๖๑. อัชฌัตตารัมมะณา ธัมมา ในลำดับนี้จะได้วิสัชนาในติกมาติกาบทที่ ๖๑ สืบต่อไป โดยนัยพระบาลีว่า อัชฌัตตารัมมะณา ธัมมา แปลว่า
ธรรมทั้งหลายอันมีอารมณ์เป็นภายใน โดยเนื้อความว่า พระโยคาวจรเจ้าผู้แสวงหาซึ่งความสุขสำราญใจ แลมา
เจริญญาณสมาบัติให้บังเกิดขึ้นในตน
เพราะฌาณสมาบัตินั้นเป็นธรรมบังเกิดขึ้นในภายใน ท่านทั้งหลายเหล่านี้ย่อมแสวงหาแต่ความระงับ เพ่งเอาแต่สมาบัติให้เป็นอารมณ์ เช่นเดียวกับสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตร เมื่อเวลาเขาจะเอาไปฆ่า พระสารีบุตรจึงไปเตือน
ให้สติ ก็ระลึกถึงฌาณที่ตนเคยได้เจริญนั้นได้ ก็เพ่งฌาณความระงับนั้นให้เป็นอารมณ์แล้ว ก็เหาะหนีรอดความตายไปได้
โดยความอธิบายว่า
ก็ได้แก่ธรรมที่เย็นใจ ความบริสุทธิ์ใจเย็นใจนี้แล เป็นธรรมภายในแผ่ซ่านออกไปให้เป็นอารมณ์ในภายนอก บุคคลจะได้ประสบซึ่งความสุขกายสบายจิตทั้งภายในแลภายนอกนั้น
ก็ต้องอาศัยธรรมภายในดวงเดียว มีความบริสุทธิ์ใจแผ่ซ่านออกไปเป็น
อารมณ์ภายนอก
ธรรมภายนคือความบริสุทธิ์ภายในใจดวงเดียวนี้แล
ย่อมสามารถจะยังสรรพทุกข์ภัยอุปัทวันตรายทั้งปวงให้เข้าไประงับดับเสียได้ สมดัง
นัยพระพุทธสุภาษิตว่าปะริตตัง พุทธมันตานัง ปะวะรัง สัพพะมันตานัง อัชฌัตติกะพาหิเรชาตัง อันตะยายัง วิสาสะนัง ปะริตตา นุภาเวนะ ละภันติ สัพพะมังคะลัง ดังนี้
โดยความอธิบายว่า ธรรมภายในคือใจบริสุทธิ์
ใจบริสุทธิ์นั้นเรียกว่า
ธรรมมีประมาณน้อย ปะริตตัง แปลว่า
พระนิพพาน เป็นธรรมมีประมาณน้อย ธรรมน้อยดวงเดียวนี้แล
พุทธะมันตานัง เป็น
มนต์ของพระพุทธเจ้า ปะวะรัง สัพพะมันตานัง และเป็น
มนต์อันประเสริฐกว่ามนต์ทั้งปวง อัชฌัตติกะพาหิเรชาตัง อันตะรายัง วิสาสะนัง อันตรายอันหนึ่งอันใด
ซึ่งบังเกิดมีภายในแลภายนอก
ก็ย่อมเสื่อมสูญไปโดยอำนาจแห่งพระปริตต์ คือพระนิพพานเป็นธรรมมีประมาณน้อยนี่เอง ปะริตตา นุภาเวนะ ละภันติ สัพพะมังคะลัง สรรพสัตว์ทั้งหลายจะได้ประสบซึ่งความสุขสำราญใจก็ได้เพราะอานุภาพแห่ง
พระปริตต์อันเป็นธรรม
มีอารมณ์ภายในอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจึงได้ชื่อว่า อัชฌัตตารัมมะณา ธัมมา ฉะนี้ฯ