[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: sometime ที่ 25 เมษายน 2553 09:22:59



หัวข้อ: the attitude about the death of the Muslim
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 25 เมษายน 2553 09:22:59
(http://image.ohozaa.com/it/mxouh.jpg)


สัจธรรมข้อหนึ่งที่ทุกคนรู้ดี คือ ทุกชีวิตต้องลิ้มรสความตาย แต่ในศาสนาอิสลามนั้น ความตายมิได้เป็นการสิ้นสุดหรือจุดสุดท้ายของชีวิต
หากเป็นจุดเริ่มต้นที่จะก้าวไปสู่ชีวิตที่แท้จริงและเป็นนิรันดร์ อิสลามถือว่าชีวิตในโลกนี้คือการเตรียมตัวสำหรับชีวิตในโลกหน้าอันถาวร
ชาวมุสลิมเชื่อว่า เมื่อมนุษย์เสียชีวิตลง วิญญาณของทุกคนจะไปรวมตัวกันอยู่ในโลกหนึ่งที่เรียกว่า "บัรซัค" อันเป็นโลกที่คั่นกลางระหว่างโลกนี้กับโลกหน้า ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับการฝังอย่างถูกต้องหรือไม่ก็ตาม จนกระทั่งวันแห่งการสิ้นสุดมาถึง ทุกชีวิตจะถูกทำให้ฟื้นขึ้นเพื่อรอรับการตัดสินการกระทำต่างๆ ที่เขากระทำไว้ขณะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
เมื่อมนุษย์ถูกฝังอยู่ในสุสานหรืออยู่ในโลกของบัรซัค จะมีมาลาอีกะฮ์ (เทวฑูต) 2 ท่าน มาสอบสวนพฤติกรรมของผู้ตาย หากผู้ตายเป็นคนดี ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเคร่งครัด เขาก็จะตอบคำถามของมาลาอีกะฮ์เกี่ยวกับศรัทธาและบทบัญญัติต่างๆ ของศาสนาได้อย่างง่ายดาย หากผู้ตายเป็นคนชั่ว ก็จะหลงลืมคำตอบเสียสิ้น แม้จะเคยรู้คำตอบดีก็ตาม สำหรับผู้ที่ตอบคำถามได้ ระหว่างที่อยู่ในโลกบัรซัค เขาก็จะได้ความสุขสบายดุจอยู่ในสรวงสวรรค์ ส่วนผู้ที่ตอบคำถามไม่ได้ ก็จะถูกมาลาอิกะฮ์ลงทัณฑ์อย่างเจ็บปวดทรมาน




.............................ขั้นตอนพิธีศพ.............................



หลักการปฏิบัติต่อศพของผู้ตาย อันเป็นข้อบังคับที่ศาสนาอิสลามบัญญัติไว้มี 4 ประการ คือ
1) ต้องอาบน้ำให้
2) ต้องห่อศพให้
3) ต้องละหมาดให้
และ 4) ต้องนำศพไปฝัง ดังรายละเอียดต่อไปนี้................................................
1) การอาบน้ำศพ - หากผู้ตายเป็นชาย ผู้อาบน้ำให้ควรเป็นชาย หากผู้ตายเป็นหญิง ผู้อาบน้ำให้ควรเป็นหญิง ทั้งนี้ผู้อาบน้ำศพควรเป็นคนที่เชื่อถือได้
จุดประสงค์ของการอาบน้ำศพคือเพื่อให้ศพสะอาด วิธีการอาบ เริ่มด้วยการชำระล้างสิ่งสกปรก เอาน้ำรดทั่วร่างกาย จากนั้นจึงรดด้วยน้ำใบพุทราสลับกับน้ำสะอาด 3 ครั้ง แล้วใช้พิมเสนรดเป็นน้ำสุดท้าย โดยเริ่มจากด้านขวาก่อน จากนั้นจึงอาบน้ำละหมาดให้ผู้ตาย เสร็จแล้วเอาสำลีหรือผ้า
สะอาดซับน้ำให้แห้ง
2) การห่อศพ เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ห่อศพผู้ตายโดยใช้ผ้าสะอาดอย่างน้อยหนึ่งผืนห่อให้มิดชิดตลอดทั้งร่างกาย แต่การห่อศพที่ดีนั้น ศพผู้ชายควรห่อด้วยผ้า 3 ชั้น ส่วนศพผู้หญิงควรห่อด้วยผ้า 5 ชั้น วิธีห่อศพ เริ่มจากปูผ้าลงไป แล้วเอาของหอม เช่น ผงไม้จันทน์ พิมเสน โรยลงบนผ้า เอาผ้าผืนที่สองทับ แล้วโรยของหอมอีกจนครบผ้าทุกชั้น จากนั้นจึงยกศพมาวางบนผ้าโดยให้นอนหงายเหยียดตรง เอามือทั้งสองข้างวางบนอก โดยให้มือขวาทับมือซ้าย เอาสำลีซึ่งคลุกด้วยของหอมแปะไว้ตามซอกหรือข้อพับของร่างกายและที่จมูก แล้วจึงพับผ้าห่อศพโดยตลบชายผ้าด้านซ้ายมาทางขวา และตลบชายผ้าด้านขวามาทางซ้ายทีละชั้น ๆ จนเสร็จ จึงรวบชายผ้าหัวท้ายผูกไว้ทั้ง 2 ด้าน และผู้ระหว่างตัว 2-3 เปลาะ เพื่อไม่ให้เปิดออกขณะนำไปฝัง


