ไม่มีปางนี้มาก่อน ผม "ตั้งขึ้นมา" เอง โบราณาจารย์ท่านตั้งไว้หลายปาง แต่ก็ยังไม่หมด น่าจะคิดขึ้นอีกหลายๆ ปาง โดยเอาเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของพระพุทธองค์เป็นหลัก เพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงพระมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ ของพระบรมศาสดา
เรื่องที่พระพุทธเจ้าประทานบาตรและจีวรแก่พระมหากัสสปะนี้ มีกล่าวถึงจริงในตำรา และมีนัยสำคัญในกาลต่อมา คือเป็นพันธะทางใจที่พระมหากัสสปะพึงสนองพระมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่นี้ในภายหลัง และพุทธศาสนิกฝ่ายเซน ถือเป็นที่มาของนิกายเซนด้วย จะเล่าให้ฟัง ตามผมมา (ไม่ตามจะรู้หรือ ปานนั้นเชียว)
พระมหากัสสปะ เป็นพระที่เคร่งครัดมาตั้งแต่บวชใหม่ๆ (ความจริงแล้วเคร่งมาก่อนบวชอีก เมื่อพ่อแม่จับแต่งงาน ก็มิได้อยู่กับภรรยา ดังคู่อื่นเขา เป็นสามีภรรยาแต่ในนาม ทั้งสองตกลงใจออกบวช เพราะมีความประสงค์ตรงกัน) เมื่อบวชแล้ว ท่านก็ถือธุดงควัตร ๓ ข้ออย่างเคร่งครัดคือ ถือบิณฑบาตเป็นวัตร (คือเป็นนิตย์) ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร อยู่ป่าเป็นวัตร
เฉพาะอย่างที่สองนั้น ทำให้พระท่านลำบากมิใช่น้อย ผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งไว้คลุกฝุ่น ส่วนมากก็เป็นเศษผ้าที่เขาไม่ใช้ หรือใช้ไม่ได้ อย่างดีก็เป็นผ้าที่เขาห่อศพเอาไปทิ้ง พระท่านก็จะเอาผ้าเหล่านั้นมาเย็บเป็นจีวร ย้อมด้วยน้ำฝาด คิดดูก็แล้วกัน มันจะปุปะขนาดไหน ที่แน่ๆ คือคงหนักน่าดู ยิ่งเวลาเปียกฝน ก็แทบจะ "ลาก" ไปไม่ไหว
พระมหากัสสปะ ท่านเป็นพระผู้เฒ่าด้วย คงลำบากมาก พระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาคุณแก่พระมหากัสสปะ ถึงกับตรัสว่า ไม่ต้องถือธุดงควัตรก็ได้ เพราะท่านก็เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ หมดกิเลสแล้ว กิจด้วยการถือปฏิบัติขัดเกลาไม่จำเป็นแล้ว แต่ท่านก็กราบทูลพระบรมศาสดาว่าจำเป็นต้องถือ
คำกราบทูลของท่านนั้น น่าจะจดจำเอาเป็นแบบอย่างในภายหลังกันให้มาก
ท่านกราบทูลว่า "ข้าพระองค์มิได้ถือธุดงควัตร เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง หากเพื่ออนุเคราะห์อนุชนภายหลัง" (ปัจฉิมาชนตาย อ่านว่า "ปัด-ฉิม-มา-ชะ-นะ-ตา-ยะ" ขอรับ) นี้คือพระอรหันตสาวกของพระพุทธองค์ ท่านมิได้ทำอะไรเพื่อประโยชน์แก่ตัวท่านอย่างเดียว หากจะทำอะไรต้องคำนึงถึงอนุชนภายหลังด้วย คือพยายามวางแบบอย่างที่ดีงามให้คนภายหลังได้ประพฤติปฏิบัติตาม เป็นความกรุณาอันยิ่งใหญ่นัก
พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า พระมหากัสสปะลำบากในการครองจีวรอันหนาเตอะนั้น จึงประทานจีวรของพระองค์ให้พระมหา กัสสปะ ทรงรับเอาจีวรของพระมหากัสสปะมาห่มเสียเอง นัยว่าประทานบาตรให้ท่านด้วย
