[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สยาม ในอดีต => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 03 มิถุนายน 2557 14:40:32



หัวข้อ: พงศาวดารยุทธหัตถี
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 03 มิถุนายน 2557 14:40:32
.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/49882464069459_1.JPG)
"ยุทธหัตถี" ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ
วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จังหวัดพิษณุโลก


พงศาวดารยุทธหัตถี

หนังสือที่เรียกว่าพงศาวดารนั้น อาลักษณ์ได้เนื้อแท้ เรียบเรียงจากปูมโหร ซึ่งจดนานาเหตุการณ์ ทั้งลางและนิมิตความวิปริตของดินฟ้า ไปจนถึงพระราชกรณียกิจ
 
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มีอยู่หลายฉบับ ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ฉบับปริชมิวเซียม ฉบับพระราชหัตถเลขา
 
ฉบับที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ โปรดให้สมเด็จพระพนรัตน์ วัดเชตุพน ชำระ ดร.แดน บีช บรัดเลย์ มิชชันนารีโปรเตสแตนต์ ชาวอเมริกัน ได้จัดพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๗ นับเป็นการจัดพิมพ์พระราชพงศาวดารครั้งแรก
 
ต่อไปนี้เป็นเนื้อหาที่คัดมาจากตอนแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า (พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหมอบรัดเลย์ สำนักพิมพ์โฆษิต)
 
...สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ก็ทรงแต่งเครื่องประดับสำหรับราชกษัตริย์ สู่สมรภูมิสงคราม วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ทรงพระแสงธนูแล้ว เสด็จขึ้นเกยคอยฤกษ์...พอได้ยินเสียงปืนยิงยุทธแย้งสุดเสียง ตรัสให้จมื่นทิพเสนาเอาม้าเร็ว ไปฟังราชการ เห็นทัพหน้าพ่ายมาเป็นอลหม่าน
 
ตรัสถามว่า เหตุใดจึงพ่ายข้าศึก ขุนหมื่นกราบบังคมทูลว่า ยกขึ้นไปถึงท้ายโคกเผาข้าว เพลาประมาณโมงเศษ พบกองทัพรามัญยกมาปะทะ ตีกันถึงตะลุมบอน ศึกหนักกว่าทุกครั้งจึงพ่าย
 
ตรัสดูความคิดมุขมนตรีว่า ทัพหน้าพ่ายดังนี้ จะคิดเห็นประการใด
 
เสนาบดีมุขมนตรีกราบทูลว่า ขอเชิญเสด็จทัพหลวงตั้งมั่นอยู่ก่อน แต่งทัพไปตั้งรับหน่วงไว้ ต่อได้ทีแล้ว จึงเอาทัพหลวงออกทำยุทธหัตถีเห็นจะได้ชัยชำนะ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เห็นด้วย ดำรัสว่า “ทัพหน้าแตกฉานมาแล้ว แลจะแต่งทัพออกไปรับไว้ ก็จะมาปะทะกันเข้า จะพลอยให้แตกไปอีก”
 
ชอบให้เปิดลงมาทีเดียว ให้ข้าศึกไล่ละเลิงใจเสียขบวนมา เราจึงยกทัพใหญ่ยอข้าศึก เห็นจะได้ชัยชำนะโดยง่าย...
 
ฝ่ายทัพรามัญเห็นทัพชาวพระนครพ่าย มิได้ตั้งรับ ยิ่งมีใจกำเริบ ไล่ระส่ำระสายมิได้เป็นขบวน สมเด็จพระนเรศวรผู้เป็นเจ้า เสด็จคอยฤกษ์ ทอดพระเนตรเห็นมหาเมฆตั้งขึ้นมาแต่ทิศพายัพ แล้วกลับเกลื่อนคืนกระจายอันตรธานไป พระสุริยะเทวบุตรจรัสแจ่มดวงในนภดลนภากาศ
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จทรงเจ้าพระยาไชยานุภาพเป็นคชาธาร สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จทรงเจ้าพระยาปราบไตรจักร เป็นพระคชาธาร พลทหารก็โห่สนั่นบันลือศัพท์แตรสังข์ เสียงประโคมฆ้องกลองชนะกลองศึก สะท้านสะเทือนประหนึ่งแผ่นดินจะไหว
 
