หัวข้อ: ต้นกัลปพฤกษ์ : ต้นไม้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กับ จิตรกรรมไทยประเพณี เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 07 พฤษภาคม 2557 13:23:42 .
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/16430218890309_b1.gif) ภาพที่ ๑ : ต้นกัลปพฤกษ์ในอุโบสถวัดหนองยาวสูง จังหวัดสระบุรี ต้นกัลปพฤกษ์ในจิตรกรรมไทยประเพณี ภาพต้นกัลปพฤกษ์ ต้นไม้ที่เชื่อกันว่าให้ผลสำเร็จตามความปรารถนาต้องการสิ่งใดก็สามารถขอได้ ในจิตรกรรมไทยประเพณีต้นกัลปพฤกษ์มีรูปลักษณ์เป็นต้นไม้พุ่มใบที่เต็มไปด้วยผ้านุ่งผ้าห่มและเครื่องประดับนานาห้อยจากกิ่งหรือพาดตามคาคาบไม้ (ภาพที่ ๑) แต่ในจิตรกรรมอีสานกลับมีรูปลักษณ์ต่างไปโดยพบว่าบางแห่งวาดเป็นรูปต้นไม้ที่มีก้านยื่นออกมาเป็นหีบสี่เหลี่ยม และเหตุที่ทำให้ทราบว่าภาพนี้คือต้นกัลปพฤกษ์ก็ด้วยบางภาพมีการเขียนอักษรกำกับไว้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/19843619730737_b2.gif) ภาพที่ ๒ : อุตรกุรุทวีป และต้นกัลปพฤกษ์ต้นไม้ประจำทวีป จากสมุดภาพไตรภูมิอักษรขอม เลขที่ ๑ ชื่อไตรภูมิภาษาเขมร (ที่มา : สมุดภาพไตรภูมิฉบับอักษรธรรมล้านนาและอักษรขอม, กรุงเทพ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๗, หน้า ๑๗๙ ภาพที่ ๗๕) คติความเชื่อและสถานที่บังเกิดของต้นกัลปพฤกษ์นั้นมีความหลากหลาย รวมทั้งในวัฒนธรรมไทยต้นกัลปพฤกษ์ยังมีรูปลักษณ์และความหมายอื่นๆ อีกด้วย ดังจำแนกออกได้ดังนี้ ๑. ต้นไม้ประจำอุตรกุรุทวีป ตามคติความเชื่อในพระพุทธศาสนา อุตรกุรุทวีปมีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม ตั้งอยู่ในมหาสมุทรด้านทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ มีต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นไม้ประจำทวีป (ภาพที่ ๒) ดังข้อความในไตรภูมิพระร่วงที่ว่า “แลในแผ่นดินอุตรกุรุทวีปนั้น มีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่งโดยสูงได้ ๑๐๐ โยชน์ โดยกว้างได้ ๑๐๐ โยชน์ โดยรอบปริมณฑลได้ ๓๐๐ โยชน์ แลต้นกัลปพฤกษ์นั้นผู้ใดจะปรารถนาหาทุนทรัพย์สรรพเหตุอันใดๆ ก็ดี ย่อมได้สำเรทธิในต้นไม้นั้นทุกประการ แล...” ๒. ต้นไม้ที่เกิดขึ้นจากพุทธานุภาพ หรือบุญญาธิการ เป็นที่ทราบกันแพร่หลายว่าในสมัยของพระศรีอริยเมตไตย พระอนาคตพุทธเจ้าจะบังเกิดต้นกัลปพฤกษ์จำนวน ๔ ต้น ที่ ๔ ประตูเมืองนครเกตุมดี ในบรรดาพระอนาคตพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ พระองค์นั้น มีถึง ๙ พระองค์ที่จะบังเกิดต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งต้นกัลปพฤกษ์เหล่านี้เกิดขึ้นด้วยพระพุทธานุภาพ มหาชนจึงไม่ต้องประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา ค้าขาย หรือทอผ้า อาศัยต้นกัลปพฤกษ์นี้เลี้ยงชีวิต นอกจากต้นกัลปพฤกษ์จะบังเกิดขึ้นด้วยพุทธานุภาพแล้ว ยังปรากฏว่าต้นกัลปพฤกษ์บังเกิดขึ้นได้ด้วยผลบุญที่กระทำมา เช่น มาฆมาณพโพธิสัตว์อดีตชาติของพระรังสีมุนีนาทพุทธเจ้าในคัมภีร์อนาคตวงศ์ พระโชติกเถระในคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท และอดีตชาติของพระมหากัสสปเถระในคัมภีร์ปรมัตถทีปนี อรรถกถาขุททกนิกายเถรคาถา ๓. ต้นไม้ในสวนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คัมภีร์โอกาสโลกทีปนี หนึ่งในคัมภีร์หมวดโลกศาสตร์กล่าวว่านอกจากต้นกัลปพฤกษ์จะเป็นต้นไม้ประจำอุตรกุรุทวีปแล้วยังเป็นต้นไม้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกด้วย ความว่า “...