พระมหากัสสปะจึงสำนึกในพระมหากรุณาครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง ได้สนองงานพระศาสนาตามความถนัดของตนตลอดมา เมื่อครั้งพาเหล่าศิษย์เดินทางไปยังเมืองกุสินารา เพื่อเฝ้าพระพุทธองค์ที่ทรงประชวรหนัก ไปไม่ทัน พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานก่อน ได้ถามข่าวคราวจากปริพาชกคนหนึ่ง ที่ถือดอกมณฑารพเดินสวนทางมา
ได้ทราบจากปริพาชกนั้นว่า พระบรมศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพานก่อนหน้านั้น ๗ วันแล้ว เหล่าภิกษุสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ก็นั่งนิ่งปลง "ธรรมสังเวช" ฝ่ายที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ก็ร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ในพระพุทธองค์
ปางประทานบาตรและจีวร (จบ)
ภิกษุแก่รูปหนึ่งนามว่า สุภัททะ ได้ปลอบโยนภิกษุเหล่านั้นว่า อย่าได้ร้องไห้เสียใจเลย ควรจะดีใจเสียอีก เพราะขณะทรงพระชนม์อยู่ พระศาสดาทรงจู้จี้สารพัด ห้ามนั่นห้ามนี่ จะเหยียดแขนเหยียดขาก็ยาก ดูเหมือนจะผิดไปหมด บัดนี้พวกเราเป็นอิสระแล้ว อยากทำอะไรก็ได้ตามปรารถนา
วาทะอันเป็นดุจหนามแทงใจนี้ ได้ยินไปถึงหูของพระมหากัสสปะ ท่านเกิดความสลดใจว่า พระบรมศาสดาปรินิพพานยังไม่ทันไรเลย สาวกยังพูดจ้วงจาบพระธรรมวินัยปานนี้ ถ้ากาลล่วงเลยไปนานเข้า จะเกิดภัยอันยิ่งใหญ่แก่พระศาสนาแน่นอน
เมื่อถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเสร็จแล้ว ท่านมหากัสสปะจึงดำเนินการเพื่อร้อยกรองพระธรรมวินัยให้เป็นระบบระเบียบ ก่อนลงมือทำงาน ท่านก็มานั่งรำพึงอยู่คนเดียว
รำพึงอะไร รำพึงถึงพระมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ที่มีต่อตัวท่าน
ขอคัดเอาคำรำพึงของท่านมาลงเลยดีไหม ไม่ต้องฟังจาก version ของผม เอาของจริงเลย
"ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ ปาปภิกฺขู อีตสตฺถุ ปาวจนนฺติ มญฺญานา ปกฺขํ ลภิตฺวา นจิรสเสว สทฺธมฺมํ อนฺตรธาเปยฺยุ อุตฺริมนุสฺสธมฺเม อตฺตนา สมสมฏฺฐาเน จ อนุคฺคหิโต ตสฺส เม กิมญฺญํ อาณณฺยํ ภวิสฺสติ...อิมินา อสาธารเณน อนุคฺคเหน อนุคฺคเหสิ จินฺตยนฺโต ธมฺมวินยสงฺ คายนตถํ ภิกฺขูนํ อุสฺสาหํ ชเนสิ"
แปลเป็นไทยว่า เป็นไปได้ ที่ภิกษุบาปทั้งหลายจะคิดว่า พระศาสนาไม่มีศาสดาแล้ว ได้สมัครพรรคพวกแล้วก็จะทำให้พระสัทธรรมอันตรธาน เราเองพระพุทธองค์ให้เกียรติยกไว้ในฐานะเสมอกับพระองค์ ในด้านอุตริมนุสสธรรม ทางอื่นจะปลดเปลื้องหนี้ไม่มี พระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์เราด้วยการสงเคราะห์นี้ ที่ไม่ทั่วไปแก่คนอื่น คิดดังนี้ พระมหากัสสปะจึงชักชวนให้ภิกษุทั้งหลายคิดสังคายนาพระธรรมวินัย
คำว่า "ทรงสงเคราะห์ด้วยการสงเคราะห์ที่ไม่ทั่วไปแก่คนอื่น" ท่านมหากัสสปะหมายเอาการที่พระองค์ประทานบาตรและ จีวรให้ท่าน
นับเป็นกรณีพิเศษจริงๆ เพราะไม่ปรากฏว่าประทานให้สาวกรูปใด นอกจากท่านมหากัสสปะ
