[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ อนามัย => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 11 พฤศจิกายน 2557 14:58:12



หัวข้อ: หูแว่ว - จิตหลอน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 11 พฤศจิกายน 2557 14:58:12
.

(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2014/08/you02060857p1.jpg&width=360&height=360)
หูแว่ว

ผมมีอาการหูแว่วมา ๓-๕ เดือนแล้วครับ! เวลาที่ผมคิดอะไรก็มักจะได้ ยินเสียงตอบโต้กลับมาตลอดเลย บางครั้งเสียงที่ผมได้ยินมันทำให้ผมหมดความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ในชีวิตประจำวัน ผมเคยหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตครับ ตามกระทู้บอกว่ามี "เครื่องอ่านความคิดมนุษย์" ที่ทำงานโดยส่งสัญญาณผ่านคลื่นความถี่ แล้วจูนสัญญาณเข้ากับสมองเรา มันจะมีจริงเหรอครับเครื่องมือพวกนี้? งั้นผมรบกวนถามเลยนะครับ ผมเข้าขั้นเป็นโรคจิตประเภทไหน? และมีทางรักษาให้หายขาดได้หรือไม่? และผมควรปฏิบัติตัวอย่างไรครับ? รบกวนด้วยนะครับ

ตอบ นพ.สุวัฒน์ มหัตนิรันดร์กุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา ช่วยให้คำตอบว่า เครื่องมืออ่านความคิดมนุษย์นั้นคงไม่มี แต่โดยปกติตามธรรมชาติของมนุษย์ จะมีเสียงตอบโต้กับตัวเอง แต่เป็นเสียงของความคิดตัวเองตามปกติ เช่น มื้อเที่ยงจะกินอะไรดี ก็อาจได้ยินเสียงในหัว แต่เป็นเสียงความคิดของตัวเอง โดยเฉพาะเวลาอยู่คนเดียว

แต่สิ่งที่จะแยกแยะได้ว่าเสียงในหัวเป็นอาการที่ผิดปกติออกไป คือ จะเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ ร่วมด้วย เช่น บอกว่ามีเสาอากาศรับคลื่นเสียง อ่านความคิดคนอื่นได้ จูนรับพลังจิตของคนอื่นได้ แยกตัวเอง นั่งซึม พูดกับตัวเอง พูดอะไรไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริง ไม่อาบน้ำ ปล่อยตัวสกปรก เป็นต้น ซึ่งอาการแปลกๆ แบบนี้ คนรอบข้างจะเริ่มสังเกตเห็นความปกติได้ด้วย

สำหรับคนที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีสิ่งผิดปกติ ได้ยินเสียงแปลกๆ ที่ไม่ใช่เสียงของตัวเอง เช่น เสียงจากพระเจ้า เสียงจากนอกโลก หรือข่มขู่ เป็นต้น สามารถเข้าไปขอตรวจความผิดปกติได้ที่โรงพยาบาล เพื่อขอคำปรึกษาและรับการตรวจว่าลักษณะเสียงที่ได้ยินเป็นอย่างไร และซักถามประวัติการเจ็บป่วยเพิ่มเติมว่าเกิดจากความเครียดหรือเกิดจากสาเหตุอะไร

ทางการแพทย์จะสามารถแยกแยะได้จากประวัติและการทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา ซึ่งความเจ็บป่วยทางจิตก็เป็นการเจ็บป่วยอย่างหนึ่งที่รักษาได้ หากเป็นเพียงเล็กน้อยก็จะรักษาให้หายได้เช่นเดียวกับการเจ็บป่วยอื่นๆ




(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2013/03/you02070356p3.jpg&width=360&height=360)
จิตหลอน

สงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่คนป่วยเป็นโรคประสาทหลอนที่คิดจินตนาการไปเอง ได้ยินเสียงเอง ว่าเกิดจากอะไร ทำไมถึงเกิดกับคนๆ นั้น เป็นเพราะกระทบกระเทือนจิตใจหรือไม่ และรักษาหายหรือไม่?

