[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ อนามัย => ข้อความที่เริ่มโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 12 พฤษภาคม 2557 10:53:13



หัวข้อ: ยาปฏิชีวนะเสียคุณสมบัติในการรักษาแล้วทั่วโลก
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 12 พฤษภาคม 2557 10:53:13

ยาปฏิชีวนะเสียคุณสมบัติในการรักษาแล้วทั่วโลก

(http://f.ptcdn.info/539/018/000/1399199149-WHO1024x32-o.jpg)


ขณะนี้องค์การอนามัยโลกประกาศว่า ถึงยุคที่ยาปฏิชีวนะนั้นได้สูญเสียคุณสมบัติในการรักษาโรคไปแล้วในทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างต่อเนื่องต่อสุขภาพของประชาชนทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งจะต้องยกระดับให้กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร


(http://f.ptcdn.info/539/018/000/1399199184-Antibiotic-o.jpg)

ดร. Keiji Fukuda กล่าวว่าขณะนี้ยาปฏิชีวนะสามารถใช้กับการรักษาโรค หรืออาการบาดเจ็บต่างๆได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งข้อมูลนี้ได้มาจาก 114 ประเทศทั่วโลก ถึงแม้ว่าข้อมูลจะยังไม่สมบูรณ์ในทุกพื้นที่ แต่จากการทดสอบในห้องทดลองกับแบคทีเรีย และไวรัสพบว่ายาได้สูญเสียคุณสมบัติไปแล้วจริงๆ

ดร. Carmen Pessoa Da Silva หัวหน้าทีมวิจัยการต้านทานเชื้อจุลินทรีย์กล่าวว่า เชื้อโรคนั้นมีอยู่ทุกที่ พวกมันกำเนิดมาก่อนมนุษย์เสียอีก ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เป็นปัญหาแค่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นปัญหาของมนุษยชาติเลยทีเดียว ซึ่งตอนนี้ทุกประเทศต้องช่วยกันหาทางออก และแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้

ในรายงานการศึกษาพบว่าการต้านเชื้อแบคทีเรีย 7 ชนิด ของสาเหตุโรคที่ไม่รุนแรงและรุนแรง เช่น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคท้องร่วง  โรคปอดบวม โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และหนองใน พบว่าแบคทีเรียก่อโรคสามารถต้านทานยาปฏิชีวนะได้ทั้งหมดแม้กระทั่งยาที่ใช้เป็นกรณีสุดท้ายเมื่อยาอื่นหมดทางรักษา

จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่าปัญหาที่น่ากลัวที่สุดก็คือ การที่พบว่ายาที่ใช้ในกรณีสุดท้ายในการรักษาผู้ป่วยซึ่งติดเชื้อแบคทีเรียที่ไม่รุนแรง Klebsiella pneumonia นั้นไม่สามารถต้านเชื้อนี้ได้ แบคทีเรียชนิดนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ติดเชื้อในผู้ป่วยที่สามารถมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายในโรงพยาบาล เพราะมันเป็นสาเหตุของโรคปอดบวม การติดเชื้อในกระแสเลือด และการติดเชื้อในทารกแรกเกิด และผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ยาที่ใช้ในกรณีสุดท้ายในการรักษาเมื่อผู้ป่วยติดเชื้อนี้ก็คือ Carbapanems แต่จากการเก็บข้อมูลในทุกพื้นที่พบว่าเชื้อสามารถต้านยาได้หมด ในบางประเทศจากการต้านยา Carbapanems  ทำให้ไม่สามารถรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อ K. pneumonia ได้ มากกว่าครึ่งหนึ่ง กรณีที่รุนแรงต่อการต้านยา Carbapanems นั้นเนื่องมาจากเอนไซม์ NDM1 ซึ่งยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอีก แต่ก็ยังมียา 2-3 ชนิดที่ยังสามารถใช้ต้านแบคทีเรียชนิดนี้ได้ แต่ก็เป็นยาที่เลิกใช้ไปแล้วเนื่องมาจากผลข้างเคียงของมัน


(http://f.ptcdn.info/540/018/000/1399200025-Klebsiella-o.jpg)