ชาวพุทธนิกายเซน จึงยกเอาเหตุการณ์ครั้งนี้ไปสร้างเป็น "นิทาน" (ในที่นี้แปลว่าต้นเหตุ) แห่งการเกิดขึ้นของนิกายเซน
โดยเล่าว่า พระพุทธเจ้าประทาน "เซน" แก่พระมหากัสสปะ พร้อมมอบบาตรและจีวรให้ด้วย พระมหากัสสปะก็ถ่ายทอดแก่พระอานนท์ พระอานนท์ก็ถ่ายทอดต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงพระโพธิธรรม (หรือ ตั๊กม้อโจวซือ) ตั๊กม้อ จีน ก็ไปถ่ายทอดต่อๆ กันไป จนถึงเว่ยหล่าง หรือ ฮุยเน้ง
ฮุยเน้ง ยกเลิกประเพณีการมอบบาตรและจีวร เพราะท่านเองกว่าจะมีโอกาสเผยแพร่พระศาสนา ก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน หนีการตามไล่ล่าแย่งเอาบาตรและจีวรสิครับ รายละเอียดเคยเขียนไว้ใน ธรรมะของท่านพุทธทาส แล้ว โปรดหาอ่านเอาเทอญ
ปางโปรดสุภมาณพ (๑)
มาณพหนุ่มคนนี้เป็นบุตรเศรษฐีมีสมบัติสี่สิบห้าโกฏิ (คำนวณเอาก็แล้วกันว่ามากขนาดไหน) พ่อสุภมาณพเป็นคนขี้เหนียว ฝังทรัพย์ไว้ในดิน ไม่บอกให้ใครรู้จำนวนหนึ่ง เมื่อถึงแก่กรรมลงไป สุภมาณพเป็นผู้สืบทอดมรดก ไม่รู้ว่าสมบัติมหาศาลส่วนหนึ่งพ่อฝังไว้ในดิน แต่ที่เหลืออยู่ก็มหาศาล กินใช้ชั่วชีวิตไม่หมด
โตเทยยพราหมณ์ไม่ได้ทำบุญทำทานแม้แต่ครั้งเดียว เพราะกลัวทรัพย์จะหมดเปลืองด้วยการให้ทาน แถมยังสอนลูกๆ มิให้ประมาทในการใช้จ่ายทรัพย์ ทรัพย์ที่มีถึงจะมากก็มีวันหมดไปได้ดุจเดียวกับยาหยอดตา หยอดบ่อยๆ ก็หมดขวด หมั่นสะสมทรัพย์ที่เล็กๆ ดุจปลวกก่อจอมปลวก แมลงผึ้งสะสมน้ำหวาน
ตายไป เกิดเป็นสุนัขในบ้านของตนเพราะห่วงขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ สุภมาณพผู้บุตรก็เลี้ยงลูกสุนัขตัวนั้นด้วยความรัก ให้กินอาหารอย่างดี ให้นอนบนที่นอนอย่างดี สุนัขมันก็รักสุภมาณพมากเช่นกัน เพราะความผูกพันที่มีแต่ปางก่อน
เช้าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตในเมือง เสด็จผ่านไปยังคฤหาสน์ของสุภมาณพ สุนัขตัวโปรดของมาณพเห่าพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสเรียกมันว่า "โตเทยยะ เมื่่อก่อนแกไม่เห็นความสำคัญของเรา มาบัดนี้ยังจะมาเห่าเราอีก แกจะไปเกิดในอเวจีแล้ว"
สุนัขเลิกเห่า วิ่งหางจุกตูดไปนอนคลุกขี้เถ้าข้างเตาไฟ ไม่ยอมขึ้นนอนบนที่นอนหรูหราเหมือนเช่นเคย
สุภมาณพกลับจากทำธุระนอกบ้านเห็นอาการของหมาตัวโปรดผิดปกติไป จึงซักถามคนในบ้านว่าเกิดอะไรขึ้นกับสุนัขตัวโปรดของเขา ใครทำอะไรมัน ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่มีใครทำอะไร มีแต่พระพุทธเจ้าดุมันเมื่อมันเห่าพระองค์ โดยตรัสเรียกว่า "โตเทยยะ"
สุภมาณพได้ยินก็หูร้อนทันที คิดว่าพระพุทธองค์หมิ่นประมาทพ่อเขาและเขาอย่างแรง "ใครๆ ก็เข้าใจว่า พ่อเราไปเกิดในพรหมโลก ทำไมพระสมณะโคดมมาดูหมิ่นกันปานนี้" ไม่รอให้พระพุทธองค์เสด็จมาในวันรุ่งขึ้น เพราะไม่ทันใจ จึงรีบไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่พระเชตวันเลยทีเดียว
ปางโปรดสุภมาณพ (จบ)
