ภาพนี้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือต่อต้านสงคราม
โลกสงบสุข... แต่ชีวิตนายพลเหงียนพังทลาย
แม้จะได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ แต่อดัมส์ก็รู้สึกผิดต่อนายพลเหงียนอย่างยิ่ง
ภายหลังเขาไปหาท่านนายพลที่ร้านพิซซ่า แต่ก็ไม่พบ
พบแต่เพียงข้อความถูกเขียนอยู่บนผนังร้านว่า "กูรู้ว่ามึงเป็นใคร ไอ้แม่เย็ด" ("We know who you are, fucker")
อดัมส์เขียนลงในนิตยสาร Time ว่า
"มีคนสองคนที่ตายในภาพนี้ คือ ผู้รับกระสุน และนายพลเหงียน ง่อก โลน
ท่านนายพลฆ่าเวียดกง แต่ผมฆ่าท่านนายพลด้วยกล้องของตัวเอง..."
ภาพถ่าย เป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดบนโลกใบนี้ ผู้คนเชื่อมันอย่างหมดใจ แม้ว่าจะถูกมันหลอกลวง หรือยังมีความจริงอีกครึ่งนึง
ที่ไม่ถูกบอกเล่า
สิ่งที่ภาพถ่ายไม่ได้บอก คือ "แล้วคุณจะทำอย่างไร ถ้าคุณเป็นท่านนายพลในเวลานั้น ในวันที่เดือดที่สุดของสงครามอันโหดร้าย
และคุณสามารถจับฆาตกรที่สังหารคนบริสุทธ์เป็นจำนวนมากได้"
ภาพถ่ายนี้ ทำลายชีวิตของเขา แต่เขาไม่เคยกล่าวโทษผม เขาบอกแต่เพียงว่า แม้คุณจะไม่ถ่ายมัน แต่ก็จะมีคนอื่นทำอยู่ดี
แต่ผมรู้สึกผิดต่อเขาและครอบครัวเขาเสมอมา ผมส่งดอกไม้ไปให้ เมื่อได้ยินว่าเขาเสียชีวิตแล้ว และเขียนว่า
"ผมเสียใจ และร้องไห้อย่างสุดซึ้ง"
เมื่อนายพลเหงียนเสียชีวิต อดัมส์ได้ไปร่วมงานศพเขา และได้เขียนถ้อยคำสดุดีว่า...
"คนนี้ คือ วีรบุรุษที่แท้จริง
ชาวอเมริกันควรจะร่ำไห้ให้เขา
ผมรู้สึกเจ็บใจที่มันกลายเป็นอย่างนี้ โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย
นอกจากเพียงในภาพภาพเดียวเท่านั้น"
เทียบระหว่างก่อนอ่านกับหลังอ่านแล้ว ลองถามตัวเองว่าความคิดของคุณเปลี่ยนไปหรือเปล่า ?
นั่นแหละครับ พลังทำลายล้างของภาพถ่าย 1 ภาพ
ที่มาเฟสบุ๊ค Rungroj Prachyakoon