ตอบ ผู้เชี่ยวชาญจากกรมสุขภาพจิตให้ข้อมูลมาว่า อาการจิตหลอนเป็นส่วนหนึ่งของโรคทางจิตที่เรียกว่า จิตเภท ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Schizophrenia (สคิสโซฟรีเนีย) ผู้ป่วยจะขาดการติดต่อกับสิ่งแวดล้อมหรือมีบุคลิกภาพที่แตกแยก

โรคจิตเภทเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งในสมอง เกิดจากสารเคมีชนิดหนึ่งในสมองที่เรียกว่า "โดปามีน" (dopamine) มีภาวะไม่สมดุล

สารโดปามีนเป็นสารที่ส่งผลต่ออารมณ์ของบุคคล มีความตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิมากขึ้น ไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ

ในกรณีที่ผู้ป่วยจิตเภท จะเกิดจากสารโดปามีนในสมองสูงเกินไป

จิตเภทถือเป็นโรคเรื้อรัง จำเป็นต้องได้รับการรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการควบคุมพฤติกรรมบางอย่างที่จะกระตุ้นให้อาการเลวร้ายลง เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาเฟอีน การอดนอน

หากตนเองหรือคนรอบข้างสังเกตพบสัญญาณผิดปกติ ก็จะรักษาให้หายเป็นปกติ หรืออาการดีขึ้นได้

การรักษาที่สำคัญคือกินยาอย่างต่อเนื่อง ควบคุมพฤติกรรมที่จะกระตุ้นอาการ คือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาเฟอีน และการอดนอน และจำเป็นต้องออกกำลังกาย เพื่อกระตุ้นให้การรักษาได้ผลดีขึ้น เพราะหากขาดยาเพียง ๒-๖ เดือนอาการของโรคก็จะกำเริบขึ้นอีก

อาการสำคัญของผู้ป่วยจิตเภท ได้แก่
- หูแว่ว เช่น ได้ยินเสียงคนพูดคุย ได้ยินเสียงคนพูดตำหนิ นินทาใส่ร้าย และพูดโต้ตอบเสียงนั้นเพียงคนเดียว ทางวิทยาศาสตร์สรุปว่า หากเกิดอาการเช่นนี้ขึ้น จะป่วยด้วยโรคจิตเภทหลงผิด เช่น คิดว่าเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ เวทมนตร์ หรือคิดว่ามีคนจ้องทำร้ายร่างกายตลอดเวลา
- ความคิดผิดปกติ เช่น พูดไม่เป็นเรื่องเป็นราว พูดไม่ต่อเนื่อง ไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ตามปกติ
- พฤติกรรมผิดปกติ เช่น อยู่ในท่าแปลกๆ หัวเราะหรือร้องไห้ สลับกันเป็นพักๆ
- แต่งตัว หรือใช้ชีวิตผิดปกติไปจากเดิมมากๆ

การแสดงออกของผู้ป่วยอาการหนักแต่ละรายจะแตกต่างกันไปตามประสบการณ์เดิม รวมทั้งสังคม และสิ่งแวดล้อม แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการหวาดกลัวและไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น

การวินิจฉัยของแพทย์จะพิจารณาจากอาการของผู้ป่วย ว่ามีพฤติกรรมที่ผิดปกติหรือไม่ ป่วยเรื้อรังหรือไม่ ความสามารถในการดำรงชีวิตเสื่อมถอยหรือไม่ เช่น ทำงานไม่ได้ พึ่งตนเองไม่ได้ เมื่อป่วยแล้วไม่หายเป็นปกติเหมือนก่อนป่วยหรือไม่

ปัจจุบันโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนต่างจัดหายารักษาโรคจิตเภท ในราคาไม่แพงจนเกินไป ซึ่งทำให้ผู้ป่วยรับยาได้อย่างต่อเนื่องมากขึ้น และส่งผลดีต่อการรักษา

ประชาชนทั่วไปทดสอบความผิดปกติทางจิตได้หลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์กรมสุขภาพจิต www.dmh.go.th หรือปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1667 หรือจิตแพทย์

ในยุคนี้การพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอาย เพราะแสดงว่าบุคคลนั้นทราบปัญหาของตนเอง รู้จักสำรวจตนเองและยอมรับความจริง พร้อมพยายามหาทางแก้ไข ซึ่งหากทราบความผิดปกติตั้งแต่ต้นจะทำให้การรักษาง่ายขึ้น รู้เร็วรักษาก่อน หายได้ไม่ยาก



ที่มา : นสพ.ข่าวสด