นำชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
เรือพระราชพิธี
ปากคลองบางกอกน้อย เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
ก่อนคริสตกาล ชาวกรีกเป็นชนชาติที่เดินเรือค้าขายระหว่างเมืองต่างๆ ในทะเลอิเจียน รอบๆ ประเภทกรีซในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเดินเรือติดต่อกับอาณาจักรโรมันและเมืองอื่นๆ ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาเหนือ ชาวโรมันก็เป็นอีกชนชาติหนึ่งที่เดินเรือค้าขายติดต่อกับประเทศต่างๆ ในดินแดนดังกล่าวมาแล้ว
คนไทย รู้จักใช้เรือเป็นพาหนะมานานนับพันปี เพราะโดยสภาพภูมิศาสตร์ที่มีแม่น้ำลำคลองอยู่แทบทั่วอาณาจักรสยาม เรือจึงเป็นยานพาหนะอย่างเดียวที่เหมาะและใช้กันมากที่สุด หลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเดินเรือของคนไทยปรากฏอยู่ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ.ศ.๑๘๒๒-๑๘๔๓) แห่งกรุงสุโขทัย หลักที่ ๔ ด้านที่ ๔ กล่าวว่าการเดินทางด้วยเรือและถนน แสดงว่ามีการสร้างเรือมาแต่สมัยสุโขทัยแล้ว สันนิษฐานว่าในสมัยนั้นมีการต่อเรือจากไม้ซุงท่อนเดียวทั้งต้น รวมไปถึงเรือที่ใช้ไม้กระดานต่อกันแล้วชันยา เดินทางไปมาหาสู่กันอย่างแพร่หลาย และเชื่อกันว่าการสร้างเรือเป็นพาหนะนี้เป็นพัฒนาการของมนุษย์ซึ่งเริ่มต้นจากการรู้จักผูกต่อซุงให้เป็นแพใช้กันมาก่อน
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังไม่มีรถยนต์และถนนหนทางเป็นทางคมนาคมบนแผ่นดินดังเช่นในปัจจุบัน ประกอบกับกรุงศรีอยุธยาและกรุงเทพฯ มีทำเลที่ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มไม่ไกลจากทะเล มีแม่น้ำลำคลองล้อมรอบ ผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่ตามริมน้ำ “เรือ” จึงเป็นพาหนะสำคัญชนิดเดียวที่ใช้ในการใช้สัญจร ขนส่งสัตว์เลี้ยง พืชผัก สินค้าต่างๆ ไปค้ามาขายระหว่างแม่น้ำลำคลองและทะเล ซึ่งเป็นปกติในการใช้เรือ นอกจากนี้ยังเป็นพาหนะสำหรับเคลื่อนย้ายกำลังพลเป็นกองทัพไปทำศึกสงคราม ป้องปรามอริราชศัตรูทั้งภายในและภายนอก
วิวัฒนาการการเดินเรือของไทยรุ่งเรืองมากในสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากขณะนั้นไทยมีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศในแถบยุโรป ได้แก่ โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส ทำให้เกิดเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ เช่นเรือสำเภาและเรือกำปั่น มีอู่ต่อเรือหลวงเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ประชาชนต่างอาศัยเรือเล็กเรือน้อยสัญจรไปมาหนาตา ถึงขนาดที่บาทหลวงชาวฝรั่งเศสบันทึกเอาไว้ว่า “ในแม่น้ำลำคลองเต็มไปด้วยเรือ จะไปไหนต่อไหนไหนก็เจอแต่เรือแน่นขนัดไปหมด จนไม่สามารถแหวกทางผ่านกันได้หากไม่ชำนาญ ทั้งที่เรือแน่นขนัดจอแจเช่นนี้ก็ไม่ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุแต่อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่ง”