ต้นกัลปพฤกษ์ประจำอุตกุรุทวีป ต้นซึกประจำบุพวิเทหทวีป แต่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีต้นไม้ประจำ ๒ ต้น คือ ต้นทองหลางและต้นกัลปพฤกษ์ ไม้ ๒ ต้นนี้ วัดรอบลำต้นได้ ๓ โยชน์ และ ๕ โยชน์ สูง ๕๐ โยชน์ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปรอบๆ ลำต้น ทั้งกว้างสูงและยาวเท่ากันคือ ๑๐๐ โยชน์แล ฯ” ๔. ต้นไม้ใกล้สระฉัททันต์ คัมภีร์มังคลัตถทีปนี ผลงานการประพันธ์ของพระสิริมังคลาจารย์ ในส่วนกถาว่าด้วยทาน เรื่องพระเจ้าอโศก ได้กล่าวถึงสระฉัททันต์ สระหนึ่งในเจ็ดสระของป่าหิมพานต์ ว่าแถบนั้นมีต้นกัลปพฤกษ์ขึ้นอยู่ ดังนี้ “ได้ยินว่าพระราชาย่อมเสวยอย่างหนึ่งใน ๒ อย่างนั้น ตามพระราชประสงค์เทพดาทั้งหลายนั่นเอง นำผ้านุ่งและผ้าห่ม ๕ สี ผ้าสีเหลือง ผ้าเช็ดมือและน้ำทิพย์มาจากเทพวิมานอันตั้งอยู่ในที่ใกล้สระ ชื่อฉัททันต์ ทุกวัน อาจารย์บางพวกกล่าวว่า “ย่อมนำมาจากไม้กัลปพฤกษ์ อันมีอยู่ใกล้สระชื่อฉัททันต์นั้น ดังนี้ก็มี” ๕. เครื่องไทยธรรม ต้นกัลปพฤกษ์ที่เป็นเครื่องไทยธรรมนั้น เข้าใจว่าคงเป็นคติของชาวพุทธมาแต่โบราณเพราะในคัมภีร์ปรมัตถทีปนี อรรถกถาขุททกนิกาย เถรคาถา กล่าวถึงอดีตชาติของพระกัปปเถระ ท่านได้ประดับประดาต้นกัลปพฤกษ์ด้วยผ้า อาภรณ์ แก้วมณี และมาลาดอกไม้ ไปบูชาสถูปของพระพุทธเจ้าสิทธัตถะ เกี่ยวกับต้นกัลปพฤกษ์ที่เป็นไทยธรรมนี้อาจจะเป็นชนิดเดียวกับต้นกัลปพฤกษ์ที่ปรากฏในจารึกวัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร ด้านที่ ๒ ที่กล่าวถึงพระยาลิไทโปรดให้จัดตกแต่งเส้นทางรับพระมหาสามีสังฆราช ซึ่งทรงอาราธนามาจากลังกา ลิ เมื่อพุทธศักราช ๑๙๐๕ ที่ว่า “...พระบาทกัมรเตงอัญทรงใช้ให้จัด หมาก ข้าวตอก เทียน ธูป ดอกไม้ กัลปพฤกษ์ ปลูกสร้าง...ทำการบูชาตลอดหนทาง” ปัจจุบันในหลายพื้นที่ยังคงมีการทำไทยธรรมชนิดนี้อยู่ อาทิ ในงานเทศกาลพระธาตุพนม ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง ขึ้น ๑๐ ค่ำ ถึงแรม ๑ ค่ำ เดือน ๓ จะมีการบริจาคต้นเงินหรือที่เรียกว่า “ต้นกัลปพฤกษ์” โดยคณะผู้แสวงบุญจะรวบรวมปัจจัยจัดทำเป็นต้นไม้ประดับด้วยธนบัตร เครื่องสักการะ และไทยธรรมที่จำเป็นสำหรับพระภิกษุสามเณร เช่น จีวร และยารักษาโรค ซึ่งมีข้อสังเกตด้วยว่าในคำถวายที่เป็นภาษาบาลีนั้นยังคงเรียกต้นไทยธรรมชนิดนี้ว่า “กัลปรุกขานิ” หรือชาวยองในจังหวัดลำพูนก็มีการทำ “สลากย้อม” สลากภัตชนิดหนึ่งในวันเพ็ญเดือนสิบ ประดับต้นสลากย้อมด้วยเครื่องประดับ ของมีค่า เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งในคำร่ำ (บทพรรณนา) มีการเรียกสลากย้อมว่า “กัปปรุกขา” หรือต้นกัลปพฤกษ์ด้วยเช่นกัน และชาวไทยใหญ่ก็มีการประดิษฐ์ไทยธรรมซึ่งสมมติเป็นต้นกัลปพฤกษ์ในงานบวชปอยส่างลองและเรียกไทยธรรมชนิดนี้ว่า “ต้นตะเป่ส่า” โดยมีความเชื่อว่าการถวายต้นตะเป่ส่าจะมีอานิสงส์ส่งให้ไปเกิดในสวรรค์และมีต้นกัลปพฤกษ์บันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกอย่าง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/91442822209662_b3.gif) ภาพที่ ๓ : ภาพพนักงานทิ้งทานกัลปพฤกษ์ ในฉากถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า จิตรกรรมวัดมัชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา ๖. ต้นไม้จำลองที่ทำขึ้นเนื่องในการทิ้งทาน ต้นกัลปพฤกษ์ในวัฒนธรรมไทยยังมีความหมายถึงต้นไม้จำลองที่ทำขึ้นเนื่องในการทิ้งทานในงานของหลวงและมีลูกมะนาวบรรจุเงินตราห้อยอยู่ตามกิ่งต่างๆ ของต้น ลักษณะของต้นกัลปพฤกษ์เป็นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ มีแกนไม้ตรงกลางติดกำพู ที่กำพูปักซี่ไม้ไผ่และรวบปลายซี่ที่ส่วนยอด และใช้ไม้ไผ่รัดเป็นวงกำกับซี่โครงพุ่มไม่ให้รวนแยกจากกัน โดยทำเป็นวงๆ ลำดับกันขึ้นไป วงซี่แต่ละวงเจาะรูและเสียบไม้กลัดไว้โดยรอบเพื่อติดลูกกัลปพฤกษ์ (ภาพที่ ๓) ลูกที่สมมติว่าเป็นลูกกัลปพฤกษ์ จะใช้ผลมะกรูดและผลมะนาว ตามธรรมเนียมในสมัยรัตนโกสินทร์ ต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่งจะมีเงินปลีกผลละ ๑ สลึง ประมาณ ๒๐ ผล รวมแล้วต้นหนึ่งเป็นเงิน ๕ บาท สมัยโบราณคำว่า กัลปพฤกษ์ เขียนว่า กำมพฤกษ์ หรือ กามพฤกษ์ ก็มี และปัจจุบันในภาคอีสานยังคงเรียกการโปรยทานในงานศพว่า “หว่านกัลปพฤกษ์” ๗. ต้นไม้ดอกสีชมพู ปัจจุบัน กัลปพฤกษ์ เป็นชื่อของพันธุ์ไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางผลัดใบชนิดหนึ่ง ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “Cassia Bakeriana Craib” ดอกสีชมพูแล้วเปลี่ยนเป็นสีขาว ดอกเป็นช่อแบบช่อกระ จะออกตามกิ่งพร้อมกับแตกใบอ่อน