ขอบเขตจักรวาล+ความโง่ของมนุษย์ลามะ อ้างอิงข้อความ: ใครโพสต์ต่อ ไปเคี้ยวหญ้า
ผมกำลังจะตอบปัญหาของคุณที่ว่า มีสองอย่างที่ยังหาขอบเขตสิ้นสุดไม่ได้ นั่นคือ
1 ขอบเขตจักรวาล
2 ความโง่ของมนุษย์
บังเอิญ คุณดันโพสต์ข้อความว่า
ใครโพสต์ต่อ ไปเคี้ยวหญ้า ผมก็เลยไม่ขอตอบในกระทู้นั้น มาตั้งกระทู้ใหม่ดีกว่า
คำตอบใน 2 คำถามของคุณที่ทิ้งไว้ มันน่าสนใจเป็นที่สุด ไม่ตอบก็น่าเสียดาย จริงๆ คำตอบเหล่านั้น มันพัวพันธ์อยู่กับจิตใต้สำนึก หรือภวังค์จิตของคุณและทุกๆสรรพชีวิต
1.ขอบเขตจักรวาล = พระพุทธเจ้าเรียกว่า "ที่สุดแห่งโลก"
ที่สุดแห่งโลก = ที่สิ้นสุดความคิดปรุงแต่งในจิต เมื่อความคิดปรุงแต่งในจิตมันสิ้นสุด มันย่อมเป็นอวกาศหรือความว่างเปล่า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า:
"คำว่าที่สุดแห่งโลกนั้น จะถือเอาอากาศโลกหรือจักรวาลโลกเป็นประมาณนั้นมิได้"
"ที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องขวางนั้นมีอนันตจักรวาลเป็นเขต นอกอนันตจักรวาลออกไปก็เป็นอากาศว่างๆ อยู่ จึงว่าโดยขวางมีอนันตจักรวาลเป็นที่สุด"
"ที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องบนนั้นมีอรูปพรหมเป็นเขต เพราะอรูปพรหม 4 ชั้นนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นนิพพานพรหมหรือนิพพานโลก นิพพานโลกนี้เป็นที่ไม่สิ้นสุดที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องบน...นิพพานโลกนี้เป็นที่ไม่สิ้นสุด = จักรวาลไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง2. ความโง่ของมนุษย์ = ไม่หยุดความคิดปรุงแต่งในจิต โดยการดับจิตที่คิดปรุงแต่งไปเลย เหลือแต่จิตที่ไม่คิดปรุงแต่ง(นิพพาน) เมื่อไม่ดับจิตที่คิดปรุงแต่งไปเลย = ไม่ยอมวาง(จิตสังขาร)หรือจิตใจคืนไว้แก่โลกตามเดิมเสียก่อน เมื่อไม่วางจิตสังขาร ซึ่งเป็นโทษ(เป็นทุกขังและอนัตตา) ก็ไม่อาจถึงพระนิพพานได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "(ถ้าจะเข้าพระ นิพพาน)ต้องวางจิตใจคืนไว้แก่โลกตามเดิมเสียก่อน ถ้าวางไม่ได้เป็นโทษ ไม่อาจถึงพระนิพพานได้" = ต้องละทิ้งจิตวิญญาณที่เป็นนามรูป เพราะจิตวิญญาณที่เป็นนามรูป เป็นจิตสังขาร เป็นของปรุงแต่ง จึงมีอายุจำกัด แม้ว่าจะเป็นอรูปพรหมสูงสุด ก็มีอายุแค่ 84,000 มหากัปเท่านั้น เมื่อสิ้นอำนาจของอรูปฌานแล้ว ท่านผู้นั้นก็ยังต้องมี เกิดแก่เจ็บตาย มีร้ายและดี มีคุณและโทษ มีสุขและทุกข์อยู่ต่อไป
พระพุทธเจ้าตรัสด้วยว่า
"โลกุตตรนิพพานนั้นปราศจากวิญญาณ... วิญญาณยังมี ที่ใด ความเกิดแก่เจ็บตายก็มีอยู่ในที่นั้น" = วิญญาณในที่นี้ เกิดจาก จิตสังขาร ซึ่งเป็นสังขตธาตุ
เมื่อละจิตสังขารที่เป็นสังขตธาตุได้ เราจะเข้าสู่วิราคะจิต ได้จิตปภัสสร เป็นจิตหลุดพ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(นิพพาน)"
เอกนิบาตอังคุตตรนิกาย อรรถกถา ภาค ๑ หน้า ๔๕ ข้อ ๕๐ "ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺติ" ความว่า "ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร ก็จิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา"จิตที่หลุดพ้นจากกิเลส พระพุทธเจ้าเรียกว่าอะไรครับ?.....นิพพานใช่ไหมครับ
ดังนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, องค์พระศาสนาแห่งศาสนาพุทธ, เป็นผู้ตรัสเองว่า
"จิตประภัสสร คือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส หรือ นิพพาน" = โลกุตตรนิพพานนั้นไม่มีวิญญาณที่เกิดจากจิตสังขารอยู่ แต่โลกุตตรนิพพานมีจิตวิญญาณที่เป็นปภัสสร หรือ จิตหลุดพ้นจากกิเลส(นิพพาน)อยู่
สรุปที่สุดแห่งโลก = ที่สิ้นสุดความคิดปรุงแต่งในจิต เมื่อความคิดปรุงแต่งในจิตมันสิ้นสุด มันย่อมเป็นอวกาศหรือความว่างเปล่า จนกว่าจะหมดอำนาจฌานในจิตสังขารของอรูปพรหม เพราะอรูปพรหมไม่ได้ปล่อยวาง และละทิ้งจิตสังขาร ซึ่งเป็นของโลก(จักรวาล)ออกไป
พระพุทธเจ้าเรียก ที่สุดแห่งโลกว่า นิพพานโลก...เป็นที่ไม่สิ้นสุด มีอรูปพรหมเป็นเขต ส่วนนิพพานนั่นอยู่ที่ไหน?
"ดูกรอานนท์ นิพฺพานํ นครํ นาม อันชื่อว่าเมืองพระนิพพานย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดเพียงนั้น
พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุข หาที่เปรียบมิได้"