เรือไทยเมื่อสมัยก่อน มีทั้งเรือขุดและเรือต่อ นิยมทำด้วยไม้ เช่น ไม้ตะเคียน ไม้สัก ไม้เคี่ยมหรือไม้ประดู่ เพราะเป็นไม้เนื้อแข็งลอยน้ำได้ดี ไม่ผุง่ายแม้จะแช่อยู่ในน้ำนานๆ โดยทั่วไปมักจะเป็นเรือขุด เช่น เรือพระที่นั่ง เรือยาว เรือพาย เรือหมู เป็นต้น
ภาพจาก เว็บไซต์ palungjit.org
เรือกระแชง หรือ เรือ "เอี้ยมจุ๊น"
ยังมีเรืออีกชนิดหนึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยถาวร เรียกว่า "เรือกระแชง" หรือ “เรือเอี้ยมจุ๊น” โดยทำหลังคากันแดดกันฝนคลุมไปตามยาวของลำเรือ ปูกระดานเต็มท้องเรือคล้ายเพดานเรือน ผนังเรือเจาะเป็นช่องประตูเข้าออก มีหน้าต่างช่วยระบายลม แล้วใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอนอยู่ในเรือนั้นตลอด โดยพื้นที่ในลำเรือใช้เป็นทั้งที่นั่งเล่น ที่หลับนอน มีห้องน้ำเล็กๆ พื้นที่ของส่วนท้ายเรือซึ่งโล่งโปร่งมักใช้เป็นพื้นที่ประกอบอาหาร เรือที่กล่าวนี้มักจอดเรียงรายปักหลักปักฐานอาศัยอยู่เป็นประจำตามลำแม่น้ำในย่านชุมชุนเมือง ดูคล้ายชุมชนในลำน้ำย่อมๆ ชุมชนหนึ่ง ในสมัยก่อนมีให้เห็นได้ในจังหวัดแถบภาคกลาง บริเวณต้นน้ำเจ้าพระยา ซึ่งในอดีตเป็นเส้นทางคมนาคมในการสัญจรของชาวบ้าน และเป็นเส้นทางขนส่งสินค้านานาชนิดที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่งของภาคกลาง
เรือประเภทนี้จัดอยู่ในประเภท “บ้าน” ตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรฯ คือเป็นโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยประจำ มีเจ้าบ้านครอบครอง มีการออกเลขที่บ้าน (เลขที่เรือ) ปัจจุบันไม่มีเรือเอี้ยมจุ๊นให้เห็นในบริเวณต้นน้ำเจ้าพระยาอีกแล้ว...(ด้วยสาเหตุใดขอยกไว้ไม่กล่าวถึง) จึงเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะถ้าอนุญาตให้ราษฎรได้อาศัยเรือแทนบ้านอย่างในอดีตอยู่ต่อไป โดยกำหนดให้มีมาตรการที่เข้มงวดให้ผู้อยู่อาศัยในเรือช่วยกันบำรุงรักษาสภาพแวดล้อมและสุขอนามัยของการดำรงชีวิตในลำน้ำแล้ว สถานที่นี้จะเป็นแหล่งที่ควรค่าแก่การศึกษาถึงวิถีชีวิตของคนไทยที่ผูกพันกับสายน้ำมาตั้งแต่บรรพกาล และเป็นสิ่งที่หาดูชมได้ยากในปัจจุบันสมัย
เรือพระราชพิธี
ประวัติความเป็นมาของเรือพระราชพิธี
เรือพระราชพิธี เป็นคำเรียกเรือที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้โดยเสด็จในการพระราชกรณียกิจต่างๆ มาแต่ครั้งโบราณ เช่น เป็นพาหนะทรงพระกฐิน การจัดกระบวนเรือรับราชทูต และในการเสด็จนมัสการรอยพระพุทธบาทสระบุรี การจัดกระบวนเรือดังกล่าว เรียกว่า “กระบวนพหยุหยาตราทางชลมารค” ซึ่งเป็นการจัดรูปกระบวนเรือรบในแม่น้ำตามตำราพิชัยสงคราม
การจัดกระบวนเรือพระราชพิธีสืบเนื่องมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาและถือเป็นพระราชพิธีโดยเสด็จ กระบวนพยุหยาตราที่สำคัญในปัจจุบัน คือ กระบวนพยุหยาตราชลมารคเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินหลวงวัดอรุณราชวราราม
ในสมัยอยุธยา เรือที่นำมาใช้ในกระบวนเรือพระราชพิธีส่วนมากจะเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่รูปเพรียวยาว ใช้ฝีพาย พายไปได้เร็ว เดิมใช้เป็นเรือรบประเภทขับไล่ทางแม่น้ำซึ่งมี ๔ ชนิดคือ