มีเขตกระจายพันธุ์ในประเทศไทยทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขึ้นในป่าโปร่งและเขาหินปูน บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล ๓๐๐-๑,๐๐๐ เมตร ๘. สลากงานกาชาด ในพุทธศักราช ๒๔๗๒ สภากาชาดสยามได้ริเริ่มการสอยผลกัลปพฤกษ์ในงานวันกาชาดเป็นครั้งแรก กองบรรทุกข์ของสภากาชาดได้ทำผลกัลปพฤกษ์แขวนไว้กับต้น ผลกัลปพฤกษ์ปั้นด้วยดิน บรรจุเลขสลากภายใน มีไม้ตะกร้ออย่างที่ใช้สอยผลไม้เตรียมไว้ให้สอย ค่าสอยกัลปพฤกษ์ในครั้งนั้นมิได้กำหนดราคาไว้แล้วแต่ศรัทธา ของรางวัลเป็นยา เครื่องเวชภัณฑ์ เครื่องบรรเทาทุกข์ต่างๆ เช่น เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ปัจจุบันต้นกัลปพฤกษ์จึงมีความหมายถึงต้นไม้ที่ทำขึ้นเพื่อติดสลาก ต้นไม้ที่ติดสลากอาจทำรูปต้นไม้อะไรก็ได้ หรือแม้ไม่ทำเป็นรูปต้นไม้เพียงแต่ทำที่ติดสลากเพื่อให้สอยหรือเสี่ยงจับเพื่อชิงโชค ก็เรียกว่า สอยกัลปพฤกษ์ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/14373587278856_b4.gif) ภาพที่ ๔ : ประตูของฉากลายรดน้ำพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ผ้าพระบฏ (ผ้าผะเหวด) วัดท่าม่วง กับต้นกัลปพฤกษ์ในสวนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดังได้กล่าวไว้แล้วว่าคัมภีร์โอกาสโลกทีปนี นอกจากระบุว่าต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นไม้ประจำอุตรกุรุทวีปแล้ว ต้นกัลปพฤกษ์ยังเป็นต้นไม้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกด้วย ในคัมภีร์จักกวาฬทีปนี คัมภีร์ในหมวดโลกศาสตร์อีกคัมภีร์หนึ่งได้กล่าวถึง “เทวตรุ-ต้นไม้ของเทวดา” ซึ่งปรากฏชื่อต้นกัลปพฤกษ์รวมอยู่ด้วย ดังนี้ “ส่วนที่มาในลัคคกัณฑ์เป็น ๕ ชนิดเท่านั้น คือ ปาริฉัตร กัลปพฤกษ์ สันตาน มันทาระ หริจันทนะ. และในฎีกาแห่งลัคคกัณฑ์นั้นได้กล่าวไว้ว่า “ต้นไม้ ๕ อย่างนี้กล่าวตามนัยแห่งอมรโกส...” ซึ่งในไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ไตรภูมิฉบับหลวง ส่วนที่บรรยายถึงกำแพงของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้กล่าวพรรณนาว่า “พหิทฺธา สมนฺตานครสฺส กปฺปรุกขานํ วนราชิ โหติ ภายนอกออกไปนั้นมีราวป่าไม้กัลปพฤกษ์แวดล้อมอยู่โดยรอบสุสัสสนะมหานคร...” และสมบัติอัมรินทร์คำกลอน วรรณคดีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่แต่งโดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ส่วนที่กล่าวพรรณนาถึงความงามของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทิพยสมบัติของพระอินทร์ก็ได้กล่าวถึงต้นกัลปพฤกษ์ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไว้ด้วยเช่นกันว่า “...หนึ่งแถวไม้กำมพฤกษ์ที่นึกทิพ จะนับแสนแทนสิบก็เกินถวิล มีทรายทองรองรับกับพื้นดิน ประพรมสินธุ์เสาวรสจรุงใจ...” สำหรับไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อความกล่าวชัดว่าต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นไม้ในสวนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ได้ปรากฏข้อความว่า “...ผิตายแลจะไปเกิดในสวรรค์ไส้ เห็นต้นไม้กัลปพฤกษ์ เรือนทอง เห็นปราสาทแก้วงามนักหนา เห็นฝูงเทพยดาฟ้อนรำเล่น.” ซึ่งคงพอจะเห็นเค้าลางของความเชื่อเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ในงานจิตรกรรมไทยต้นกัลปพฤกษ์ในสวนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ปรากฏไม่มาก ตัวอย่างสำคัญคือ บานประตูฉากลายรดน้ำในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทที่วาดขึ้นในรัชกาลที่ ๔ ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ภาพที่ ๔) โดยฉากลายรดน้ำนี้วาดภาพพิธีอินทราภิเษก ภาพเทพชุมนุมที่สุธัมมาเทวสภา และแท่นบัณฑุกัมพลใต้ต้นปาริชาติในสวนปุณฑริกวัน ซึ่งเป็นการรวมเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระอินทร์โดยเฉพาะ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/37524002500706_b5.gif) (บน) ภาพที่ ๕ : ผ้าพระบฏ สมบัติของวัดท่าม่วง จังหวัดร้อยเอ็ด (ล่าง) ภาพที่ ๖ : รายละเอียดของฉากกัณฑ์ทศพรบนผ้าพระบฏ วัดท่าม่วง จังหวัดร้อยเอ็ด ผ้าพระบฏ (ผ้าผะเหวด) วัดท่าม่วง ผ้าพระบฏ (ผ้าผะเหวด) สมบัติของวัดท่าม่วง บ้านท่าม่วง ตำบลท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ขนาดกว้าง๘๘.