ยาปฏิชีวนะนั้นไม่มีชนิดใหม่เกิดขึ้นเลยนานมาถึง 25 ปีแล้ว บริษัทผู้ผลิตยาไม่สามารถรองรับต้นทุนของการวิจัยและพัฒนาได้เนื่องจากยาปฏิชีวนะชนิดใหม่นั้นต้องใช้อย่างจำกัด เพราะกลัวเกิดการพัฒนาการต้านของเชื้อต่อยา และเมื่อสร้างยาขึ้นมาได้ก็พบว่ายานั้นมีอายุการใช้งานที่สั้นมาก ยาปฏิชีวนะใหม่ที่อยู่ในท้องตลาดก็ไม่ใช่ของใหม่จริงๆเพราะก็เป็นชนิดที่มีอยู่แล้ว คือหมายความว่าแบคทีเรียก็สามารถที่จะพัฒนาตัวต้านยาเหล่านี้ได้ในไม่ช้าเช่นกัน

บางครั้งในการรักษาผู้ป่วยแพทย์ต้องเห็นการรักษาที่ล้มเหลว ต้องเห็นผู้ป่วยเสียชีวิตไปต่อหน้า เนื่องจากรักษาไม่ทัน แต่ในบางคนก็สามารถรักษาได้เพียงใช้ยาแค่ชนิดเดียวเท่านั้น แต่หลังจากนั้นก็ต้องใช้ยาตัวใหม่ ซึ่งไปเพิ่มความเสี่ยง เพราะเมื่อดื้อยาแล้วอาการป่วยก็จะเพิ่มขึ้นและการต้านยาก็จะเพิ่มขึ้นด้วย

ซึ่งจากข้อมูลนี้ได้ชี้ให้เห็นการดื้อยาที่ใช้ในวงกว้างอีกตัวก็คือ ยาที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli (E. coli) ในปี 1980 เมื่อเริ่มนำ Fluoroquinolone มาใช้รักษานั้นยังไม่มีการต้านจากเชื้อ แต่ขณะนี้ในหลายประเทศ พบว่ามันไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาแล้วในผู้ป่วยกว่าครึ่งของโรงพยาบาล

ประเทศสหราชอาณาจักรเป็นอีกประเทศที่พบการต้านยารักษาโรคหนองใน Cephalosporins และยังพบในประเทศออสเตรีย  ออสเตรเลีย  แคนาดา  ฝรั่งเศส  ญี่ปุ่น  นอร์เวย์  แอฟริกา  สโลวาเนีย  และสวีเดนอีกด้วย

องค์การอนามัยโลกได้กระตุ้นให้ประเทศต่างๆเก็บยาปฏิชีวนะไว้ใช้ในยามฉุกเฉินทั้งในคนและสัตว์ รวมทั้งให้รักษาความสะอาดของมือให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปริมาณในกรณีเชื้อดื้อยา Methicillin-Resistant Staphylococcus Aureus (MRSA) คือเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ซึ่งพบว่ามีการต้านยา Methicillin ในสหราชอาณาจักร

Médecins Sans Frontières แพทย์ประจำตัวผู้ป่วยที่รักษาขณะที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติเช่นนี้ กล่าวว่า ทั่วโลกจำเป็นที่จะต้องวางแผนการใช้ยาให้สมเหตุสมผลมากกว่านี้เพื่อที่จะจ่ายยาปฏิชีวนะได้ในกรณีที่ฉุกเฉินเท่านั้น เราเห็นถึงความน่ากลัวของการดื้อยาปฏิชีวนะในการรักษาผู้ป่วยรวมถึงในเด็กด้วย โดยเฉพาะในประเทศที่ต้องพัฒนาซึ่งการแพทย์ยังไม่เจริญเต็มที่ เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้นมา


(http://f.ptcdn.info/540/018/000/1399199862-6a00e551d9-o.jpg)

ซึ่งจากรายงานขององค์การอนามัยโลกนี้หวังว่ารัฐบาลจะตื่นตัวและกระตุ้นให้เอกชนพัฒนาตัวยาใหม่ๆขึ้นมา  การจ่ายยาปฏิชีวนะนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิทธิบัตรระหว่างประเทศและราคาที่สูงและสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของประเทศที่กำลังพัฒนาได้

(http://f.ptcdn.info/540/018/000/1399199510-saureusaga-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/540/018/000/1399199452-Antibiotic-o.gif)