๑.เรือแซ คือ เรือกรรเชียงยาวแบบโบราณของไทย ใช้ในแม่น้ำ แล่นช้าเรียกว่าเรือแซ สำหรับใช้ในการลำเลียงพล เสบียงอาหาร และเครื่องศัตราวุธสำหรับกองทัพ (กรรเชียง เป็นลักษณะการนั่งหันหลังแจวเรือ ๒ มือ)
๒.เรือไชย คือ เรือยาวเช่นเดียวกับเรือแซ ใช้ฝีพาย แล่นได้เร็วกว่าเรือแซ
๓.เรือรูปสัตว์ คือ เรือที่มีโขนเรือสลักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ทั้งสัตว์จริงและสัตว์ในเทพนิยายเช่น ครุฑ พญานาค เป็นต้น ใต้โขนเรือกว้างเจาะเป็นช่องติดตั้งปืนใหญ่
๔.เรือกราบ คือ เรือโบราณที่ใช้ฝีพาย ลักษณะคล้ายเรือไชย แล่นเร็วกว่าเรือทุกประเภท
กระบวนเรือโบราณ
สมัยโบราณจัดทำเป็น ๒ สำรับ คือ เรือทอง หมายถึงเรือที่สลักลวดลายลงรักปิดทองสำรับหนึ่ง สำหรับใช้เวลาเสด็จในกระบวนที่เป็นพระราชพิธี ส่วนอีกสำรับหนึ่งเป็นเรือไม้ มักใช้ทรงในเวลาปกติ ไม่ปะปนกัน ลักษณะหน้าที่ของเรือพระราชพิธี แบ่งเป็น ๒ เหล่า คือ เรือเหล่าแสนยากร และเรือพระที่นั่ง
ประเภทของเรือในกระบวนเรือ
๑.เรือต้น คือ เรือพระที่นั่งของพระมหากษัตริย์ แต่ในสมัยหลังความหมายของเรือประเภทนี้ได้เปลี่ยนไป คือ เรือที่พระมหากษัตริย์โดยเสด็จลำลองเป็นการประพาสต้นไปทรงตรวจทุกข์สุขของราษฎรโดยมิให้คนอื่นรู้
๒.เรือที่นั่ง คือเรือพระที่นั่งซึ่งเรียกอย่างย่อ เป็นเรือพระที่นั่งของพระบรมวงศานุวงศ์
๓.เรือพระที่นั่งทรง เรือพระที่นั่งรอง คือ เรือลำที่พระมหากษัตริย์ประทับและมีเรือพระที่นั่งรองในกรณีเรือพระที่นั่งทรงชำรุด
๔.เรือพระที่นั่งรอง คือ เรือพระที่นั่งลำที่สำรองไว้ในกรณีเรือพระที่นั่งทรงชำรุด สันนิษฐานว่าพระที่นั่งสำรองคงพายร่วมไปในขบวนเสด็จด้วย
๕.เรือพลับพลา คือ เรือสำหรับพระมหากษัตริย์ทรงใช้เปลื้องเครื่องทรง (เครื่องราชกกุธภัณฑ์)
๖.เรือเหล่าแสนยากร หรือเรือศีรษะสัตว์ (เรือพิฆาต) คือ เรือรบที่อยู่ในขบวน เรือศีรษะสัตว์นี้มิใช่แต่จะเป็นเรือพิฆาตเท่านั้น อาจใช้เป็นเรือพระที่นั่งก็ได้ ศีรษะสัตว์ที่ใช้ในเรือแสนยากรนั้นต้องเป็นรูปศีรษะสัตว์ชั้นรอง และเขียนรูปด้วยสีธรรมดามิใช่เขียนด้วยสีทอง
๗.เรือดั้ง คือ เรือทำหน้าที่ป้องกันหน้าขบวนเรือ เป็นเรือไม้เขียนลายลงรักปิดทอง มีทวนหัวตั้งสูงและงอนขึ้นไป “ดั้ง” แปลว่า หน้า ฉะนั้นเรือดั้งก็คือเรือนำหน้านั่นเอง “เรือดั้ง” นี้เป็นศัพท์ที่เพิ่งเรียกกันใหม่ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชพบศัพท์นี้เฉพาะ “ดั้ง” ของเรือพระที่นั่งทรงและใช้เรือพระที่นั่งกิ่งเป็นเรือดั้ง
๘.เรือโขมดยา คือ เรือไชยที่เขียนหัวด้วยน้ำยา หัวท้ายงอนคล้ายเรือกัญญา เรือโขมดยาเป็นเรือพาหนะแสดงสมณศักดิ์ของเจ้าอาวาส หรือเป็นเรือประจำยศของพระราชาคณะ
๙.เรือแซง คือ เรือโขมดยา ๔ ลำที่อยู่ขบวนหน้าชั้นใน อยู่หน้าขบวนเรือพระราชยาน เรือแซงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้มักใช้เรือกราบ
๑๐.เรือประตู คือ เรือคั่นระหว่างขบวนย่อย ลักษณะเป็นเรือกราบ กลางลำมีกัญญา ทำหน้าที่เป็นเรือริ้วกระบวน