๕ เซนติเมตร ยาว ๒๐.๒๕ เมตร เขียนด้วยสีฝุ่น ฝีมือช่างพื้นถิ่นอีสาน ลักษณะของผ้าพระบฏเป็นผืนผ้ายาวมีแกนไม้ทั้งสองด้าน ด้านซ้ายเย็บติดกับผ้าซึ่งหุ้มแกนไม้ ด้านขวาเย็บติดกับแกนไม้โดยตรง (ภาพที่ ๕) “ผะเหวด” มีที่มาจากคำว่า “พระเวส” ซึ่งก็คือพระเวสสันดรนั่นเอง ผ้าพระบฏของอีสานชนิดนี้จึงเขียนเล่าเรื่องมหาเวสสันดรชาดก แต่ผ้าพระบฏผืนนี้ไม่ได้ลำดับภาพเล่าเรื่องตามกัณฑ์ แต่จะลำดับภาพโดยยึดถือสถานที่ในท้องเรื่องเป็นสำคัญ กล่าวคือช่างจะแบ่งผ้าออกเป็นบริเวณของตำแหน่งฉากคล้ายกับการวาดภาพแผนที่ซึ่งมีเขาวงกตอยู่ด้านซ้ายและมีเมืองเชตุดรอยู่ทางด้านขวา แล้วจึงวาดตัวละครไปดำเนินเหตุการณ์ตามตำแหน่งแห่งที่นั้นๆ ด้วยเหตุนี้ภาพเขียนจึงไม่ได้เรียงลำดับเหตุการณ์ต่อเนื่องกันตามท้องเรื่อง เป็นผลให้ผู้ชมมีหน้าที่ต้องพิจารณาดูภาพทั้งหมด แล้วจึงปะติดปะต่อภาพนั้นๆ ลำดับกาลตามท้องเรื่องเอาเอง ลำดับภาพเล่าเรื่องจากขวามาซ้ายมีดังนี้ เริ่มจากกัณฑ์นครกัณฑ์ (หกกษัตริย์พร้อมรี้พลเดินทางกลับเมืองเชตุดร) กัณฑ์ทศพร กัณฑ์มหาราช (ชูชกพาสองกุมารหลงกลับมายังเมืองเชตุดร และขบวนช้างเดินทางไปเขาวงกต) กัณฑ์วนประเวศ กัณฑ์ชูชก กัณฑ์จุลพน กัณฑ์มหาพน กัณฑ์กุมาร กัณฑ์สักกบรรพ และกัณฑ์มัทรี ตัวภาพมีอักษรเขียนอธิบายกำกับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอักษรธรรมอีสาน มีส่วนน้อยที่ใช้อักษรไทยน้อย ขอบผ้าด้านบนและล่างเขียนแถบหน้ากระดานลายมะลิเลื้อยเปลว สีที่ใช้มีสีคราม แดง เขียว เหลือง น้ำตาล ขาว และดำ ไม่ถมสีพื้นหลัง สภาพของผ้าพระบฏชำรุด ขาดทะลุเป็นแห่งๆ มีรอยยับทั่วไป ประวัติของผ้าพระบฏบ้านท่าม่วงผืนนี้กล่าวว่าได้มาจากบ้านข้าวปุ้น ตำบลกุดข้าวปุ้น อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี โดยเก็บรักษาในบ้านท่าม่วงที่วัดป่าศักดาราม วัดเหนือ และในภายหลังจึงเก็บรักษาที่วัดท่าม่วงตามลำดับ จากเทคนิคการใช้สีผู้เขียนสันนิษฐานว่าควรเขียนขึ้นราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ผ้าพระบฏผืนนี้เป็นส่วนปลาย ส่วนตอนต้นซึ่งเล่าเรื่องพระมาลัย (มาลัยหมื่นมาลัยแสน) พุทธประวัติตอนตรัสรู้ (สังกาศ) กัณฑ์มหาราช (บางส่วน) และกัณฑ์หิมพานต์ (ตอนพระเวสสันดรประสูติ) ยาวประมาณ ๑๒ เมตร ถูกโจรกรรมไปราวพุทธศักราช ๒๕๒๕ สำหรับกัณฑ์ฉกษัตริย์ควรจะต้องอยู่ในส่วนซ้ายสุดของผ้าพระบฏผืนนี้ก็ชำรุดหายไปด้วย ในส่วนของต้นกัลปพฤกษ์ที่ปรากฏบนผ้าพระบฏผืนนี้อยู่ในกัณฑ์ทศพร เหตุการณ์พระอินทร์ประทานพร ๑๐ ประการแก่พระนางมัทรี ระหว่างภาพปราสาทสององค์ปรากฏต้นกัลปพฤกษ์ที่มีลักษณะเป็นต้นเสากลมมีเครื่องยอดปลายแหลมคล้ายฉัตร และมีกิ่งก้านยื่นออกในทรงโค้งขึ้น ปลายกิ่งห้อยลง ที่ปลายกิ่งมีหีบหรือกล่องทรงสี่เหลี่ยมที่ระบายสีสันต่างๆ กัน ที่โคนต้นมีข้อความเขียนด้วยอักษรธรรมอีสานกำกับไว้ว่า “นีต้นการพึกสาฯ “ (ภาพที่ ๖) การปรากฏภาพ “ต้นการพึกสา” ต้นไม้ที่เชื่อกันว่าให้ผลสำเร็จตามปรารถนาในฉากเหตุการณ์ที่พระนางมัทรีขอพร ๑๐ ประการ นั้น อาจเพื่อต้องการเน้นย้ำว่าการขอพรพระนางได้รับผลสำเร็จก็เป็นได้ อีกทั้งภาพต้นกัลปพฤกษ์บนผ้าพระบฏ วัดท่าม่วงนี้ยังเป็นหลักฐานสำคัญว่าในวัฒนธรรมอีสานก็ปรากฏคติเรื่องต้นกัลปพฤกษ์ เป็นต้นไม้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกด้วย หัวข้อ: Re: ต้นกัลปพฤกษ์ : ต้นไม้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กับ จิตรกรรมไทยประเพณี เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 พฤษภาคม 2557 16:42:40 .