ใกล้ทัพหน้าข้าศึก ทอดพระเนตรเห็นพลพม่ารามัญยกมานั้นเต็มท้องทุ่ง เดินดุจคลื่นในมหาสมุทร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ขับพระคชาธารเข้าโจมแทงช้างม้ารี้พล พม่าล้มตายเกลื่อนกลาด ช้างม้าข้าศึกได้กลิ่นน้ำมันพระคชาธาร ก็หกหันตลบปะกันเป็นอลหม่าน พลพม่ารามัญก็โทรมยิงธนูหน้าไม้ปืนไฟระดมพระคชาธาร...
 
แลธุมาการก็ตลบมืดเป็นหมอกมัว มิได้เห็นประจักษ์
 
สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า จึงประกาศแก่เทพยดาทั้งปวงว่า ไฉนจึงไม่ช่วยให้สว่างเห็นข้าศึกเล่า พอตกพระโอษฐ์ พระพายก็พัดควันอันเป็นหมอกมืดนั้นสว่างไป
 
ทอดพระเนตรเห็นช้างเศวตฉัตรสิบสองช้าง มีช้างดั้งช้างกันยืนอยู่เป็นอันมาก...ครั้นเหลือบไปทิศขวาพระหัตถ์เห็นช้างเศวตฉัตรช้างหนึ่ง ยืนอยู่ ณ ฉายาไม้ข่อย มีเครื่องสูงและทหารหน้าช้างมาก ก็เข้าใจถนัดว่าช้างพระมหาอุปราชา
 
ก็ขับพระคชาธารตรงเข้าไป ทหารหน้าช้างข้าศึกก็วางปืนจ่ารงค์มณฑกนกสับตะแบงแก้วระดมยิง มิได้ต้องพระองค์แลพระคชาธาร
 
สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า จึงตรัสร้องเรียกด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า
 
พระเจ้าพี่เรา จะยืนอยู่ไยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว
 
พระมหาอุปราชาได้ฟังดังนั้น ละอายพระทัยมีขัติยราชมานะ ก็บ่ายพระคชาธารออกมารับ เจ้าพระยาไชยานุภาพเห็นช้างข้าศึก ก็
ไปด้วยฝีล้นน้ำมัน มิทันยั้งเสียที พลายพัทกอได้ล่างแบกรุนมา พระมหาอุปราชาจ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าว
 
สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า เบี่ยงพระมาลารับ พระแสงขอมิได้ต้องพระองค์ เจ้าพระยาไชยานุภาพสะบัดลงได้ล่างแบกถนัด พลายพัทกอเพลี่ยงเบนไป สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าได้ที จ้วงฟันด้วยพระแสงพลพ่าย ต้องพระอังศาเบื้องขวามหา-อุปราชา ซบลงกับคอช้าง...
 
เจ้าพระยาปราบไตรจักร พระคชาธารสมเด็จพระเอกาทศรถ ก็เข้าชนช้างด้วยพลายพัชเนียง ช้างมางจาชะโร เจ้าพระยาปราบไตรจักรได้ล่าง พัชเนียงเสียทีเบนไป สมเด็จพระเอกาทศรถจ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าว ต้องศอมางจาชะโรขาดตายกับคอช้าง
 
ขณะเมื่อได้ชัยชำนะมหาอุปราชาและมางจาชะโรแล้ว บรรดาท้าวพระยามุขมนตรีนายทัพนายกองซ้ายขวา หน้าหลังทั้งปวง จึงมาทันเสด็จเข้ารบพุ่งแทงควันข้าศึกเป็นสามารถ
 
แลพวกพลพม่ารามัญทั้งนั้น ก็แตกกระจัดกระจายไป
 
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสให้ก่อพระเจดีย์ฐาน สวมศพพระมหาอุปราชาไว้ตำบลตระพังตรุ
 
แลโปรดพระราชทานช้างช้างหนึ่งกับหมอแลควาญ ให้เจ้าเมืองมะลวน กลับขึ้นไปแจ้งกับพระเจ้าหงสาวดี.
...นสพ.ไทยรัฐ