ไปถึงก็ต่อว่าพระพุทธองค์ หาว่าดูหมิ่น กล่าวหาว่าพ่อตนเป็นหมา พระพุทธองค์ตรัสว่า มิได้ดูหมิ่นเขาแต่ประการใด ที่ตรัสนั้นเป็นความจริง บิดาเขาเกิดเป็นสุนัขตัวนั้นจริงๆ แล้วตรัสถามเขาว่า
“มาณพ ทรัพย์สมบัติที่บิดาเธอมิได้บอกมีไหม”
“มีมาลาทองราคาแสนหนึ่ง รองเท้าทองราคาแสนหนึ่ง ถาดทองราคาแสนหนึ่ง และกหาปณะอีกแสนหนึ่ง หายไป” มาณพกราบทูล
“มาณพ วันนี้เธอกลับไปบ้านให้อาหารอย่างดีแก่สุนัขของท่าน ให้มันนอนบนที่นอนหรูหรา เมื่อมันใกล้จะหลับ ให้กระซิบถามมันว่า พ่อ พ่อซ่อนสมบัติที่เหลือไว้ไหน สุนัขจะพาท่านไปยังที่ฝังทรัพย์”
สุภมาณพกลับไปคฤหาสน์ของตนด้วยความคิดสองประการคือ (๑) ถ้าไม่พบขุมทรัพย์ตามที่บอกจริง คอยดูเถอะเราจะเล่นงานพระสมณะโคดมให้เข็ด (๒) ถ้าพบจริง เราก็จะยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นสัพพัญญูจริงๆ จัดการตามที่ตรัสบอกทุกอย่าง
เมื่อสุนัขตัวโปรดใกล้จะหลับ ก็กระซิบถามว่า “พ่อ พ่อเอาสมบัติไว้ที่ไหน”
ทันใดนั้นสุนัขตัวโปรดก็ลุกขึ้น ร้องและกระดิกหางด้วยความดีใจว่า ลูกชายจำตนได้แล้ว จึงวิ่งลงไปหลังคฤหาสน์ เห่าพลางเอาเท้าคุ้ยดิน
สุภมาณพสั่งให้ขุดตรงนี้ พบสมบัติที่หายไปตามที่พระพุทธองค์ตรัสบอกจริงๆ เขาจึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลถามข้อข้องใจ ๑๔ ข้อ ได้รับวิสัชนาจนหายสงสัย จึงประกาศตนถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต แต่บัดนั้นมา
ปางโปรดสุภัททะ ปัจฉิมสาวก
พระอานนท์ พุทธอนุชา ปรนนิบัติพระพุทธองค์อยู่ รู้ว่าพระอาการประชวรหนักหนาสาหัสมาก ไม่ควรอนุญาตให้ใครเข้าเฝ้า เป็นการรบกวนพระยุคลบาท สุภัททะมาถึงก็ขอเข้าเฝ้าพระอานนท์ไม่ยินยอมให้เข้าเฝ้า เขาก็ยังยืนกรานขอเข้าเฝ้าให้ได้ หาไม่เขาจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
เสียงโต้เถียงกันแว่วไปถึงพระกรรณพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสถามผ่านพระวิสูตรว่า เสียงใคร พระอานนท์กราบทูลว่ามีมาณพคนหนึ่งยืนกรานจะเข้าเฝ้าให้ได้ ข้าพระพุทธองค์เห็นว่ามิบังควรเข้าเฝ้าเป็นการรบกวนเบื้องพระยุคลบาท พระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณา รับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า สุภัททะเข้าไปถวายบังคม แล้วกราบทูลถามว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมณะพราหมณ์ที่เป็นเจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ เป็นเจ้าลัทธิ มีชื่อเสียง ชนเป็นอันมากยอมรับว่าเป็นคนดี คือ ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาละ อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถ์นาฏบุตร ได้ตรัสรู้ตามปฏิญญาของตนๆ ทั้งหมด หรือว่าไม่ได้ตรัสรู้ หรือว่าบางพวกได้ตรัสรู้ บางพวกไม่ได้ตรัสรู้"
