อาราธนาพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เสวยทิพยสมบัติเป็นท้าวสันดุสิตอยู่ในดุสิตสวรรค์ จน
พุทธกาลใกล้เข้ามา เทวดาโลกบาลจึงป่าวประกาศว่านับแต่นี้ล่วงไปพันปี พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติในชมพูทวีป ผู้ใดประสงค์จะได้พบเห็นพระองค์ก็จงทำกุศลกรรมให้ถึงพร้อม ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนากันเถิด เทวดาทั่วหมื่นจักรวาลพอได้ยินประกาศดังนั้นจึงมาชุมนุมกันถามไถ่ว่าพระโพธิสัตว์พระองค์ใดจะมาตรัสรู้ จนเกิด
พุทธโกลาหลไปทั้งสวรรค์
หลังจากประชุมกันแล้ว ท่านท้าวมหาพรหม ท้าวปรนิมมิตวสวัตดี ท้าวนิมมานรดี ท้าวสันดุสิต ท้าวสุยามะ ท้าวสักกเทวราช และท้าวมหาราชทั้งสี่ จากหมื่นจักรวาล จึงพากันไปเฝ้าพระโพธิสัตว์ในดุสิตสวรรค์ กราบบังคมทูลว่า
พระองค์บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ มิใช่เพื่อจักรพรรดิสมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือพรหมสมบัติ แต่เป็นไป
เพื่อความเป็นพุทธะ บัดนี้กาลนั้นมาถึงพระองค์แล้ว ขอเชิญพระองค์เสด็จไปอุบัติเพื่อพระโพธิญาณเถิด
พระโพธิสัตว์สดับคำอาราธนาจากเหล่าทวยเทพแล้ว ก็ทรงพิจารณา
ปัญจมหาวิโลกนะ คือ กาล ทวีป ประเทศ ตระกูล และมารดา ว่าพระองค์ควรไปเกิดที่ไหนหนอ
พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณากาลอันสมควรเป็น
ลำดับแรกว่า กาลใดที่มนุษย์มีอายุขัยยืนยาวเกินแสนปี กาลนั้นมนุษย์มีแต่ความสุขสบาย ไม่ค่อยได้เห็นความเกิด ความแก่ และความตาย
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มนุษย์จะไม่เข้าใจ การบรรลุธรรมจึงเป็นไปได้ยาก ส่วนกาลใดที่มนุษย์มี
อายุขัยน้อยกว่าร้อยปี กาลนั้นมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นผู้มีกิเลสหนา ชีวิตประสบแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน จิตใจหาความสงบไม่ได้
ปฏิบัติธรรมไม่ได้ผล มนุษย์ทั้งสองกาลนี้สั่งสอนไม่ได้ กาลที่มนุษย์สามารถเข้าใจไตรลักษณ์ได้ คือ ช่วงที่มีอายุขัยระหว่างแสนปีลงมาจนถึงร้อยปี และ
กาลปัจจุบันนี้มนุษย์มีอายุขัยร้อยปีเศษ สามารถสั่งสอนได้ จึงเป็นกาลอันสมควรที่พระองค์จะไป
อุบัติและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาทวีป ทรงเห็นว่ามนุษย์ใน ๓ ทวีป
คือ อุตตรกุรุทวีป บุพพวิเทหทวีป และอปรโคยานทวีป
เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยความสุขสบาย การจะสั่งสอนให้ปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์นั้นคงยาก เพราะไม่รู้จักความทุกข์ ส่วนมนุษย์ใน
ชมพูทวีปมีความทุกข์มากจึงสามารถสั่งสอนธรรมได้ อีกทั้งเป็นผู้มีใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว เมื่อฟังธรรมแล้วก็พร้อมจะปฏิบัติสมณธรรมด้วยความพากเพียร พระโพธิสัตว์จึงทรงเลือกที่จะอุบัติในชมพูทวีป
ตามพุทธประเพณีที่พระพุทธเจ้าในอดีตทุกพระองค์ก็ทรงอุบัติในทวีปนี้ พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาประเทศ พระพุทธเจ้าในอดีต
ทุกพระองค์อุบัติในมัชฌิมประเทศ พระโพธิสัตว์จึงทรงเลือก
สักกชนบทเป็นสถานที่เกิด
พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาตระกูลต่อไปว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์อุบัติในตระกูลสูง คือ กษัตริย์หรือพราหมณ์ เวลานี้โลกยกย่องตระกูลกษัตริย์มากกว่าตระกูลพราหมณ์ พระโพธิสัตว์จึงทรงเลือก
ศากยะราชตระกูลของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์
พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณามารดาว่า ผู้จะเป็นพุทธมารดานั้นต้องเคยตั้งความปรารถนา
ขอเป็นพุทธมารดามาก่อน และ
บำเพ็ญบารมีมาครบแสนกัปบริบูรณ์แล้ว พิจารณาแล้วจึงทรงเลือกพระนางสิริมหามายา อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพุทธมารดา
ครั้นทรงพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะแล้ว พระโพธิสัตว์จึงทรงรับอาราธนาของเหล่าทวยเทพ จุติจากสรวงสวรรค์ ไปปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา
พระโพธิสัตว์จุติ ในครั้งนั้น กรุงกบิลพัสดุ์มีงานนักขัตฤกษ์เดือน ๘ พระนางสิริมหามายาทรงเข้าร่วมงานนักขัตฤกษ์ด้วย จนถึงวันเพ็ญบุรณมี พระนางตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ สรงสนานน้ำหอม บริจาคพระราชทรัพย์สี่แสนเป็นทาน แล้วสมาทานอุโบสถศีล
ราตรีนั้น เมื่อพระนางสิริมหามายาเสด็จเข้าที่บรรทม ทรงมีพระสุบินนิมิตว่า ท้าวมหาราชทั้งสี่มายกพระแท่นบรรทมพาพระนางเหาะไปยังป่าหิมพานต์ มีพระเทวีของท้าวมหาราชทั้งสี่มาช่วยสรงสนานชำระล้าง
มลทินมนุษย์ในสระอโนดาต ให้ทรงผ้าทิพย์ ลูบไล้ของหอม แล้วพาไปประทับบรรทมในวิมานทอง ลำดับต่อมา มีช้างสีขาวจากภูเขาทอง มาเดินประทักษิณพระที่ไสยาสน์ของพระนาง ๓ ครั้ง แล้วเคลื่อนเข้าสู่พระครรภ์
วันรุ่งขึ้น พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้หาพราหมณ์ ๖๔ คน มาทำนายพระสุบินนิมิต พราหมณ์โหราจารย์กราบทูลว่า พระเทวีทรงพระครรภ์แล้ว เป็นพระครรภ์มหาบุรุษ ถ้าพระโอรสนี้ครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ถ้าเสด็จออกบรรพชาจักได้เป็นพระพุทธเจ้า
บุรพนิมิต ๓๒ ประการ ในขณะที่พระโพธิสัตว์ทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดานั้น บุรพนิมิต ๓๒ ประการ ก็ปรากฏขึ้นทั่วทั้งหมื่นจักรวาล คือ
๑. มีแสงสว่างแผ่ซ่านทั่วทั้งหมื่นจักรวาล
๒. คนตาบอดมองเห็นได้
๓. คนหูหนวกกลับได้ยิน
๔. คนใบ้กลับพูดได้
๕. คนค่อมกลับหายค่อม
๖. คนง่อยเดินได้
๗. เครื่องจองจำหลุดออกเอง
๘. ไฟนรกกลับดับ
๙. ความหิวกระหายของเปรตวิสัยกลับระงับ
๑๐. สัตว์ดิรัจฉานกลับไม่กลัว
๑๑. โรคทั้งหลายกลับสงบ
๑๒. สรรพสัตว์ทั้งหลายพูดจาน่ารัก
๑๓. ม้าต่างหัวเราะ
๑๔. ช้างต่างร้อง
๑๕. เครื่องดนตรีดังกังวาน
๑๖. เครื่องประดับเปล่งเสียงได้โดยไม่กระทบกัน
๑๗. ทั่วทุกทิศแจ่มใส
๑๘. มีสายลมอ่อนเย็น
๑๙. มีเมฆฝนตกลงมา
๒๐. มีน้ำพุจากแผ่นดิน
๒๑. นกหยุดบิน
๒๒. แม่น้ำหยุดไหล
๒๓. น้ำทะเลมีรสหวาน
๒๔. พื้นน้ำดารดาษด้วยปทุม ๕ สี
๒๕. ดอกไม้ทุกชนิดเบ่งบาน
๒๖. ดอกปทุมชนิดลำต้นก็บานที่ลำต้น
๒๗. ดอกปทุมชนิดกิ่งก็บานที่กิ่ง
๒๘. ดอกปทุมชนิดเครือเถาก็บานที่เครือเถา
๒๙. ดอกปทุมชนิดก้านก็ชำแรกพื้นศิลาทึบเป็นดอกบัวซ้อนๆ กันออกมา
๓๐. ดอกปทุมชนิดห้อยในอากาศก็บังเกิดขึ้น
๓๑. ฝนดอกไม้ตกลงมารอบด้าน
๓๒. มีเสียงดนตรีทิพย์บรรเลงในอากาศ
บุรพนิมิต ๓๒ ประการนี้
ย่อมเกิดเป็นปกติ ๔ ครั้ง คือ
เมื่อพระโพธิสัตว์ปฏิสนธิ เมื่อประสูติ เมื่อตรัสรู้ และเมื่อแสดงปฐมเทศนา ในขณะที่พระโพธิสัตว์ปฏิสนธินั้น หมื่นโลกธาตุก็สะเทือนเลื่อนลั่น สั่นไหวประหนึ่งพัดวาลวิชนีที่กำลังโบก มีกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้ บุรพนิมิตปรากฏขึ้นพร้อมกันในหมื่นจักรวาล