว่าศีลและทาน (อ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" สมเด็จพระสังฆราชฯ) ดังนั้นจึงเสมือนเป็นการทำบุญโดยไม่เสียสตางค์ และเป็นบุญสูงสุด ทำได้ทุกที่ ทุกเวลาตามกำลังสติที่เรามี

เส้นทางนี้มีกัลยาณมิตรที่เดินเส้นทางเดียวกันมากมาย เมื่อติดปัญหาหรือไม่เข้าใจสิ่งใดจึงมีช่วยตอบข้อสงสัยได้ มีแหล่งข้อมูลให้ศึกษาอยู่เยอะ (เสียงธรรมของพระอริยเจ้าในเว็บนี้ก็มักสอนเรื่องสติอยู่บ่อย ๆ) ถึงที่สุดแล้วหากศึกษาด้วยตัวเองเต็มที่แล้วยังมืดบอดอยู่ ก็มั่นใจได้ว่ามีพระสุปฏิปันโนที่สามารถตอบข้อซักถามของเราได้แน่นอนในยุคปัจจุบัน

ต้องดูนานแค่ไหน ?

อันนี้ไม่สามารถตอบได้ เพราะขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่และบารมีของแต่ละท่าน ใครขยันเดินก็ไปได้ไกลว่า (แล้วต้องเดินให้ถูกทางด้วย) แต่มั่นใจได้ว่าถึงแน่เพราะมีพุทธวัจนะรับรองไว้ว่า บุคคลใดเจริญสติปัฏฐานอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ย่อมหวังความดับทุกข์ได้แน่นอนอย่างเร็ว 7 วัน  อย่างกลาง 7 เดือน หรืออย่างช้า 7 ปี

จะเห็นได้ว่าแม้คนที่คิดว่าตัวเองไม่ได้มีบุญบารมีอะไร ฉันจะทำได้หรือ ?  ก็มั่นใจได้เลยว่าทำได้แน่นอนตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ แต่โดยทั่วไปหากฝึกสติในระดับหนึ่งแล้ว จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัด จิตจะรู้ ตื่น เบิกบาน ไม่ค่อยมีอารมณ์โกรธ หงุดหงิด หรืออารมณ์เพี้ยน ๆ ทั้งหลายเท่าใดนัก





บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2 Chrome 2.0.157.2


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2552 12:50:46 »

มีอานิสงส์อย่างไร ?

อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้ว ในเบื้องปลาย อานิสงส์ของการเจริญสติคือความดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง หากอานิสงส์เบื้องปลายมันดูเหมือนจะห่างไกลจากความรู้สึกเราก็ขอให้ลองมาดูใกล้ ๆ ตัว ท่านอาจจะเคยได้ยินว่ามีคนเข้ากรรมฐานที่วัดแล้วชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เช่น เลิกติดเหล้าติดการพนัน, หน้าที่การงานดีขึ้น, การค้าเจริญขึ้น แล้วก็อาจเกิดความสงสัยว่ามันเกี่ยวกันอย่างไร

จากการที่ webmaster ได้ศึกษาผู้ที่เข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวัน (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) (สามารถหาอ่านได้ในหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติในเว็บ)  ขอสรุปตามความเข้าใจดังนี้

หากท่านลองพิจารณาดูให้ดีจะเห็นว่า ความหายนะ ความเลวร้ายในชีวิตของคนเราล้วนมาจากการขาดสติทั้งสิ้น เช่นการโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง, การทะเลาะตบตีกันในครอบครัว, การปล้นฆ่า, สามีมีผู้หญิงอื่น, ติดการพนัน, กินเหล้าเมายา ฯลฯ โดยรวมคือการละเมิดศีล 5 อันเป็นธรรมแห่งความ “ปกติ” ของคนเรา

คนเราทุกคนล้วนมีกิเลสตัณหา มีความโลภ โกรธ หลงด้วยกันทุกคน ดังนั้นหากขาดสติเมื่อไร ก็พร้อมที่จะเผลอทำกรรมชั่วได้เสมอ ในขณะที่ฝ่ายกรรมดี อันได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา ก็แทบจะไม่ได้ทำเลย

การมีสติจึงเสมือนเป็นตัวช่วยคุมให้เรามีความเป็น “ปกติ” คืออยู่ในกรอบของศีล เช่น เมื่อเราโกรธมาก ๆ ก็จะรู้ตัวไม่ทำการประทุษร้ายใคร, โลภมาก ๆ ก็จะรู้ตัวไม่ไปทำการปล้นหรือโกงใคร ฯลฯ  ดังนั้นกรรมชั่วจึงแทบไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ในขณะที่ฝ่ายกรรมดีคือ ศีล และภาวนาได้ทำทุกวันจนเป็นอาจิณกรรม