พระพุทธองค์ตรัสว่า "สุภัททะ ข้อนั้นยกไว้ก่อนเถิด เราจะแสดงธรรมให้ฟัง จงตั้งใจฟังธรรมนั้นให้ดี สุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคมีองค์แปด ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔ ในธรรมวินัยใดมีอริยมรรคมีองค์แปด ในธรรมวินัยนั้นมีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔ ดูก่อนสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้นมีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔ ลัทธิอื่นๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง
ดูก่อนสุภัททะ หากภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์"
มีเรื่องขอแทรกตรงนี้นิดหนึ่ง ๒ ประเด็นคือ
(๑) พระพุทธองค์จะไม่ทรงเสียเวลาสนทนาเรื่องที่นอกประเด็น หรือไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง ยิ่งเป็นการทับถมลัทธิศาสนาอื่น แม้ว่าจะมีผู้ถามนำก็ตาม พระองค์จะไม่ต่อประเด็น ดังสุภัททะทูลถามว่า ครูทั้งหก อันมีปูรณกัสสปะ เป็นต้น ตรัสรู้จริงหรือเปล่า พระองค์ก็ตัดบทว่า เรื่องนั้นยกไว้ก่อนเถิดเราจะแสดงธรรมให้ฟัง จงตั้งใจฟังธรรม
เมื่อครั้งพระเจ้าอชาตศัตรูเข้าเฝ้า ก็ถามในทำนองเดียวกันว่าปูรณกัสสปะ เป็นต้น ใครสอนธรรมมีเหตุมีผลมากกว่ากัน พระองค์ก็ตัดบทว่าอย่าไปสนใจเลยว่าใครจะสอนมีเหตุมีผลมากกว่าใคร เราตถาคตจะแสดงธรรมให้ฟัง
(๒) สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ หมายถึง พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ลัทธิศาสนาใดไม่สอนอริยมรรคมีองค์แปด ลัทธิศาสนานั้นไม่มีพระอริยบุคคลทั้ง ๔ ระดับนี้
พระพุทธวจนะที่ตรัสว่า "ถ้าภิกษุทั้งหลายพึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์" คำว่า "อยู่โดยชอบ" คือปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด สรุปลงเป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือสรุปให้สั้นกว่านั้นคือ สมถะ กับ วิปัสสนา
ปัจจุบันนี้คนชอบถามว่า มีพระอรหันต์หรือเปล่า ถ้าถูกถามอย่างนั้น เราควรย้อนถามว่าเดี๋ยวนี้มีผู้ปฏิบัติถูกต้องตามอริยมรรคมีองค์แปดหรือเปล่าล่ะ ถ้ามี พระอรหันต์ก็มี ถ้าไม่มีผู้ปฏิบัติถูกต้องตาม อริยมรรคมีองค์แปด พระอรหันต์ก็ไม่มี
สุภัททะ ฟังพระธรรมเทศนาโดยย่อแล้ว ประกาศตนเป็นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ทูลขอบวช เนื่องจากสุภัททะเป็นเดียรถีย์คือนับถือศาสนาอื่นมาก่อน การจะบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาได้ต้องผ่านการอยู่ "ปริวาส" (คืออยู่ปฏิบัติทดสอบศรัทธา) เป็นเวลา ๔ เดือนก่อน จึงจะบวชได้ แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าไม่มีเวลาแล้ว จึงทรงอนุญาตให้เธอบวชเป็นกรณีพิเศษ โดยประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้ด้วยพระองค์เอง
เป็นอันว่า พระสุภัททะ ได้เป็นพระสาวกรูปสุดท้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คำว่า "สาวกสุดท้าย" หมายถึงสาวกที่พระพุทธเจ้าประทานการอุปสมบทให้เอง มิใช่หมายความว่า หลังจากพระสุภัททะแล้ว ไม่มีใครบวชในพระพุทธศาสนาเลย หามิได้
