หัวข้อ: กริช มีดสั้นที่เป็นทั้งอาวุธและวัตถุมงคล เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 พฤษภาคม 2557 13:42:30 .
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/25900947219795_1.jpg) กริช kris คำ กริช ในภาษาไทยน่าจะถอดมาจาก kris ในภาษามลายู แปลว่ามีดสั้น โดยที่คำนี้ผ่านมาจากภาษาชวาโบราณอีกทอดหนึ่ง คือ งริช หรือ เงอะริช หมายถึง แทง ภาษาอังกฤษใช้ว่า kris ตามภาษามลายู ส่วนภาษาถิ่นใต้เรียกว่า กรือเระฮ์ กริชเป็นมีดสั้นแบบหนึ่ง เป็นทั้งอาวุธและวัตถุมงคล บ่งบอกถึงเหตุดีร้ายในชีวิตได้ ปัจจุบันยังนิยมสะสมเป็นของเก่าที่มีคุณค่าสูง และเนื่องจากกริชมีความเกี่ยวข้องกับชาวชวาในสมัยโบราณที่เชื่อในเทพเจ้า ลักษณะของด้ามกริชจึงมักทำเป็นรูปสัตว์ในเทพนิยายของชวา และไม่ขัดกับหลักศาสนาอิสลาม ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อกันว่ากริชเริ่มมีใช้ในเกาะชวา แล้วแพร่หลายไปทั่วหมู่เกาะอินโดนีเซีย และไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันนอกจากในหมู่ผู้คนในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบางจังหวัดทางภาคใต้ของไทย รวมถึงบรูไน และฟิลิปปินส์ตอนใต้ ยังเป็นที่รู้จักในกัมพูชา สิงคโปร์ และเวียดนาม กริชมีส่วนประกอบสำคัญคือ ๑. ตัวกริช หรือตากริช หรือใบกริช ซึ่งมีโครงสร้างที่แตกต่างกันอยู่ ๒ แบบ คือ แบบใบปรือ (ปรือ คือพืชน้ำชนิดหนึ่ง ใบยาว บาง เรียว) กับแบบคด ตัวกริชแบบใบปรือ เป็นรูปยาว ตรง ส่วนปลายค่อยๆ เรียวและบางลงจนบางที่สุด จะแหลมหรือมนก็แล้วแต่ รูปทรงคล้ายใบปรือ กริชใบปรือบางเล่มจะมีร่องลึกยาวขนานไปกับคมกริช บางเล่มมีร่องลึก ๒-๔ ร่อง ส่วนตัวกริชคด มีลักษณะคดไปคดมา หยักเป็นลอนคลื่น (รอยหยักนับเป็นเลขคี่เสมอ) และค่อยๆ เรียวแหลม รูปทรงคล้ายเปลวเพลิง การทำกริชให้คดเพื่อเมื่อแทงจะทำให้บาดแผลเปิดกว้างกว่า และสามารถแทงผ่านกระดูก โคนของตัวกริชกว้าง และเป็นอาวุธมีคมทั้งสองด้าน การทำตัวกริชโบราณเริ่มจากเตรียมกระบอกเหล็กเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒ นิ้ว ยาวประมาณ ๒๐ นิ้ว เอาชิ้นเหล็กหรือโลหะหลายๆ ชนิด รวมทั้งเหล็กกล้า เหล็กเนื้ออ่อน บรรจุลงในกระบอกเหล็กดังกล่าว ตีกระบอกเหล็กให้แบนพอเหมาะ นำตั้งบนเตาไฟหลอมให้เหล็กเหลวเป็นเนื้อเดียวกัน หากหลอมไม่เข้ากันสนิท ให้นำชิ้นเหล็กเหล่านั้นแช่ในน้ำดินเหนียว ตั้งไฟหลอมใหม่จนกว่าจะเข้ากันสนิทดี