สินไซ ชาดกนอกนิบาต กับ เรื่องราวต้นกัลปพฤกษ์ สินไซเป็นวรรณคดีที่นิยมแพร่หลายในวัฒนธรรมล้านช้าง – อีสาน ด้วยมีความไพเราและมีเนื้อหาที่สนุกสนานเพลิดเพลิน ครบรส อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยคติธรรมคำสอน วรรณคดีเรื่องสินไซจัดเป็น “นิทานมหัศจรรย์” ซึ่งมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัย มีทั้งการพลัดพลรากจากเมืองเข้าป่า บางทีมีผู้ช่วยเหลือเป็นพระอินทร์ หรือฤๅษี มีเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์หรือของวิเศษ พบอุปสรรคได้รบกับตัวละครร้าย และในช่วงเวลานั้นตัวละครเอกก็จะได้พบกับตัวละครเอกของฝ่ายหญิงซึ่งมักจะมีหลายนาง เมื่อแก้ไขอุปสรรคแล้วก็กลับคืนเมืองและมักจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ในเมืองนั้น นิทานมหัศจรรย์หลายเรื่องให้ชื่อตัวละครมีคำว่า “จักร” หรือ “วงศ์” เช่น ลักษณวงศ์ สุริยวงศ์ จึงมักเรียกนิทานประเภทนี้ว่า นิทานจักรๆ วงศ์ๆ นิทานมหัศจรรย์ของล้านช้างหลายเรื่อง อาทิ กาฬเกษ นางผมหอม จำปาสี่ต้น ท้าวคัชนาม ท้าวหัวข้อหล้อ ท้าวลินทอง ท้าวเต่าคำ และรวมถึงสินไซ (สังข์ศิลป์ชัย) ได้รับการจัดให้เป็นชาดกพระอดีตชาติของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับปัญญาสชาดก ชาดกนอกนิบาตที่คนไทยคุ้นเคยกัน ซึ่งเรื่องราวจากปัญญาสชาดกส่วนใหญ่ก็มีโครงเรื่องแบบผจญภัยทำนองเดียวกันกับนิทานมหัศจรรย์ โดยในตอนท้ายของเรื่องจะมี่ “ประชุมชาดก” หรือตรงกับ “ม้วนชาดก” ในวรรณคดีล้านช้าง สรุปตอนท้ายเรื่องว่าตัวละครใดจะจุติมาเป็นผู้ใดในสมัยพุทธกาล ตามท้องเรื่องเมื่อสินไชเดินทางไปเมืองอโนราชเพื่อช่วยนางสุมณฑาผู้เป็นอาจากยักษ์กุมภัณฑ์ต้องผ่านด่านอุปสรรคและต้องข้ามแม่น้ำใหญ่หลายสาย หลังจากสินไซสังหารนางยักษ์อัสสมุขีซึ่งเป็นด่านที่เจ็ดแล้วได้เดินทางต่อไปถึงเขาเวระบาด บนเขาเวระบาดนี้มีต้นกัลปพฤกษ์ (ต้นกาละพึก) เป็นต้นไม้ที่พระอินทร์เนรมิตไว้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างๆ สีสันงดงามดังเครื่องทรงของเทพผู้มีบุญญาธิการเท่านั้นจึงมองเห็นต้นกัลปพฤกษ์นี้ สินไซจึง “เลือก” ผ้านุ่งมาผลัดเปลี่ยนใหม่ก่อนเดินทางต่อไป (http://www.sookjaipic.com/images_upload/70035932792557_b6.gif) ภาพที่ ๗ : หอพระพุทธบาท (อุโบสถ) วัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ต้นกัลปพฤกษ์บนเขาเวระบาดนี้ น่าที่จะได้รับอิทธิพลจากคติเรื่องต้นกัลปพฤกษ์ที่อยู่ใกล้สระฉัททันต์ สระหนึ่งในเจ็ดสระของป่าหิมพานต์ เนื่องด้วยในสมุททโฆสชาดก ชาดกนอกนิบาตเรื่องหนึ่งในปัญญาสชาดก ตอนพระสมุทโฆษกับพระนางวินทุมดีเสด็จประพาสป่าหิมพานต์ก็มีการกล่าวถึงต้นกัลปพฤกษ์ด้วย ความว่า “ชมพูเขาต่างๆ ในป่าหิมพานต์ คือ ภูเขาเงิน ภูเขาทอง ภูเขาแก้ว และภูเขาแก้ว ๗ ประการ สูงห้าร้อยโยชน์ มียอดใหญ่ร้อยยอด ยอดเล็กแปดหมื่นสี่พัน มีพลอยหินต่างๆ มี่ไม้กัลปพฤกษ์ต่างๆ มีหมูกินนรกินรี ฟ้อนรำขับขานประสานสำเนียงอยู่ไม่ขาด...” และหากพิจารณาจากเนื้อเรื่องสินไซแล้วเหตุการณ์ต่อจากเปลี่ยนผ้านุ่งจากต้นกัลปพฤกษ์บนเขาเวระบาดแล้ว ด่านที่แปดด่านต่อไป คือด่านเทพกินรี สินไซได้นางกินรีเป็นชายา อนึ่ง ในพระปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ระบุในพิธีอภิเษกระหว่างพระเจ้าสุทโธทนกับพระนางสิริมหามายาว่า “...ท้าวเวสวัณมหาราชก็บูชาด้วยทิพยภูษาต่างๆ อันตกลงแต่ไม้กับปพฤกษ์บนยอดหิมวันบรรพตกับทั้งผลหว้าอันเกิดแต่ชมพูพฤกษ์ประจำทวีป...” (http://www.sookjai.com/Themes/default/images/post/xx.gif) จิตรกรรมเรื่องสินไซที่เสาไม้ยันขื่อหอพระพุทธบาท วัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี หอพระพุทธบาท (อุโบสถ) วัดทุ่งศรีเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี (ภาพที่ ๗) ปัจจุบันภายในหอพระพุทธบาทมีเสาไม้ยันขื่อซึ่งพระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด) อดีตเจ้าอาวาสได้นำมาค้ำยันขื่อที่ชำรุด โดยใช้เสาไม้ทั้งหมด ๔ ต้น ปักภายในหอพระพุทธบาทระหว่างหน้าต่างโดยปักห่างจากผนังประมาณ ๗ นิ้ว เสาที่ผนังแต่ละด้านจะมีแปวางพาดขนานกับผนังที่ส่วนบน โดยแปหัวเสานี้จะเป็นส่วนที่รองรับขื่อที่ชำรุด (ภาพที่ ๘) เสาไม้เหล่านี้มีงานจิตรกรรมซึ่งกล่าวกันว่าฝีมือของพระครูวิโรจน์รัตโนบล ซึ่งกำหนดอายุอยู่ในครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๕ โดยเสาแต่ละต้นจะมีลวดลายที่ต่างกันออกไป คือ เสาต้นในเบื้องขวาพระประธาน เขียนภาพเล่าเรื่องสินไซเดินทางไปเมืองอโนราชแล้วผ่านด่านต่างๆ ตั้งแต่ด่านงูซวงจนถึงเขาเวระบาด เสาต้นในเบื้องซ้ายพระประธานเขียนลายเครือเถาออกช่อเทพนม และเสาต้นนอก ๒ ต้น เขียนลายพุ่มข้าวบิณฑ์ โดยสีที่ใช้มีสีแดง ขาว ดำ ฟ้า เหลือง เขียว และมีการปิดทองลายเฟื่องอุบะที่ส่วนบนของเสา (http://www.sookjaipic.com/images_upload/78069135753644_b7.gif) (ซ้าย) ภาพที่ ๘ : เสาไม้ยันขื่อ ต้นในเบื้องขวาพระประธาน หอพระพุทธบาท (ขวา) ภาพที่ ๙ : ภาพสินไซและต้นกัลปพฤกษ์ บนเสาต้นในเบื้องขวาพระประธาน ซึ่งกล่าวกันว่าฝีมือของพระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด) เสาต้นในเบื้องขวาพระประธานที่ตอนบนปรากฏภาพสินไซกำลังเอื้อมมือซ้ายขึ้นแตะหีบหรือกล่องทรงสี่เหลี่ยมซึ่งห้อยอยู่ปลายกิ่งที่โค้งมากจากต้นที่มีพุ่มเป็นทรงข้าวบิณฑ์ (ภาพที่ ๙) ซึ่งถึงไม้ว่าจะไม่มีอักษรเขียนกำกับไว้แต่จากการเทียบเคียงกับ “ต้นการพึกสา” บนผ้าพระบฏ วัดท่าม่วงแล้วจะพบว่ามีเค้าโครงเป็นเสาต้นกลมที่มีกิ่งก้านยื่นออกมาเป็นหีบหรือกล่องทรงสี่เหลี่ยมที่ระบายสีสันต่างๆ เช่นเดียวกัน อีกทั้งที่ด้านหลังของเสาไม่ยันขื่อต้นนี้ได้วาดภาพนางยักษ์อัสสมุขี กำลังอุ้มลักพาตัวสินไซซึ่งเป็นด่านก่อนที่สินไซจะเลือกผ้านุ่งจากต้นกัลปพฤกษ์บนเขาเวระบาด (http://www.sookjaipic.com/images_upload/72159025197227_b8.gif) (บน) ภาพที่ ๑๐ : อุโบสถเก่า วัดบ้านประตูชัย จังหวัดร้อยเอ็ด (ล่าง) ภาพที่ ๑๑ : จิตรกรรมบนผนังด้านนอกอุโบสถเก่า วัดบ้านประตูชัย ฉากสินไซกำลังคลี่ผ้าที่ได้จากต้นกัลปพฤกษ์ จิตรกรรมฝาผนังเรื่องสินไซ วัดบ้านประตูชัย จังหวัดร้อยเอ็ด วัดบ้านประตูชัย บ้านประตูชัย ตำบลนิเวศน์ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๑ เดิมชื่อ วัดบ้านคำไฮ ด้วยเมื่ออพยพมาตั้งบ้านในบริเวณนี้มีน้ำคำ (น้ำซึมจากใต้ดินตลอดปี) และมีต้นไทรขึ้นอยู่ จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านคำไฮ” ต่อมาในพุทธศักราช ๒๔๘๕ นายวาสนา วงษ์สุวรรณ นายอำเภอธวัชบุรี เห็นว่าบ้านคำไฮเป็นหมู่บ้านแรกเปรียบเหมือนประตูสู่อำเภอธวัชบุรี จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “บ้านประตูชัย” อุโบสถเก่า (สิมเก่า) เป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นอีสาน (ภาพที่ ๑๐) หันหน้าสู่ทิศตะวันออก ก่ออิฐถือปูน ผังพื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีพาไลรอบ หลังคาทรงคฤห์ซ้อนกัน ๓ ชั้น มุงด้วยสังกะสี มีหลังคาปีกนกคลุมพาไลเฉพาะด้านข้างและด้านหลัง หน้าบันด้านหน้าก่ออิฐถือปูนต่อเนื่องกับเสาพาไลและเจาะช่องโค้งสำหรับเป็นทางขึ้น หน้าบันด้านหลังตีไม้ตามแนวตั้ง ประตูทางเข้ามีเฉพาะด้านหน้า ๑ ประตู มีหน้าต่างทีผนังด้านข้างด้านละ ๒ ช่อง ส่วนฐานของอุโบสถเก่าเป็นฐานปัทม์ที่ประดับลูกแก้วอกไก่ขนาดใหญ่เต็มท้องไม้ รูปแบบของอุโบสถเก่าในปัจจุบันเป็นผลจากการปฏิสังขรณ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๑ จิตรกรรมที่อุโบสถเก่าวัดบ้านประตูชัยเขียนบนผนังทั้งภายในและภายนอกรวมถึงหน้าบันด้านหน้าก็มีการเขียนภาพจิตรกรรมด้วย โดยภายในเขียนภาพพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธ ผนังด้านนอกด้านทิศใต้และทิศตะวันตกเขียนเรื่องสินไซ และผนังด้านนอกด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกเขียนเรื่องเวสสันดรชาดก หน้าบันด้านทิศตะวันออกเขียนภาพพระเจดีย์จุฬามณี ที่เหนือขอบประตูเขียนข้อความด้วยอักษรขอมและอักษรไทย ระบุพุทธศักราช ๒๔๖๔ และชื่อช่างเขียน คือ นายสี สะมุด กับจารย์ซาหอม บนผนังด้านนอกด้านทิศใต้ซึ่งเขียนจิตรกรรมเรื่องสินไซ บริเวณเหนือหน้าต่างฝั่งทิศตะวันออกปรากฏภาพขั้นบนได้สามขั้นที่ส่วนยอดวารูปคล้ายเจดีย์ (ธาตุ) ทรงบัวเหลี่ยม บนขั้นบันไดขั้นแรกมีภาพต้านเสากลมที่มีส่วนยอดเป็นพุ่มทรงข้าวบิณฑ์และมีกิ่งก้านมีหีบหรือกล่องทรงสี่เหลี่ยม และที่บันไดขั้นบนสุดมีภาพสินไซกำลังคลี่ผ้านุ่งออกและประการสำคัญบริเวณข้างซ้ายของศีรษะสินไซมีหีบหรือกล่องที่ถูกเปิดอ้า (ภาพที่ ๑๑) ซึ่งรูปทรงของต้นกัลปพฤกษ์นี้สามารถเทียบเคียงได้กับภาพต้นกัลปพฤกษ์บนเสาไม้ยันขื่อในอุโบสถวัดทุ่งศรีเมือง (ดูภาพ ๙) ต้นกัลปพฤกษ์กับผ้าแพรพรรณ จากคติความเชื่อรวมถึงการแสดงออกในงานศิลปกรรมจะเห็นได้ว่าต้นกัลปพฤกษ์มีความเกี่ยวข้องกับผ้าแพรพรรณเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นต้นกัลปพฤกษ์ที่เป็นไทยธรรม หรือต้นกัลปพฤกษ์ที่เกิดจากบุญญาธิการ ก็มักจะกล่าวถึงผ้าเป็นสำคัญ ดังปรากฏในคาถาว่าด้วยผลแห่งการตั้งต้นกัลปพฤกษ์บูชาพระสถูปของพระกัปปรุกขิยเถระ ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน ว่า “เราได้คล้องผ้าอันวิจิตรหลายผืนไว้ตรงหน้าพระสถูปอันประเสริฐของพระผู้มีพระภาคเจ้านามว่าสิทธัตถะ แล้วตั้งต้งต้นกัลปพฤกษ์ไว้ เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือ ความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ในกำเนิดนั้นๆ ต้นกัลปพฤกษ์อันงาม ย่อมประดิษฐานอยู่ใกล้ประตูเรา เวลานั้น เราเอง บริษัท เพื่อน และคนคุ้นเคยได้ถือเอาผ้าจากต้นกัลปพฤกษ์นั้นมานุ่งห่ม...” หรือในคัมภีร์สารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตนิกาย นิทานวรรค กล่าวถึงสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า พระมหากัสสปเถระได้เกิดในตระกูลอำมาตย์ ต่อมาได้ครองราชย์สมบัติกรุงพาราณสี ในพิธีอภิเษกมีประสงค์จะได้ผ้าเนื้อดี จึงทรงเอาพระหัตถ์วักน้ำจากพระเต้าทองสาดไปในทิศทั้งสี่ ได้บังเกิดต้นกัลปพฤกษ์ผุดขึ้นมาทิศละ ๘ ต้น จากนั้น “...ทรงนุ่งผ้าทิพย์ผืนหนึ่งห่มผืนหนึ่ง ให้พวกราชบุรุษตีกลองโฆษณาในแว่นแคว้นแห่งพระเจ้านันทะว่า “หญิงทั้งหลายอย่ากรอด้าย” แล้วให้ยกฉัตรขึ้น เสด็จขึ้นคอช้างตัวประเสริฐเข้าไปสู่พระนครเสด็จขึ้นสู่ปราสาท เสวยมหาสมบัติปกครองแว่นแคว้นของพระองค์...” ผ้าที่ได้จากต้นกัลปพฤกษ์นั้น ถือว่าเป็นผ้าเนื้อดี ดังในคำพรรณนาถึงผ้าสาฎกที่ท้าวเวสสุวรรณนำมาถวายพระอสันสมิตรราชเทวี ว่า “เหมือนผ้าทิพย์อันเกิดในไม้กัลปพฤกษ์ “และ “อันว่า ผ้านั้นมีพรรณเป็นอันงามประดุจเกิดมาแต่ต้นกัลปพฤกษ์อันมีในอุตรกุรุทวีปนั้น...” หรือในคัมภีร์ธัมมปทัฎฐกถา อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบทกล่าวถึงพระอินทร์เสด็จมานิรมิตสมบัติให้โชติกเศรษฐี (พระโชติกเถระ) โดยทรงสร้างปราสาทแก้ว ๗ ชั้น กำแพงแก้ว ๗ ชั้น มีต้นกัลปพฤกษ์ผุดขึ้นรอบกำแพง และมีขุมทรัพย์ ๔ ขุมที่มุมปราสาท จากนั้น “...โชติกเศรษฐี สั่งให้หุงภัตรด้วยข้าวสารที่นำมาจากอุตรกุรุทวีปแล้ว ๆ ให้แก่ชนทั้งหลายผู้มาแล้ว ๆ สั่งว่า “ชนทั้งหลายจงถือเอาผ้า, จงถือเอาเครื่องประดับ จากต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย” จากตัวอย่างที่ยกมาจะเห็นว่าปรากฏข้อความ “ถือเอาผ้าจากต้นกัลปพฤกษ์” “หญิงทั้งหลายอย่ากรอด้าย” ซึ่งสะท้อนว่าสิ่งที่นำไปจากต้นกัลปพฤกษ์นั้นเป็นผ้า และนอกจากบุคคลผู้มีบุญญาธิการจะนุ่งผ้าเนื้อดีจากต้นกัลปพฤกษ์แล้ว ในคัมภีร์โลกสัณฐานโชตรตนคัณฐี ยังกล่าวด้วยว่าจตุมหาราชิกา ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ก็นุ่งห่มผ้าที่เกิดจากต้นกัลปพฤกษ์เช่นกัน ในเรื่องพระเจ้าห้าพระองค์ สำนวนพื้นเมืองล้านช้างปรากฏคำพรรณนาถึงต้นกัลปพฤกษ์ในเหตุการณ์ตอนต้นมัณฑกัลป์ว่า “เมื่อนั้นคนทั้งหลายพร้อมอายตัวทุกแห่งเพื่อนั้นว่าหาเครื่องนุ่งบ่ได้เปลือยเนื้อสู่คนแท้ดาย อันว่าเครื่องนุ่งห่มนั้นอรธานหายจากเขาแท้แล้ว ก็บ่มีอันจักหาจักบังอายสืบไปภายหน้า ก็เล่าเป็นแต่กุศลแท้ฝูงคนในโลก ปางนั้นบุญส่งให้นำผู้แห่งเขาแลนา ก็เล่าบังเกิดต้นกามพฤกษ์ขึ้นมากเหลือหลาย ก็เล่าเป็นอาภรณ์อยู่เต็มแขนต้น อันว่ากามพฤกษ์ผ้าผืนงามเป็นดอก ก็หากงามเลิศล้ำ ผืนผ้าต่างเชิงแท้แล้ว ก็หากนานาแท้เป็นสีสันต่างกันดาย อันว่าฝูงผืนผ้าเป็นก้นห้อยอยู่ ตั้งแต่ต้นเถิงเท่าฮอดปลายแท้แล้ว ก็หากนานาแท้เป็นสีสันต่างกันดาย...