ปางนี้ เป็นเรื่องที่ประทานมรดกธรรม หรือพระพุทธวจนะตอนเกือบสุดท้าย ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ประทานคำสอน อันเป็นประดุจมรดกธรรม ให้เหล่าสาวกสืบทอดต่อๆ กันไป ไว้หลายเรื่องด้วยกัน อาทิ
๑.เกี่ยวกับอนาคตพระพุทธศาสนา พระองค์ตรัสประทานหลักการกว้างๆ ไว้ว่า "อานนท์ต่อไปภายหน้า ถ้าสงฆ์ประสงค์จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยบ้างก็ได้"
ทรงมองเห็นการณ์ไกลว่า ในอนาคตเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป พระสงฆ์อาจประสบความลำบากในการรักษาสิกขาบทวินัยบางข้อ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป พระองค์จึงมีพุทธานุญาตให้ยกเลิกสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ บ้างก็ได้ แต่ต้องเป็นความเห็นร่วมกันของสงฆ์ มิใช่ผู้ใดผู้หนึ่งจะยกเลิกเอาเองโดยพลการ เนื่องจากพระอานนท์มิได้ทูลถามว่าสิกขาบทเล็กน้อยคือข้อใดบ้าง พระสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป ที่ประชุมสังคายนาพระธรรมวินัย หลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน จึงไม่ยอมยกเลิก มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า จะคงไว้ตามเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มติที่ว่านี้เรียกว่า "เถรวาท" (แปลว่าข้อตกลงของพระเถระทั้งหลาย) ต่อมาเมื่อเกิดมีนิกายขึ้น คำว่าเถรวาท กลายเป็นชื่อนิกายดั้งเดิม และดำรงอยู่มาจนปัจจุบัน
๒.เรื่องมหาปเทส (ข้ออ้างใหญ่) ๔ ประการ ทรงมองเห็นการณ์ไกลอีกเช่นกันว่า ต่อไปในอนาคตอันยาวไกล คงจะต้องมีข้อสงสัยเกิดขึ้นว่า บางเรื่องไม่ปรากฏว่ามีห้ามไว้ หรืออนุญาตไว้จะยึดถืออย่างไร จึงจะรู้ว่าถูกหรือผิด พระพุทธองค์จึงประทานหลักสำหรับตรวจสอบเทียบเคียงอันเรียกว่า "มหาปเทส" มี ๔ ประการ คือ
(๑) หากภิกษุกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้สดับฟังมาเฉพาะพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นสัตถุสาสน์
(๒) หากมีภิกษุกล่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น มีสงฆ์อยู่ พร้อมด้วยพระเถระ พร้อมด้วยปาติโมกข์ ข้าพเจ้าได้สดับตรับฟังมาเฉพาะหน้าสงฆ์ ว่านี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นสัตถุสาสน์
(๓) หากมีภิกษุกล่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น มีภิกษุผู้เป็นเถระจำนวนมาก เป็นพหูสูต ถึงอาคม (หมายถึงเชี่ยวชาญในพุทธวจนะ) ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท) ข้าพเจ้าสดับตรับฟังมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้น
(๔) หากมีภิกษุกล่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น มีภิกษุผู้เป็นเถระรูปหนึ่ง เป็นพหูสูต ถึงอาคม ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าสดับตรับฟังมาเฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นสัตถุสาสน์