หัวข้อ: Re: the attitude about the death of the Muslim
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 25 เมษายน 2553 09:28:59
(http://image.ohozaa.com/it/mxouh.jpg)


3) การละหมาดศพ - อิหม่ามหรือผู้นำละหมาดควรเป็นญาติใกล้ชิดทางสายโลหิตของผู้ตาย วิธีการเริ่มจาก นำผู้ตายไปวางยังที่จะทำพิธีละหมาดญะนาซะห์ ศพ โดยวางศพตามขวางกับทิศอันเป็นที่ตั้งของเมืองมักกะฮ ประเทศซาอุดิอารเบีย ศพผู้ชายให้หันศีรษะไปทางทิศใต้ ศพผู้หญิงหันศีรษะไปทางทิศเหนือ ข้อบังคับในการละหมาดญะนาซะห์ มี 7 ประการ คือ (1) ยืนตรงหันหน้าไปทางศพ (2) ตักบีร คือกล่าวว่า อัลลอฮผู้ยิ่งใหญ่ ครั้งที่ 1 พร้อมเนียต ตั้งเจตนา (3) อ่านบิสมิ้ลลาและฟาติฮะห์จนจบ (4) ตักบรีครั้งที่ 2 แล้วอ่านซอละวัตนาบี คำสรรเสริญศาสดามุฮัมมัด (5) ตักบีรครั้งที่ 3
แล้วอ่านดูอา ขอพร (6) ตักบรีครั้งที่ 4 แล้วอ่านดุอาอีก (7) กล่าวสลาม เมื่อเสร็จพิธีละหมาดแล้วรีบนำศพไปฝังที่กุโบร์ สุสาน
4) การฝังศพ - การฝังนั้นต้องขุดหลุมให้ลึกพอที่จะระงับกลิ่นที่จะมีในภายหลัง และป้องกันสัตว์ร้ายมาคุ้ยเขี่ยศพ โดยปกติจะขุดหลุมลึกประมาณ 2 เมตร กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร วิธีการฝัง ให้ญาติพี่น้องใกล้ชิดเป็นผู้นำศพลงหลุม โดยวางนอนตะแคงขวา หันหน้าไปทางทิศอันเป็นที่ตั้งของเมืองมักกะฮ
หลักการใหญ่ ๆ ของพิธีศพมี 4 ข้อดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น แต่ในสังคมมุสลิมเองก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เข้าใจหลักการใหญ่ๆ ของพิธีศพ ทำให้มีการปฏิบัติที่แตกต่างหลากหลาย มีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป
สำหรับการไปร่วมงานศพของคนต่างศาสนานั้น ชาวมุสลิมสามารถทำได้ในเงื่อนไขที่ว่า ไปเพื่อปลอบทุกข์หรือแสดงความเห็นใจแก่ครอบครัวหรือญาติของผู้ตาย แต่จะร่วมทำพิธีกรรมทางศาสนาไม่ได้



................................กรณีศพที่ไม่ได้เสียชีวิตตามปกติ........................