๑๑.เรือพิฆาต เป็นเรือที่แล่นเร็ว ทำหน้าที่นำกระบวนเป็นลำดับแรก เป็นเรือที่มีหัวเรือเขียนลายหน้าเสือ ไม่ปิดทอง ได้แก่ เรือเสือทะยานชลและเรือเสือคำรณสินธุ์
๑๒.เรือคู่ชัก เป็นเรือชัย ทำหน้าที่ลากจูงเรือพระที่นั่งซึ่งมีขนาดใหญ่และหนักมาก เรือคู่ชักมีชื่อว่า “เรือทองบ้าบิ่น และทองขวานฟ้า” เป็นเรือที่แล่นเร็ว
๑๓.เรือตำรวจ เป็นเรือที่พระตำรวจ หรือข้าราชการในพระราชสำนักลงประจำทำหน้าที่เป็นองครักษ์ มีทั้งตำรวจนอก-ตำรวจใน
๑๔.เรือกลองนอก-กลองใน คือ เรือสัญญาณ เพื่อให้เรืออื่นหยุดพายหรือจ้ำ ต่อมาเมื่อมีแตรฝรั่งเข้ามาในเมืองไทยแล้ว เสียงแตรได้ยินไกลกว่าเสียงกลอง จึงได้เลิกใช้สัญญาณจากเสียงกลอง แต่คงเรียกเรือกลองเช่นเดิม และเพื่อรักษาประเพณีเดิมเอาไว้ ในปัจจุบันเมื่อมีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคจึงยังมีทั้งเรือกลองนอกและเรือกลองในอยู่
๑๕.เรือกัน เป็นเรือป้องกันศัตรู มิให้จู่โจมมาถึงเรือพระที่นั่งอยู่แนวที่ใกล้เรือพระที่นั่งมากกว่าเรือแซง
๑๐.เรือรูปสัตว์ มีโขนเรือเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ในสมัยโบราณเคยมีเรือรูปสัตว์หลายชนิด เช่น ราชสีห์ คชสีห์ ม้า เลียงผา นกอินทรี สิงโต มังกร นาค ครุฑ ปักษี หงส์ เหรา กระโห้ ฯลฯ เรือรูปสัตว์อาจจัดเป็นเรือพิฆาต หรือเหล่าแสนยากร หรือเรือพระที่นั่งได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความวิจิตรงดงาม ความสำคัญของโขนเรือนั้นๆ และพระราชดำริของพระมหากษัตริย์ที่จะมีพระราชประสงค์เพื่อใช้ในพระราชพิธี หรือพระราชกรณียกิจต่างๆ
๑๑.เรือริ้ว คือ เรือที่อยู่ในริ้วขบวนที่แล่นตามกันไปในริ้วขบวน
เรือบัลลังก์แบบต่างๆ ภาพใกล้ที่สุดคือเรือพระที่นั่งสมเด็จพระเจ้ากรุงสยาม
ภาพนี้ ชาวฝรั่งเศสที่มากับคณะมัชชันนารีเขียนจากเรือพระที่นั่งต่างๆ
ตามที่บุคคลเหล่านั้นได้เข้ามาพบเห็น ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เรือพระที่นั่ง
เรือที่สำคัญที่สุดในกระบวนพยุหยาตราชลมารค คือ “เรือพระที่นั่ง”
เรือพระที่นั่งเป็นพระราชพาหนะที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ในการเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำ ที่เรียกว่า “ชลมารค” เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไปในอดีตซึ่งต้องใช้การคมนาคมทางน้ำเป็นหลักมากกว่าทางบก เนื่องจากในขณะนั้นยังไม่มีถนนหนทางที่สะดวกสบายดังเช่นในปัจจุบัน การเดินทางการขนส่งจึงอาศัยเรือ หรือแพ ซึ่งมีขนาดใหญ่ สามารถใช้บรรทุกคน สัตว์ และสัมภาระต่างๆ ได้มากกว่าเกวียน ช้าง ม้า และรวดเร็วกว่าการเดินทางทางบก ฉะนั้น ผู้คนในอดีตตั้งแต่พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน แม้จนกระทั่งนักบวช เช่น พระภิกษุสามเณร ล้วนใช้เรือเป็นพาหนะแทบทั้งสิ้น
เรือที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ประทับในการเสด็จพระราชดำเนินทางไปทางน้ำนี้ เรียกว่า เรือพระที่นั่ง หากเป็นเรือของพระบรมวงศานุวงศ์หรือเจ้านายองค์อื่นๆ ประทับก็มีชื่อเรียกต่างกันไปตามตำแหน่งฐานานุศักดิ์หรือชั้นยศ