ดร. Laura Piddock ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจุลชีววิทยา ของประเทศอังกฤษเห็นด้วยกับปัญหาเร่งด่วนนี้ที่โลกต้องตอบสนองวิกฤติเช่นเดียวกับในปี 1980 คาดว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการประสบผลสำเร็จ ซึ่งกล่าวว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เรายังคงต้องทำความเข้าใจลักษณะของการต้านยา เหมือนกับการค้นพบใหม่ วิจัยและพัฒนายาปฏิชีวนะใหม่ แต่ก็เป็นที่น่ากังวลเพราะทางรัฐบาลอังกฤษได้ลดทุนสนับสนุนการวิจัยยาปฏิชีวนะไปแล้ว เช่นเดียวกับทาง ดร. Martin Adams ประธานของ Society for Applied Microbiology ก็อยากให้มีการพัฒนายาปฏิชีวนะในมนุษย์และสัตว์เช่นกัน

อ้างถึง

   อ้างอิงจากเว็บไซต์ ณ วันที่ 2/5/2557
        www.who.int/mediacentre/news/releases/2014/amr-report/en/ (http://www.who.int/mediacentre/news/releases/2014/amr-report/en/)
        www.theguardian.com/society/2014/apr/30/antibiotics-losing-effectiveness-country-who (http://www.theguardian.com/society/2014/apr/30/antibiotics-losing-effectiveness-country-who)
 
   เครดิต
        www.vcharkarn.com/vnews/448658 (http://www.vcharkarn.com/vnews/448658)


รายงานฉบับนี้เชื่อถือได้จริง เพราะแหล่งที่มาของข้อมูลได้มาจากเว็บไซท์ขององค์การอนามัยโลก






 (:SHOCK:) (:SHOCK:) (:SHOCK:)




หัวข้อ: Re: ยาปฏิชีวนะเสียคุณสมบัติในการรักษาแล้วทั่วโลก
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 12 พฤษภาคม 2557 10:58:57
เพิ่มเติม...


            ในทำนองเดียวกัน องค์การอนามัยโลก ยังพบว่า ยา "ฟลูโอโรควิโนโลน" ที่เคยใช้รักษาอาการติดเชื้อในท่อปัสสาวะได้ผล กลับใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปในผู้ป่วยกว่าครึ่งที่ล้มป่วยลงในหลายๆ ประเทศ นอกจากนั้น ยังพบการดื้อยา"เซฟาลอสปอรินส์" ซึ่งเคยใช้รักษาหนองใน (โกโนเรีย) โดยใช้ยาชนิดนี้ไม่ได้ผลอีกต่อไปทั้งในยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย แอฟริกา และอเมริกาเหนือ ที่น่าตกใจก็คือ จากสถิติขององค์การอนามัยโลกพบว่า 3.6 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยวัณโรคใหม่ดื้อยาปฏิชีวนะหลายๆ ตัวพร้อมกัน นอกเหนือจากการดื้อยาปฏิชีวนะ "อาร์เตไมซินีน" ที่ปรากฏในรายงานจาก พม่า กัมพูชา ไทยและเวียดนาม แล้ว ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกด้านความมั่นคงสุขภาพ เตือนว่า หากปราศจากความร่วมมือประสานงานกันในหลายๆ ประเทศทั่วโลกอย่างเร่งด่วนแล้วละก็ โลกก็จะก้าวเข้าสู่ยุค หลังยาปฏิชีวนะ อย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาดังกล่าวคือยุคที่ยาปฏิชีวนะเท่าที่เรามีอยู่จะไม่สามารถใช้รักษาเยียวยาอาการติดเชื้อใดๆ ได้อีก ซึ่งจะส่งผลให้ แม้อาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ก็สามารถคร่าชีวิตเราได้ในทันที

            ในส่วนของประเทศไทยมีรายงานจากสาธารณสุข เผยเหตุเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะทำคนไทยเสียชีวิตปีละกว่า 30,000 ราย เนื่องจากการใช้อย่างไม่จำเป็นและเกินความจำเป็น  ปัจจุบัน(พ.ศ.๒๕๕๖)ปัญหาการดื้อยาของเชื้อจุลชีพทำให้เกิดโรคมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุสำคัญมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะที่มากขึ้น ทั้งการใช้อย่างไม่จำเป็นและเกินความจำเป็น โดยมูลค่าการใช้ยาปฏิชีวนะของคนไทยมากกว่า 10,000 ล้านบาท/ปี และมีการติดเชื้อชนิดที่ดื้อยาปฏิชีวนะ ปีละกว่า 100,000 คน ทำให้ยาปฏิชีวนะตัวเก่าที่เคยใช้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร ผู้ป่วยบางรายต้องเปลี่ยนใช้ยาตัวใหม่ ซึ่งมีราคาแพงมาก เชื้อดื้อยาบางชนิดไม่มียารักษาที่มีประสิทธิผลดีและปลอดภัย ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่มขึ้น ใช้เวลารักษานานขึ้น และโอกาสเสียชีวิตสูง ผลเสียต่อไปหากเชื้อชนิดนี้แพร่ไปสู่ผู้ป่วยรายอื่นและเกิดการระบาดในชุมชน จะมีผลทำให้โรคติดต่อที่เคยควบคุมได้กลับมาระบาดมากขึ้น