นำมาวางบนแท่นและตีให้แบนเป็นรูปร่างกริชที่ต้องการ ซึ่งต้องใช้เวลามาก จากนั้นนำไปฝน ลับ ตกแต่งตามประสงค์ การหลอม ตี ฝน ลับ ต้องอาศัยจิตใจที่มีสงบ มีสมาธิ และพลังจิตสม่ำเสมอ การกำหนดสัดส่วนของโลหะที่ผสมกันต้องใช้ประสบการณ์ที่สูงส่งจนกระทั่งรู้ได้ว่าสัดส่วนใดดีที่สุด และเนื้อโลหะจะเกิดลวดลายออกมาแบบใด ต้องรักษาระดับความร้อนของไฟในเตาหลอมให้พอดีกับชนิดของโลหะที่จะหลอม ต้องรู้จังหวะและน้ำหนักของกำลังยามใช้ค้อนตีเหล็กที่กำลังร้อน ต้องเต็มไปด้วยความประณีตและบรรจง การทำมุกขั้นตอนนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ได้กริชสวยงาม มีลวดลายสูงค่า และผนึกเอาจิตใจของผู้ทำเข้าไว้ในตัวกริช อันจะส่งผลในทางที่ดีต่อผู้พกพากริชเล่มนั้นตลอดไป ตรงใบมีดอาจมีรอยประทับประจำตัวของช่างแต่ละคน เช่น รอยนิ้วหัวแม่มือ ริมฝีปาก ๒. หัวกริช หรือด้ามกริช นิยมทำเป็นรูปหัวคน หัวสัตว์ ต่อมาเปลี่ยนเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่ไม่ผิดหลักศาสนา หัวกริชจะแกะจากวัสดุต่างๆ เช่น ไม้เนื้อแข็ง งาช้าง เขาสัตว์ หรือหล่อด้วยโลหะ ๓. ปลอกสวมกั่น เป็นส่วนที่ติดกับหัวกริชเพื่อให้หัวกริชยึดติดกับกั่นอย่างมั่นคง และไม่ให้หัวกริชแตกร้าวได้ง่าย นิยมทำด้วยโลหะทองเหลือง เงิน หรือทองคำ แกะสลักลวดลายประณีต ๔. ฝักกริช เป็นที่เก็บคมกริชเพื่อสะดวกในยามพกพา มักทำด้วยโลหะชนิดเดียวกับโลหะที่ทำปลอกสวมกั่น และแกะสลักด้วยความประณีตสวยงาม สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ จัดพิมพ์โดยสถาบันทักษิณคดีศึกษา มีคำตอบถึง กริช ว่า คตินิยมของการใช้กริชในบริเวณคาบสมุทรมลายูและบริเวณ ใกล้เคียงมีขึ้นอย่างกว้างขวางจากอิทธิพลของชวา ทำให้เกิดการพัฒนารูปแบบไปตามกลุ่มวัฒนธรรม จนมีลักษณะเด่นเฉพาะตัว โดยมีการจำแนกกลุ่มของกริชโดยอาศัยรูปแบบของด้ามและ ฝักเป็นหลักออกเป็น ๗ กลุ่ม คือ ๑. กริชแบบสกุลช่างบาหลีและมูดูรา เป็นกริชของชวาฮินดู ด้ามกริชมักแกะสลักเป็นรูปบุคคลลักษณะเหมือนจริงมากกว่าเป็นแบบนามธรรม และมีความเป็นอัตลักษณ์ที่เด่นชัด ๒ แบบ คือแกะสลักเป็นรูปยักษ์หรือรูปรากษส และแบบเทพยดาที่ทรงเครื่องแบบตัวละครในนาฏศิลป์ของบาหลี ทั้ง ๒ แบบแสดงรายละเอียดต่างๆ ไว้ชัดเจน ไม่ว่า ตา หู จมูก คอ มือ เท้า ตลอดจนเส้นผมและหนวดเครา และเสื้อผ้าอาภรณ์ ฝักกริชแบบบาหลีมี ๒ แบบ ที่นิยมกันและตรงกับของชวาคือแบบกายามันและแบบลาดรังงัน