เรือพระที่นั่งสำหรับพระมหากษัตริย์ทรงนั้นมีอยู่หลายประเภท หลายแบบ ตามลักษณะของการใช้งาน หรือมีพระราชประสงค์ให้สร้างเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น การเสด็จไปในการพระราชสงคราม เรือพระที่นั่งจะเป็นเรือสำคัญที่สุด เพราะเป็นเรือที่พระมหากษัตริย์ทรง หรือประทับเป็นแม่ทัพหลวงหรือจอมทัพ เรือพระที่นั่งจะอยู่ตรงตำแหน่งของแม่ทัพตามรูปผังขบวนทัพตามหลักหรือตำราพิชัยสงคราม ถ้าในขบวนมีการอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญไปด้วย เช่น พระชัย จะต้องมีเรือพระที่นั่งอีกลำหนึ่ง มักเป็นเรือพระที่นั่งรอง แต่ให้นำหน้าเรือพระที่นั่งทรง เพราะเป็นการถวายพระเกียรติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขบวนแบบนี้เรียก “ขบวนพยุหยาตรา” คือขบวนทัพที่ใช้ทางน้ำเป็นเส้นทางเดินทัพ จึงเรียกขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เช่น เมื่อคราวรบพม่าที่เมืองกาญจนบุรี ปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ความว่า “ครั้งถึงวันศุภวารมหาพิชัยมงคลฤกษ์ ในมฤคศิรมาศศุกรปักษ์ดิถี จึงสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก็ถวายบังคมลาสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเจ้า เสด็จทรงเรือพระที่นั่งบัลลังก์แก้วจักรพรรดิ์ ปิดทองทึบเรือพระที่นั่งสวัสชิงไชยประกอบพื้นดำทรงพระไชยนำเสด็จฯ พร้อมด้วยเรือท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาทโดยเสด็จดาษดาดำเนินพยุหโยธาทัพหลวงจากกรุงเทพฯ โดยทางชลมารค” ในขณะที่ทำการรบกับพม่าติดพันอยู่นั้น ทรงมีหนังสือบอกข้อราชการสงครามมากราบถวายบังคมทูลแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบและทรงเกรงว่าจะเอาชนะข้าศึกไม่ได้โดยเร็ว จึงยกทัพหนุนขึ้นไปช่วยสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ "เสด็จทรงเรือพระที่นั่งบัลลังก์บุษบกพิศาลประกอบพื้นแดง เรือพระที่นั่งพิมานเมืองอินทร์ประกอบพื้นดำ ทรงพระไชยนำเสด็จพร้อมด้วยเรือท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาท โดยเสด็จพระราชดำเนินเป็นอันมากและพลโยธาทหารในกระบวนทัพหลวง เป็นคน ๒๐,๐๐๐ เสด็จยาตราพลนาวาพยุหออกจากกรุงเทพมหานคร รอนแรมโดยทางชลมารคถึงเมืองกาญจนบุรี” ตามเหตุการณ์ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารที่ได้ยกมานี้แสดงให้ทราบได้ชัดเจนว่า เรือพระที่นั่งในขบวนเรือพระราชพิธีเดิมใช้ในขบวนพยุหยาตราทัพเป็นภารกิจหลักที่สำคัญ
หมู่เรือบัลลังก์และขบวนเรือต่างๆ ในพระนครศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เรือบัลลังก์พระที่นั่งของสมเด็จพระเจ้ากรุงสยาม มีฝีพายหนึ่งร้อยยี่สิบคน
ทั้งสองภาพนี้ ชาวฝรั่งเศสที่มากับคณะมัชชันนารีเขียนจากเรือพระที่นั่งต่างๆ