เมื่อจักจากเสี่ยงยังกว้างยิ่งประมาณเจ้าเอย เมื่อนั้นคนก็ยินดีแท้ใจกระสันทุกหมู่จริงแล้ว เขาก็เอาผืนผ้างามแล้วนุ่งทงแท้แล้ว ทั้งเล่าเลือกเอาแท้มาห่มตามใจ เขาก็ปิดบังอายสู่คนตงถ้วน แม่นว่ากามพฤกษ์นั้นบังเกิดมีมา ในวันพระอาทิตย์เกิดมามวลพร้อม” ถึงแม้ว่าสำนวนนี้ยากที่จะกำหนดอายุได้ แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นถึงมโนทัศน์เกี่ยวกับต้นกัลปพฤกษ์ในวัฒนธรรมล้านช้าง-อีสานว่าเป็นต้นไม้ที่มีความเกี่ยวข้องกับต้นกัลปพฤกษ์ในวรรณคดีเรื่องสินไซที่ระบุว่ามีผ้าชนิดต่างๆ อยู่เต็มต้นให้ได้เลือก ยังมีหลักฐานอีกประการที่น่าจะสนับสนุนได้ว่าต้นกัลปพฤกษ์ในวัฒนธรรมล้านช้าง – อีสาน มีความเกี่ยวข้องกับผ้า คือ ในจารึกวัดหอพระแก้ว ตำบลพานพร้าว อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ด้านที่ ๒ กล่าวถึงทานกัลปพฤกษ์ที่บริจาคในศาลาโรงทานงานฉลองวัดหอพระแก้ว ของเจ้าอนุวงศ์ว่านอกจากจะมีเงินตราชนิดต่างๆ (เงินเฟื้อง เงินฮาง และเบฃี้ย) ยังมีผ้ากัลปพฤกษ์และซิ่นกัลปพฤกษ์อีกด้วย ต้นกัลปพฤกษ์ในจิตรกรรมอีสาน ดังที่อธิบายแล้วว่าต้นกัลปพฤกษ์ในวัฒนธรรมล้านช้าง – อีสานดูจะมีความเกี่ยวข้องกับผ้าเป็นอย่างมาก ดังตัวอย่างในวรรณคดีเรื่องสินไซ ที่ปรากฏว่าสินไซ “ได้เลือก” ผ้านุ่งจากต้นกัลปพฤกษ์ที่เขาเวระบาด ซึ่งการแสดงออกในงานจิตรกรรมที่เสาไม้ยันขื่อหอพระพุทธบาทวัดทุ่งศรีเมือง และจิตรกรรมฝาผนังที่วัดบ้านประตูชัยนั้น ต่างกับเรื่องราวเพราะตามเนื้อเรื่องระบุว่าสินไซ “เลือก” ไม่ใช่ “ขอ” ผ้านุ่ง แต่ในจิตรกรรมทั้งสองแห่งไม่ได้วาดผ้าห้อยพาดตามคาคบไม้เพื่อให้สินไซได้เลือก แต่วาดเป็นรูปหีบหรือกล่องทรงสี่เหลี่ยมที่ไม่สามารถทราบได้ว่าข้างบในบรรจุสิ่งใดสุดแต่จะขอ ซึ่งดูจะเป็นการแสดงออกที่ต้องตามคติเดิมของต้นกัลปพฤกษ์ ต่างกับจิตรกรรมฝาผนังเรื่องสินไซที่วัดไชยศรี อำเภอเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นงานพื้นบ้านอีสานรุ่นหลัง ที่นายทอง ทิพย์ชา เป็นช่างเขียน ได้วาดรูปต้นไม้ที่มีผ้าหลายผืนห้อยยาวลงมาจากพุ่มไม้ด้านบน (ภาพที่๑๒) จึงจะถูกต้องตรงกับเนื้อเรื่องสินไซมากกว่า สำหรับทรงพุ่มของต้นกัลปพฤกษ์ในจิตรกรรมวัดทุ่งศรีเมืองและวัดบ้านประตูชัยนี้ก็ชวนให้นึกถึงต้นกัลปพฤกษ์ทิ้งทานด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าขบคิดต่อไปว่า ต้นกัลปพฤกษ์ทิ้งทานที่ปรากฏในจารึกวัดหอพระแก้ว จะมีรูปทรงเช่นเดียวกับต้นกัลปพฤกษ์ทิ้งทานของกรุงเทพฯ หรือไม่ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/79367664870288_b9.gif) ภาพที่ ๑๒ : สินไซกำลังเลือกผ้านุ่งที่ต้นกัลปพฤกษ์ จิตรกรรมฝาผนังด้านนอกอุโบสถวัดไชยศรี จังหวัดขอนแก่น สรุป หากเปรียบเทียบในด้านการแสดงออกของภาพต้นกัลปพฤกษ์ระหว่างจิตรกรรมไทยประเพณีกับจิตรกรรมอีสานแล้ว น่าแปลกที่จิตรกรรมไทยประเพณีนิยมวาดต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นไม้พุ่มใบที่เต็มไปด้วยผ้านุ่งผ้าห่ม และเครื่องประดับนานาห้อยจากกิ่งหรือพาดตามคาคบไม้ จนดูเหมือนว่าผู้ต้องการที่อยู่ใต้ต้นเพียงขอหรือเลือกจากวัตถุที่ประจักษ์แก่สายตาเบื้องหน้าเท่านั้น การวาดในลักษณะนี้ดูจะไม่ต้องตรงตามคัมภีร์ที่ไม่ได้ระบุว่าต้นกัลปพฤกษ์ ต้นไม้ที่ให้ผลสำเร็จตามความปรารถนา จะมีรูปร่างอย่างใดแต่จะระบุไว้เพียงขนาดของต้น แต่ในแง่หนึ่งนั้นการวาดให้เป็นต้นไม้พุ่มใบที่เต็มไปด้วยผ้านุ่งผ้าห่มนี้ผู้ดูหรือผู้ชมภาพจะเจ้าใจได้โดยง่ายว่าต้นไม้นี้คือต้นอะไร ต่างกับต้นกัลปพฤกษ์ของอีสานชนิดที่วาดเป็นรูปต้นที่มีก้านยื่นออกมาเป็นหีบสี่เหลี่ยม จะมีข้อด้อยในการสื่อสารกับคนปัจจุบันที่คุ้นเคยกับจิตรกรรมไทยประเพณี ที่จะไม่สามารถทราบได้ว่ารูปนี้คือสิ่งใดหากไม่มีอักษรเขียนกำกับไว้ การแสดงออกของต้นกัลปพฤกษ์จากจิตรกรรมอีสานที่ยกมานี้ เป็นประจักษ์พยานประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าจิตรกรรมอีสานนั้นก็มีเอกลักษณ์ที่ต่างออกไปจากจิตรกรรมไทยประเพณี ข้อมูลและภาพ : "ต้นกัลปพฤกษ์ในจิตรกรรมอีสาน" โดย ยุทธนาวรากร แสงอร่าม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร นิตยสารศิลปากร, สำนักบริหารกลาง กรมศิลปากร จัดพิมพ์เผยแพร่่. |