เมื่อเปรียบเทียบฝ่ายที่ไม่ค่อยมีสติกับฝ่ายที่สติดีในทางคณิตศาสตร์ก็จะเห็นภาพชัดขึ้น ฝ่ายแรกนั้นดูเหมือนจะมีเรื่องให้ติดลบอยู่เนือง ๆ อาจจะได้คะแนนบวกบ้างในบางครั้ง ส่วนฝ่ายที่สองนั้นเรื่องติดลบแทบไม่เกิด แต่ได้คะแนนบวกอยู่ทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไปเป็นหลายเดือน หลายปีผลรวมด้านกุศลกรรมของทั้งสองคงจะต่างกันอย่างเทียบไม่ติดเลยทีเดียว นี้เป็นเหตุผลหนึ่ง

แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือคำสอนของหลวงพ่อจรัญซึ่งหากพิจารณาดูก็จริงทีเดียว ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะดีมักจะเป็นคนที่ขยัน เบิกบาน มีความคล่องแคล่ว ว่องไว ใครมีหน้าที่อะไรก็จะปฏิบัติตามหน้าที่ตัวเองได้อย่างดี เช่นเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่, เป็นสามีที่ดีต่อภรรยา ครอบครัวมีแต่ความอบอุ่น การงานก็จะมีความเจริญก้าวหน้าอันเกิดจากความขยัน ความมีสติก่อให้เกิดสมาธิ ปัญญาจึงตามมา สามารถแก้ไขปัญหาชีวิตได้ นี้จึงเป็นอานิสงฆ์ของการเจริญสติที่เห็นได้ชัดเจน



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2 Chrome 2.0.157.2


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2552 12:51:19 »

เอาหละ ... เรียนรู้ให้เข้าใจคอนเซ็ปภาพรวมก็พอ หากท่านมีข้อสงสัยประการใดสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ด้วยตัวเองครับ สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้วิธีการปฏิบัติจากครูบาอาจารย์ให้ถูกต้องเพื่อให้ไม่เดินหลงทางหรือปฏิบัติผิด ๆ ไป ซึ่งทางเว็บจะพยายามรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ให้ทุกท่านได้ศึกษากัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่หลายท่านเข้าใจเลย ตรงกันข้ามเป็นธรรมะที่อ่านง่ายกว่าที่คิดมากเลยครับ

ขอให้เจริญในธรรมกันทุก ๆ ท่าน
คณะผู้จัดทำเว็บ

เราพูดถึงอยู่เสมอถึงคำว่า “สติปัญญา”
เราใช้ปัญญาอยู่เสมอก็จริง  แต่สตินั้นแท้จริงแล้ว
เรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่สตินั้นมีคุณค่าต่อชีวิต
และจำเป็นแก่ชีวิต มีคุณค่าเหลือที่จะประมาณได้
(พระธรรมสิงหบุราจารย์ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี)

 

จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)





ปล.ทั้งหมดนี้คัดลอกมาจาก ฟังธรรม.com
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
Kanarnaek
ผู้ดูแลบ้านสุขใจ
นักโพสท์ระดับ 3
*

คะแนนความดี: +1/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 10


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 12 มกราคม 2553 21:47:40 »

พักนี้ไม่ค่อยจะมีสติ สาตาง เอาเลยผม เลยต้องอ่านแล้วก็เป็นอย่างที่
" พระธรรมสิงหบุราจารย์ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี "

เราพูดถึงอยู่เสมอถึงคำว่า “สติปัญญา”
เราใช้ปัญญาอยู่เสมอก็จริง  แต่สตินั้นแท้จริงแล้ว
เรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่สตินั้นมีคุณค่าต่อชีวิต
และจำเป็นแก่ชีวิต มีคุณค่าเหลือที่จะประมาณได้

ผมก็ใช้มันน้อยจิงๆ เล้ย   :'(
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
แกนโลกพลิก กลับขั้ว " Pole Shift " ในปี 2012 และการช่วยเหลือจาก UFO
รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
หมีงงในพงหญ้า 1 4929 กระทู้ล่าสุด 18 ธันวาคม 2552 15:28:26
โดย AMM
แกนโลกพลิก กลับขั้ว " Pole Shift " ในปี 2012 และการช่วยเหลือจาก UFO
หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
หมีงงในพงหญ้า 5 11534 กระทู้ล่าสุด 11 มกราคม 2553 09:54:20
โดย BOOGIMAN
"ในหลวง" ทรงขอบใจยื่นจดสิทธิบัตร"ยีนความหอมข้าวไทย"
สุขใจ ห้องสมุด
ไอย 0 2750 กระทู้ล่าสุด 30 ธันวาคม 2552 12:07:44
โดย ไอย
คำเตือน !! "เซ็กส์เสื่อม" ของแถม จาก "ออฟฟิศซินโดรม" (มนุษย์บ้างานระวังให้ดี)
สุขใจ อนามัย
หมีงงในพงหญ้า 1 3784 กระทู้ล่าสุด 13 เมษายน 2553 07:47:53
โดย PETER
หนังสั้น "ราตรีสวัสดิ์" เรียกน้ำตาอีกแล้ว (Shortfile - "GoodNight")
หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
Sweet Jasmine 0 2765 กระทู้ล่าสุด 29 เมษายน 2553 14:49:08
โดย Sweet Jasmine
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.262 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 28 มีนาคม 2567 19:52:25