ตามที่บุคคลเหล่านั้นได้เข้ามาพบเห็น ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคนี้ นอกจากจะจัดเป็นขบวนทัพเพื่อยกหรือเคลื่อนไปรณรงค์สงครามทำการรบแล้ว ในยามบ้านเมืองปกติพระมหากษัตริย์มักจะให้ซ้อมริ้วขบวนเพื่อการพระราชพิธีต่างๆ เช่น การทอดผ้าพระกฐิน พระราชพิธีลงสรงในงานโสกันต์ พระราชพิธีแห่อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ พระราชพิธีอัญเชิญพระศพ พระราชพิธีลอยพระอังคาร หรือพระราชพิธีฟันน้ำในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระราชพิธีเหล่านี้ใช้ขบวนเรือมากบ้างน้อยบ้างตามความสำคัญของพระราชพิธี ขบวนเรือเหล่านี้มักจะเรียกขบวนเรือพระราชพิธี
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี กรุงเก่ามีสภาพเป็นเกาะล้อมรอบด้วยแม่น้ำกว้างใหญ่ ๓ สาย ได้แก่ แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำลพบุรี ในยามบ้านเมืองสงบสุข ปรากฏการสร้างเรือมากมายในกรุงศรีอยุธยา ตามบันทึกจดหมายเหตุรายวัน ของ บาทหลวง เดอ ชัวซีย์ ผู้ช่วยทูตมาในคณะของเชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ ซึ่งเป็นราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส เชิญพระราชสาสน์มายังสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้พรรณนาสภาพความเป็นอยู่ของพระนครศรีอยุธยา ว่า สิ่งที่น่าชมที่สุดที่ได้เห็นก็คือ บรรดาค่ายหรือหมู่บ้านที่ชาวชาติต่างๆ แต่ละชาติ รวมกันอาศัยอยู่สองฟากฝั่งของเกาะนี้ เรือนแพทุกหลังสร้างด้วยไม้ วัวควายกับหมูเลี้ยงไว้ในคอกยกพื้นสูงพ้นน้ำท่วม ทางขึ้นล่องไปมาค้าขายเป็นทางน้ำใสและไหลแรงไปสุดสายตาฯ ...และเหนือยอดไม้นั้นขึ้นไป เราจะเห็นหลังคาพระอุโบสถกับยอดพระเจดีย์ปิดทองอร่ามลงพื้นถึงสามชั้นตั้งอยู่เป็นระยะๆ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะบรรยายให้ท่านเห็นจริงตามภาพพจน์นี้ได้บ้างหรือไม่แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือข้าพเจ้าไม่เคยประสบทัศนียภาพที่งดงามเห็นปานฉะนี้มาแต่ก่อนเลยฯ ...ในแม่น้ำมีเรือสินค้าฝรั่งเศส อังกฤษ ฮอลันดา จีน ญี่ปุ่น สยาม กับเรือบัลลังก์นับไม่ถ้วน เรือพายปิดทองและมีฝีพายถึงลำละหกสิบคน พระเจ้าแผ่นดินทรงให้สร้างเรือสินค้าตามแบบยุโรปฯ
... สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามทรงมีเรือบัลลังก์ที่งดงามที่สุดในโลก และทรงมีเป็นจำนวนมาก เป็นเรือขนาดย่อม ทำขึ้นจากซุงท่อนเดียวซึ่งความยาวมากอย่างน่าพิศวง หัวเรือท้ายเรืองอนสูงมาก และผู้ควบคุมเรือหรือนายท้ายนั้นกระทืบเท้าลงที่เรือ ทำให้เรือสะท้านไปทั้งลำ เรือบัลลังก์นั้นปิดทองเกือบทั่วทั้งลำ และประดิดประดับด้วยงานแกะสลักที่งดงามมาก ตรงกลางลำมีที่นั่งคล้ายบัลลังก์มียอดแหลม สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคโดยประทับไปในเรือบัลลังก์พระที่นั่ง ขบวนเสด็จพระราชดำเนินนั้นประกอบด้วยเรือบัลลังก์กว่าสองร้อยลำ จัดลำดับกันไปตามฐานานุกรมฯ...เรือบัลลังก์พระที่นั่งของพระเจ้าแผ่นดินนั้นวิจิตรและสง่างามเหลือจะพรรณนา มีฝีพายประจำเรือประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบคนกับพายปิดทองทั้งเล่ม พระเจ้าแผ่นดินทรงเครื่องฉลองพระองค์ประดับล้วนด้วยเพชรนิลจินดา ฝีพายของพระองค์ทุกคนสวมเสื้อเกราะอ่อนมีผ้าพันแขนเป็นเครื่องหมาย และสวมลอมพอกทองคำเนื้อตัน และที่เท้าของเขาแต่ละคนมีหอก, ดาบและปืนคาบศิลาวางอยู่ฯ