แต่แบบกายามันของบาหลีมีความมนกลมมากกว่า มีลักษณะคล้ายลอนตาลหรือเมล็ด ลูกสะบ้า ส่วนฝักกริชบาหลีแบบลาดรังงันปีกฝักลักษณะคล้ายตัวเรือและมีความหนาเทอะทะกว่าของชวา และนิยมสลักลวดลายในเนื้อไม้ มีทั้งลายเครือเถาและลายหน้ากาล ๒. กริชแบบสกุลช่างชวา ด้ามกริชแบบชวามองดูคล้ายกับศิวลึงค์ ปลายด้ามโค้งมนคล้ายเมล็ดถั่ว หรือเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ บริเวณโคนด้ามเป็นปุ่มมน มีการแกะสลักเพียงเล็กน้อยตรง บริเวณใต้จุดที่หักงอของด้ามและบริเวณโคนด้าม ส่วนที่เหลือจะเกลาจัดเรียบ ฝักกริชแบบชวา มี ๒ แบบ คือ แบบกายามัน ปีกฝักมีรูปคล้ายผลมะม่วง และแบบลาดรังงัน ของชวามีลักษณะคล้ายรูปเรือแต่ด้านหัวม้วนโค้ง ด้านท้ายเชิดงอนและเรียวแหลมกว่าแบบลาดรังงันของบาหลี ก้านฝักของชวานิยมสวมปลอกเงินหรือทองเหลืองทั้งแบบเรียบและดุนลาย ปลายฝักมีลักษณะโค้งมนคล้ายปลายนิ้วมือ ๓. กริชคาบสมุทรตอนเหนือ ด้ามกริชรูปแบบคล้ายคนนั่งกอดอก เอียงไหล่ ตะแคงหน้า บนศีรษะมีครีบแหลมคล้ายหงอนไก่ ในภาคใต้เรียกด้ามกริชแบบนี้ว่า "ด้ามกริชหัวลูกไก่" หรือ "ด้ามกริชหัวลูกไก่ตายโคม" ชาวมลายูในภาคใต้ตอนล่างเรียกว่า "ด้ามกริชแบบอา เนาะอาแย" แปลว่าด้ามกริชหัวลูกไก่เช่นกัน ส่วนชาวมุสลิมในมาเลเซียเรียกว่า "ฮูลูยาวาเดมัน" แปลว่าด้ามกริชแบบชวาป่วย เพราะดูคล้ายคนป่วยนั่งจับเจ่ากอดอกคอตกตะแคง ส่วนฝักกริชแบบกลุ่มคาบสมุทรตอนเหนือมีรูปแบบเรียบเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปีกฝักมีเหลี่ยมมุมคมชัด เชื่อกันว่าฝักกริชของ กลุ่มนี้ดัดแปลงมาจากรูปแบบของฝักกริชบูกิส และเป็นรูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นในคาบสมุทรมลายู (http://www.sookjaipic.com/images_upload/46265186079674_2.jpg) ๔. กริชแบบสกุลช่างบูกิส กริชกลุ่มนี้มีต้นกำเนิดมาจากชาวบูกิสในเกาะสุลาเวสี หรือเกาะซีลีเบส หรือเกาะมักกะสัน ด้ามกริชของ กลุ่มบูกิสคล้ายแบบลูกไก่ตายโคม แต่ไม่มีมือกอดอก ด้ามกริช แบบนี้ชาวไทยพุทธในภาคใต้เรียกว่า "ด้ามกริชแบบหัวจังเหลน" หรือ "หัวจังเหลนคอยบ่อ" เพราะมีลักษณะคล้ายกับตัวจังเหลน (จิ้งเหลน) ชาวมุสลิมในภาคใต้เรียกว่า ฮูลูกะด๊ะ (ด้ามกริชแบบฝักลูกเนียงนกซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านชนิดหนึ่ง) ชาวมุสลิมบางกลุ่มเรียกว่า ฮูลูแลแบ็ง ปีกฝักของกริชกลุ่มบูกิสมีเหลี่ยมมนไม่มาก และไม่ชัดเจนเหมือนอย่างแบบของกลุ่มคาบสมุทรตอนเหนือ ๕. กริชแบบสกุลช่างสุมาตรา หรือ กริชอาเนาะแล มีต้นกำเนิดในเกาะสุมาตรา ด้ามกริชกลุ่มนี้ที่พบมามากมี ๒ แบบ คือแบบด้ามหักมุมคู้งอคล้ายหัวไม้เท้า และแบบหัวลูกไก่ ฝักกริชแบบนี้ลักษณะเด่นอยู่ที่ส่วนปีกฝัก ซึ่งมีรูปคล้ายหางปลา หรือคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ชาวมุสลิมในภาคใต้เรียกกริชที่มีฝักและด้ามดังกล่าวว่า กริชอาเนาะแลหัวไม้เท้า หรืออาเนาะแลหัวลูกไก่ แล้วแต่ลักษณะของด้าม ๖. กริชแบบซุนดัง เป็นกริชกลุ่มที่นิยมใช้กันในกลุ่มมุสลิม โมโรในเกาะมินดาเนาของฟิลิปปินส์ ส่วนแหล่งกำเนิดยังไม่แน่ชัด เป็นกริชขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายกระบี่หรือดาบสองคมของจีน บางเล่มกว้างถึง ๓ นิ้ว และยาวถึง ๒๗ นิ้ว มีทั้งแบบใบกริชตรงและใบกริชคด ด้ามกริชกลุ่มซุนดังมีลักษณะคล้ายหัวนกกระตั้ว เอกลักษณ์อีกอย่างคือ กั่นกริชเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมแบน ต่างกับของกลุ่มอื่นที่มีกั่นลักษณะกลม ฝักของกริชกลุ่มซุนดังไม่มีรูปแบบของตนเอง ใช้ฝักแบบอาเนาะอะแล ก็มี ฝักแบบบูกิส ก็มี ๗. กริชแบบสกุลช่างปัตตานี นิยมใช้ในพื้นที่ปัตตานี ยะลา นราธิวาส บางส่วนของสงขลาและสตูล ด้ามกริชแกะสลักจากไม้เป็นรูปยักษ์หรือรากษสตามคติความเชื่อแบบฮินดู-ชวา แต่มีจมูกยาวงอน นัยน์ตาถลนดุดัน ปากแสยะมองเห็นไรฟันและเขี้ยวแหลมงอนโค้ง ส่วนที่เป็นเส้นผมและเครา ตลอดจนเครื่องประดับช่างรังสรรค์ให้เป็นกระหนกเครือเถาที่มีความงามวิจิตรแฝงไว้ด้วยอำนาจและพลังลึกลับ เนื่องจากด้ามกริชแบบปัตตานีมีรูปเป็นยักษ์แต่จมูกยาวงอน คนทั่วไปในชั้นหลังจึง มองเห็นเป็นแบบ "หัวนกพังกะ" หรือนกกระเต็น จึงเรียกกันว่า กริชหัวนกพังกะ ส่วนชาวมุสลิมในภาคใต้เรียกว่า กริชตะยง เฉพาะกริชที่ด้ามไม่มีเคราใต้คางบางท้องถิ่นเรียกว่า กริชจอแต็ง ฝักกริชแบบปัตตานีมีรูปคล้ายเรือ ก้านฝักมีลักษณะ ป้อม-มนและยาวขนาน ฝักมี ๒ แบบใหญ่ แบบรุ่นเก่าทำจากไม้ชิ้นเดียวนำมาเจาะคว้านและเกลาจนเป็นฝักกริช แบบรุ่นหลังทำแบบนำเอาไม้มาต่อเข้าเดือยเป็นส่วนๆ มีชนิด ๒ ชิ้นก็มี ๓ ชิ้นก็มี ฝักกริชรุ่นเก่านิยมทำจากไม้ประดู่หอม รุ่นหลังนิยมทำจากไม้แก้วดีปลี นิยมเคลือบเงาฝักกริชด้วยยางจากต้นชนวน ซึ่งเป็นไม้พื้นบ้าน ฝักกริชแบบปัตตานีไม่นิยมสวมปลอกด้วยเงินหรือโลหะชนิดอื่น...นสพ. ข่าวสด (http://www.sookjaipic.com/images_upload/71284907393985_3.jpg) |