หัวข้อ: การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของพระพุทธรูป เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 10 พฤศจิกายน 2557 12:18:06 .
(http://www.sookjaipic.com/images/7637776612_2.JPG) พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ ประดิษฐานในพระวิหารลายคำ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หนังสือสารานุกรมไทยฯ โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวว่า - ชั้นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสำคัญของไทยปัจจุบันมี ๒ องค์ ได้แก่ พระพุทธสิหิงค์ และพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ราศี บุรุษรัตนพันธุ์ เขียนเรื่องการเดินทางครั้งใหญ่ของพระพุทธรูปในสมัยรัตนโกสินทร์ ไว้ในหนังสือพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง (วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร สำนักพิมพ์ทิพากร ๒๕๔๔) ว่า หลังการตั้งกรุงเทพมหานคร เป็นราชธานีแห่งใหม่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเริ่มการทำนุบำรุงพระอารามต่างๆ จากการที่ทรงเป็นแม่ทัพใหญ่รอนแรมเดินทางไปหัวเมืองต่างๆ หลายครั้ง ทรงได้พบเห็นวัดวาอารามและพระพุทธรูปใหญ่น้อยในบ้านเมืองที่ห่างไกล อยู่ในสภาพทรุดโทรม หักพัง เสื่อมสลายอยู่ในที่รกร้างด้วยภัยสงคราม จึงทรงมีพระบรมราชโองการให้ขนย้ายเข้ามาบูรณะซ่อมแซมในกรุงเทพฯ พระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองหลายองค์ ได้มาสู่กรุงเทพฯในครั้งนี้ อาทิ พระศรีสรรเพชญ์ พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่แห่งกรุงศรีอยุธยา โปรดให้นำมาบรรจุไว้ในองค์เจดีย์วัดพระเชตุพน เนื่องจากถูกพม่าสุมไฟเอาสำรอกเอาทองคำ เสียหายจนเกินกว่าจะบูรณะได้ พระศรีศากยมุนี จากวิหารหลวงวัดมหาธาตุสุโขทัย ก็โปรดให้นำลงแพล่องมาสู่กรุงเทพฯ ดังที่ กล่าวไว้ในพระราชพงศาวดาร ดังนี้ ลุศักราช ๑๑๗๐ ปีมะโรงสัมฤทธิ์ศก เป็นปีที่ ๒๗ ณ วันพฤหัสบดี เดือนหก ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ เชิญพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ซึ่งเป็นพระประธานในวิหารหลวง ลงมาจากเมืองสุโขทัย หน้าตักสิบศอก ทรงพระนามว่า พระศรีศากยมุนี สมโภชที่พระตำหนักแพสามวัน ครั้น ณ เดือนหก ขึ้นสิบสี่ค่ำ เชิญชักพระขึ้นจากแพทางประตูท่าช้าง ไปทำร่มไว้ข้างถนนเสาชิงช้า ประตูนั้นก็เรียกว่าประตูท่าพระมาจนทุกวันนี้ เหตุว่าต้องรื้อประตูจึงเชิญเข้าไปได้ ยังมีพระพุทธรูปสำคัญที่เจ้านายผู้ใหญ่เห็นว่า คู่ควรแก่พระบุญญานุภาพ ก็ทรงนำกลับมาสู่กรุงเทพมหานคร เช่น พระพุทธสิหิงค์ พงศาวดารกล่าวว่า ลุศักราช ๑๑๕๗ ปีเถาะสัปตศก ในรัชกาลที่ ๑ เดือนห้า พม่ายกมาตีเมืองเชียงใหม่ กรมพระราชวังบวร ยกขึ้นไปช่วยตีพม่าแตกไป จับอุบากองนายทัพพม่าได้คนหนึ่ง แล้วเจ้าเมืองเชียงใหม่ถวายพระพุทธสิหิงค์ เป็นพระศักดิ์สิทธิ์สำหรับเมืองเชียงใหม่ลงมา พระพุทธสิหิงค์องค์นี้ เมื่อแผ่นดินพระนารายณ์มหาราชเจ้าเสด็จขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ ก็ได้เชิญเสด็จลงมาไว้ที่กรุงเก่าครั้งหนึ่ง ครั้นสิ้นแผ่นดินแล้วจะเป็นแผ่นดินพระเพทราชา ฤๅจะเป็นแผ่นดินทรงปลาไม่แน่ เจ้าเชียงใหม่ลงมาเฝ้า เสียสินบนให้เจ้าจอมข้างใน กราบทูลขอขึ้นไปได้ ครั้งนี้ก็ได้เชิญลงมาอยู่ที่กรุงอีก กรมพระราชวังบวรเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ที่พระที่นั่ง เดี๋ยวนี้เป็นพุทไธสวรรย์ในพระบรมมหาราชวัง การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของพระพุทธรูป ในประวัติศาสตร์ไทย เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ นี้เอง นั่นคือการขนย้ายพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะ ๑,๒๔๗ องค์ มีทั้งสมบูรณ์ และชิ้นส่วนชำรุดหักพัง ทรงโปรดฯให้นำมาบูรณะซ่อมแซมต่อเติมบางส่วนประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ พระวิหารทิศ พระวิหารคด และพระระเบียงชั้นนอกของวัดพระเชตุพนฯ อีกหลายร้อยองค์ที่เหลือ ก็โปรดให้เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชบริพาร นำไปประดิษฐานไว้ในวัดวาอารามต่างๆ ที่บุคคลเหล่านั้นมีส่วนในการบูรณะ แลในพระอุโบสถและพระวิหารพระระเบียงนั้น เชิญพระพุทธปฏิมากรหล่อด้วยทองเหลืองสัมฤทธิ์ ชำรุดปรักหักพัง อยู่ ณ เมืองพระพิษณุโลก สวรรคโลก เมืองสุโขทัย เมืองลพบุรี กรุงเก่า วัดศาลาสี่หน้า ใหญ่น้อยพันสองร้อยสี่สิบแปดองค์ลงมาให้ช่างหล่อต่อพระศอ พระเศียร พระหัตถ์ พระบาท แปลงพระพักตร์ พระองค์ ให้งามแล้ว พระพุทธรูปขนาดใหญ่ คงจะถูกส่งมาโดยการนำลงแพไม้ไผ่ล่องมาเช่นเดียวกับการอัญเชิญพระศรีศากยมุนี ในคราวแรกคงจะมาพร้อมกันคราวละหลายองค์ ภาพของขบวนพระพุทธรูปผ่านเส้นทางน้ำตลอดระยะทางจากเมืองเหนือมาสู่กรุงเทพฯคงจะเป็นภาพหน้าดูติดหูติดตาของชาวบ้าน และคงมีหลายองค์ที่พลัดหลงหลุดขบวน สูญหายไป จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม บางองค์พลัดหลงไปตามลำคลอง มีผู้อัญเชิญขึ้นไปไว้เกิดเป็นตำนานพระพุทธรูปลอยน้ำ การอัญเชิญพระพุทธรูปจากต่างเมืองยังมีอยู่อีกหลายครั้ง เช่นปรากฏในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๓ มาถึง ณ วันพุธ เดือน ๑ แรม ๒ ค่ำ แพพระพุทธรูป พระชินสีห์เมืองพระพิษณุโลก ล่องมาถึงกรมพระราชวัง ได้สมโภชแล้วเชิญเสด็จขึ้นประดิษฐานไว้ ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศฯ พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๓ ยังกล่าวถึงพระพุทธรูปสำคัญจากดินแดนล้านช้าง...พระเสริม พระไส พระศุก พระแซ่คำ พระแก่นจันทน์ พระสรงน้ำ พระเงินหล่อ พระเงินบุ รวม ๘ องค์ หลายองค์จากเวียงจันทน์ ได้มาสู่กรุงเทพฯในรัชกาลพระจอมเกล้าฯ... ตามหลักฐานในสำเนาพระราชหัตถเลขาถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๑ ดังต่อไปนี้ ฉันขึ้นไปถึงกรุงเก่า ได้นมัสการพระแสนเมืองเชียงแตงแล้ว รูปพรรณเป็นของเก่าโบราณหนักหนา...... อีกครั้งหนึ่งที่มีหลักฐานกล่าวถึงการขนย้ายพระพุทธรูปจากเมืองต่างๆเข้าสู่กรุงเทพฯคือเมื่อคราวสร้างวัดเบญจมบพิตร พ.ศ.๒๔๒๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า พระพุทธรูปสำหรับจะประดิษฐานไว้ ณ ดังนี้ ควรเลือกหาพระพุทธรูปโบราณสมัยต่างๆ กัน อันเป็นของดีงาม มีอยู่เป็นอันมาก รวบรวมมาตั้งแสดงให้มหาชนเห็นแบบอย่างพระพุทธรูปต่างๆ และโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ คิดจัดทำพระพุทธรูปแบบต่างๆ มาตั้งในระเบียงตามพระราชดำริ กาลครั้งนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตั้งเกณฑ์ในการคัดเลือกพระพุทธรูปว่า ต้องเป็นพระพุทธรูปฝีมือช่างเป็นอย่างเอกสวยงามน่าดูชม ต้องมีพระพุทธลักษณะและปางต่างๆ ต้องมีขนาดใกล้เคียงกัน จึงทรงดำเนินการเสาะหารวบรวมพระจากเมือง ต่างๆ รวมทั้งพระจากต่างประเทศ และมีการหล่อจำลองขึ้นมาใหม่ รวมได้พระพุทธรูป ๕๐ องค์ ในบรรดาพระพุทธรูป ๕๐ องค์นี้ มีพระที่นำมาจากเมืองต่างๆ ๓๗ องค์ ยังมีที่ตั้งไว้ยังมุมพระระเบียงข้างนอกอีก ๔ องค์ รวมทั้งพระฝางซึ่งเป็นพระทรงเครื่องจากอุตรดิตถ์ ประดิษฐานอยู่ในวิหารสมเด็จอีกองค์ด้วย. (http://www.sookjaipic.com/images/3905546209_SAM_8461.JPG) ที่มาข้อมูล: พระพุทธ(รูป)ยาตรา โดย บาราย นสพ.ไทยรัฐ |