             นอกจากนี้ เชื้อดื้อยายังสามารถถ่ายทอดรหัสพันธุกรรมดื้อยาไปสู่เชื้อสายพันธุ์อื่น เสียชีวิตปีละ 38,481 ราย ซึ่งสูงกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และมากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคหลอดเลือดสมอง ที่มีจำนวน 50,829 ราย เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ เป็นค่ายาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาเชื้อดื้อยา มูลค่าประมาณ 2,539-6,084 ล้านบาท และค่าการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ปีละกว่า 40,000 ล้านบาท. - สำนักข่าวไทย
                                                                     

การรณรงค์แก้ไข

              ข้อเสนอขององค์การอนามัยโลก เสนอให้จัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการเฝ้าระวังการดื้อยาปฏิชีวนะขึ้นในระดับโลก นอกเหนือจากการจัดทำมาตรฐานการใช้ยาปฏิชีวนะในปศุสัตว์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกแล้ว ยังเรียกร้องให้มีการให้การศึกษาต่อสาธารณะให้ระมัดระวังในการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อเหล่านั้นดื่อยา  ที่สามารถปฏิบัติได้ง่าย แต่ไม่ค่อยมีการตระหนักถึงความสำคัญมากมายนัก อย่างเช่น การใช้ยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งเท่านั้น การใช้ยาปฏิชีวนะให้ครบโดสตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด และไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะเหลือใช้หรือร่วมกับผู้ป่วยราย อื่นๆ เป็นต้น

               ที่จริงยาปฎิชีวนะฆ่าแบคทีเรียแต่ไม่สามารถฆ่าไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัด แพทย์มักสั่งจ่ายยานี้บ่อยเพื่อเอาใจความต้องการคนไข้ จึงทำให้เกิดการดื้อยา ศูนย์การควมคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริการายงานว่า ประมาณร้อยละ ๕๐ใบสั่งยาปฎิชีวนะในสหรัฐสั่งออกเกินความจำเป็น  วิธีใหม่วิธีหนึ่งในการแก้ไขการใช้ยาปฎิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อก็คือให้ แพทย์ผู้ชำนาญการเขียนคำสัญญาไม่ใช้ยานี้โดยไม่จำเป็นมีการศึกษา พบว่า จะลดการออกใบสั่งยานี้ถึงหนึ่งในสามเมื่อเปรียบเทียบกับแพทย์ผู้ไม่ได้ให้คำสัญญานั้น

             ที่สหรัฐอเมริกามีการทำการศึกษาให้แพทย์เขียนคำมั่นสัญญาขนาดแผ่นโปสเตอร์ ว่าจะปฎิบัติตามกฎกติกาการออกใบสั่ง เขียนติดไว้ในห้องตรวจ ในคำประกาศยังบอกว่ายาปฎิชีวนะไม่สามารถแก้หวัดได้แต่จะเพิ่มอาการข้างเคียงและการดื้อต่อยามากขึ้น การกระทำดังนั้นสามารถลดการออกใบสั่งยาปฎิชีวนะพร่ำเพื่อได้หนึ่งในห้าส่วนจากเดิม  อย่างไรก็ตามการศึกษานี้ทำกันในกลุ่มแพทย์จำนวนน้อย ควรที่จะมีการวิจัยให้กระทำกันกับแพทย์จำนวนมาก และถ้าได้ผล ในทางทฤษฎ๊มันจะขจัดใบสั่งยาปฎิชีวนะแบบพร่ำเพรื่อ ๒.๖ล้านใบสั่งและประหยัดเงินค่ายาของชาติ(สหรัฐ)ได้ ๗๐.๔ล้านดอลลาร์   




เรียบเรียงและที่มาของข้อมูลจาก

๑ มติชน ฉบับวันที่ 5 พ.ค. 2557 (กรอบบ่าย)
๒ จาก Antibiotic Overkill;April 2014,Scientific Ameican
๓ สำนักข่าวไทย TNA News