ที่กล่าวมีข้างต้นเป็นพิธีศพของศพที่เสียชีวิตตามปกติ แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตที่ไม่ปกติขึ้น เช่น กรณีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์การปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มัสยิดกรือเซะ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 หรือกรณีผู้เสียชีวิต 85 ศพจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมประท้วงที่ตากใบเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตที่ชัดเจน หรือกรณีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิถล่มอันดามันเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ซึ่งกว่าจะพบศพ เวลาก็ล่วงเลยไปหลายวัน กรณีเหล่านี้นำไปสู่คำถามเกี่ยวกับหลักการพิธีศพของชาวมุสลิมในกรณีที่ศพไม่ได้เสียชีวิตตามปกติ
ผู้บรรยายกล่าวว่า ตามหลักศาสนาอิสลามไม่สามารถผ่าศพเพื่อชันสูตรได้ เพราะอิสลามถือว่าร่างอันไร้วิญญาณนั้นยังคงมีเกียรติยศแห่งความเป็นมนุษย์ อย่างสมบูรณ์อย่างไรก็ดี บางสำนักคิดในศาสนาอิสลามมีการอนุโลมในกรณีการผ่าศพสตรีมีครรภ์เพื่อช่วย ชีวิตทารก หรือผ่าศพเพื่อเอาทรัพย์สินคืนแก่เจ้าของ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงคุณประโยชน์จากการช่วยชีวิตทารกและปกป้องมิให้ทรัพย์สูญ เปล่า ซึ่งมีความสำคัญกว่าความเสื่อมเสียเกียรติแห่งความเป็นมนุษย์ของศพ ดังนั้น ในกรณีผู้เสียชีวิต 85 ศพจากเหตุการณ์ที่ตากใบ ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดนั้น ผู้บรรยายเห็นว่า น่าจะอนุโลมให้มีการชันสูตรศพได้ เพื่อจะได้ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิต


หัวข้อ: Re: the attitude about the death of the Muslim
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 25 เมษายน 2553 09:34:20
(http://image.ohozaa.com/it/mxouh.jpg)


ในช่วงท้ายของการบรรยาย มีการเปิดให้ผู้ฟังร่วมอภิปรายและแสดงความคิดเห็น ผู้ฟังท่านหนึ่งได้ถามเกี่ยวกับเรื่อง ชะฮีด
หรือการพลีชีพเพื่อศาสนา อันสืบเนื่องจากกรณีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์กรือเซะ และตากใบ ซึ่งญาติของผู้เสียชีวิตหลายคนไม่ได้อาบน้ำศพให้ เพราะถือว่าเป็นการตาย ชะฮีด ในเรื่องนี้วิทยากรอธิบายว่า การตายชะฮีด หมายถึง การตายในการต่อสู้เพื่อแนวทางของพระเจ้า ตายในสนามรบเพื่อปกป้องศาสนาซึ่งตามหลักแล้วไม่ต้องอาบน้ำศพ เพราะถือว่าสะอาดแล้ว อย่างไรก็ตาม กรณีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์กรือเซะนั้น
วิทยากรกล่าวว่า เป็นเรื่องที่นักวิชาการไม่กล้าตัดสิน ไม่กล้าฟันธงลงไปว่า คนเหล่านี้ตายในวิถีทางชะฮีดหรือไม่ เพราะแต่ละสำนักคิดในศาสนาอิสลามก็วินิจฉัยหรือตีความเรื่องนี้แตกต่างกัน


http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/01.%20Track%201.wma



credit from.......................http://av.sac.or.th/Subdetail/seminar/sum_of_seminar/seminar50.html (http://av.sac.or.th/Subdetail/seminar/sum_of_seminar/seminar50.html)