ปางประทาน มรดกธรรม (จบ)
เธอทั้งหลาย ยังไม่พึงชื่นชม ยังไม่พึงคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุนั้น พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดีแล้ว พึงสอบดูในพระสูตร เทียบดูในพระวินัย ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้นสอบลงในพระสูตร เทียบเข้าในพระวินัยไม่ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า นี้มิใช่ดำรัสของพระผู้มีพระภาค ภิกษุนี้ (สงฆ์นั้น, พระเถระเหล่านั้น, พระเถระรูปนั้น) ถือไว้ผิด พึงทิ้งเสีย
ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในพระสูตรได้ เทียบเข้าในพระวินัยได้ พึงลงสันนิษฐานว่า นี้เป็นดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแน่แท้ ภิกษุนั้น (สงฆ์นั้น, พระเถระเหล่านั้น, พระเถระรูปนั้น) รับมาด้วยดี
กล่าวโดยสรุปก็คือ การยกข้ออ้างเพื่อพิสูจน์ว่า ใช่ธรรม ใช่วินัย ใช่สัตถุสาสน์ของพระผู้มีพระภาคหรือไม่ มีหลักอยู่ ๔ ข้อ
(๑) พุทธาปเทส = ยกพระพุทธเจ้าขึ้นอ้าง
(๒) สังฆาปเทส = ยกพระสงฆ์ขึ้นอ้าง
(๓) สัมพหุลเถราปเทส = ยกพระเถระหลายรูปขึ้นอ้าง
(๔) เอกเถราปเทส = ยกพระเถระรูปเดียวขึ้นอ้าง
ถ้าเขายกพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ทั้งปวง พระเถระหลายรูป พระเถระรูปเดียวขึ้นมาอ้าง ก็ให้ตรวจสอบกับพระสูตร พระวินัย ว่าเข้ากันได้ ลงกันได้ไหม ถ้าเข้ากันไม่ได้ ลงกันไม่ได้ ก็ไม่ควรเชื่อถือ ถ้าเข้ากันได้ ลงกันได้ ก็ควรถือปฏิบัติ
นอกจากนี้ยังมี มหาปเทส ทางพระวินัยอีก ๔ ข้อที่ตรัสไว้ในที่อื่น โดยสรุปคือ (๑) สิ่งใดที่ไม่ทรงห้ามไว้ แต่ขัดกับสิ่งที่ควรทำ นับว่าไม่ควร (๒) ไม่ได้ห้ามไว้ แต่เข้ากับสิ่งที่ควรทำ นับว่าควร (๓) สิ่งใดที่ไม่อนุญาตไว้ แต่ขัดกับสิ่งที่ควร นับว่าไม่ควร (๔) ไม่ได้อนุญาตไว้ แต่เข้ากับสิ่งที่ควรทำ นับว่าควรหลักมหาปเทส หรือข้ออ้างใหญ่ ทั้งด้านธรรม และด้านวินัย เมื่อพระศาสดาไม่อยู่แล้ว ถ้าเกิดข้อถกเถียงกัน หรือไม่แน่ใจ ว่าอย่างไหนควรทำ อย่างไหนไม่ควรทำ ก็จะได้อาศัยตรวจสอบเทียบเคียง ถ้าลงรอย เข้ากันได้ ก็พึงเชื่อถือ ถ้าลงรอยกันไม่ได้ก็ไม่พึงเชื่อถือ
นี้เป็นมรดกธรรมอันยิ่งใหญ่ที่ทรงฝากไว้ให้เหล่าสาวกในภายหลังของพระพุทธองค์ นอกจากพระธรรมวินัยอันเป็นมรดกใหญ่แล้ว ยังมีมหาปเทส อันเป็นเสมือนหลักสำหรับดูแลรักษาพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ควบคู่กันไปด้วย
นับว่าชาวพุทธมีโชคดี เป็นพุทธโอรสที่ได้รับมรดกอันมหาศาล
ที่มา คอลัมน์ "ฟ้าสางเมื่อใกล้ค่ำ"
โดย ศาสตราจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก
หนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด
โดย ศาสตราจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก
หนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด