[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 16 มกราคม 2558 15:55:52



หัวข้อ: ไทยเรียนหนังสือกับพระสงฆ์ในวัดสมัยก่อน
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 มกราคม 2558 15:55:52
.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/67034749355581_monkteacher_1_.jpg)

ไทยเรียนหนังสือขอม (เขมร) กับพระสงฆ์ในวัดสมัยก่อน

อักษรไทย พัฒนาจากอักษรเขมร แต่ไทยเรียกอักษรขอม ยกย่องเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ ใช้เขียนข้อความทางศาสนา หรือลงคาถาอาคมเลขยันต์ของขลัง
 
พระเณรยุคก่อนๆ เรียนอักษรไทย แล้วต้องเรียนอักษรขอม เพราะหนังสือเทศน์ ใบลานเขียนภาษาไทยด้วยอักษรขอม เรียกขอมไทย ถ้าไม่เรียนอ่านหนังสือขอมไทยก็อ่านหนังสือเทศน์ไม่ได้
 
เรื่องเหล่านี้มีเล่าประสบการณ์ตรงโดย นายสำเภา วงษ์เทศ ผู้บวชเรียนหนังสือขอมไทยที่วัดชุมแสง (วัดโคกมอน) อ. ศรีมโหสถ จ. ปราจีนบุรี
 
อยู่ในหนังสือที่ลูกหลานพิมพ์แจกในงานศพ (พ.ศ. ๒๕๒๙) นายสำเภา วงษ์เทศ (เกิด พ.ศ. ๒๔๕๓ ปลาย ร.๕ ต้น ร.๖) เขียนประวัติตัวเองไว้ (ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๖-๒๕๒๗)
 
จะคัดเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเรียนหนังสือไทยและขอม (เขมร) โดยทำแยกหัวข้อย่อยตัวหนาขึ้นใหม่เป็นประเด็นๆ ไปให้อ่านสะดวก
 
ส่วนเนื้อเรื่องเป็นตัวเอน ดังต่อไปนี้


 
(http://www.dara.ac.th/pta/UserFiles/Image/samakom/image003(1).png)
ภาพจาก : www.dara.ac.th (http://www.dara.ac.th)

คำบอกเล่าจากหนังสืองานศพ นายสำเภา
แม่เห็นว่า ผมสมควรจะเข้าวัดเพื่อเรียนหนังสือได้แล้ว จึงได้พาผมไปฝากวัดชุมแสง

ครั้งนั้นอาจารย์นันทาคนพื้นบ้านชุมแสงเป็นสมภารอยู่ ท่านรับไว้ให้เป็นเด็กวัดเพื่อเรียนหนังสือต่อไป เพราะสมัยนั้นโรงเรียนประชาบาลยังไม่มี ถ้าใครอยากเรียนหนังสือก็ต้องไปเข้าวัดเพื่อขอเรียนหนังสือกับพระ

คล้ายกับว่าเด็กไปขออยู่รับใช้พระ พระก็ต้องตอบแทนด้วยการสอนหนังสือให้ ถ้าใครไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องไปอยู่วัด เพราะ พ.ร.บ. ประถมศึกษายังไม่มี
 
การไปเข้าวัดเพื่อเรียนหนังสือสมัยนั้นต้องมีผู้ปกครอง คือพ่อ แม่ หรือญาติผู้ใหญ่นำไปฝากกับสมภารวัด  ต้องมีขันธ์ ๕ ดอกไม้ ธูป เทียน ไปด้วย

เมื่อสมภารรับไว้เป็นศิษย์วัดแล้ว ก็ต้องมีพิธีนิดหน่อย คือเอาดอกไม้ ธูป เทียนไปผูกติดเข้ากับหัวกระดานที่เขียนหนังสือ



กระดานเขียนหนังสือ
กระดานเขียนหนังสือครั้งนั้นเป็นแผ่นยาวประมาณ ๑ เมตร ๕๐ เซนต์ กว้างประมาณ ๘ หรือ ๑๐ นิ้ว ทาสีดำ

ดินสอที่เขียน ใช้ดินสอพอง คือ (ดินดาน ที่เรียกกันว่าดินสอลพบุรี) ทำเป็นแท่งสำหรับเขียนหนังสือ ลักษณะยาวประมาณ ๑ นิ้วมือเศษๆ ข้างหัวท้ายเรียวค่อนข้างแหลม ตรงกลางป่องหน่อย
 
ทางหัวกระดานควั่นเป็นรูปใบโพธิ์ สำหรับมือจับแล้วกราบ ๓ หน แสดงความเคารพ อธิษฐานใจมีคนนำให้ว่า “ขอให้เรียนหนังสือเก่งๆ” เป็นเสร็จพิธี
 
กรรมวิธีที่ทำกระดานเขียนหนังสือให้ดำนั้น ใช้ถ่านหุงข้าวตำให้ละเอียด เอาข้าวสุกตำใส่ถ้วยเพื่อให้เหนียวติดกระดาน เมื่อตำเข้ากันดีแล้ว เอาผ้าห่อทำเหมือนลูกประคบ ขนาดเท่าลูกประคบ ชุบน้ำให้เปียกแล้วทาบนกระดานด้านหน้าให้ติดดำสนิท แล้วเอาไปตากแดดให้แห้งเสร็จแล้วเป็นใช้ได้ และต้องใช้ผ้าชุบน้ำลบหนังสือที่เขียนแล้วทุกครั้งไป

ฉะนั้น กระดานจึงต้องทาลูกประคบบ่อยๆ เมื่อเห็นว่าสีดำที่ติดอยู่กับกระดานหลุดออกมากแล้ว

 
  
พระสอนหนังสือ ตอนเช้า, ตอนบ่าย
การเรียนหนังสือวัดสมัยนั้น ต้องเรียนเขียนอ่าน ก.ข. จนจำได้แม่นยำ ต่อท้ายด้วยเลข ๑ ถึง ๐ ด้วย

เมื่อจำและเขียน ก.ข. ได้จนแม่นยำแล้ว จึงต่อ ก.กา. กน กง ฯลฯ  จนถึงเกย แจกลูกตามอักษรสูง  ต่ำ กลาง แล้วจึงอ่านประถม ก.กา. หรือมูลบทต่อไป————-

พระท่านสอนหนังสือให้เด็กมีอยู่สองเวลา คือตอนเช้าเมื่อเสร็จจากการฉันเช้าและสวดมนต์ทำวัตรเช้าเสร็จแล้ว ท่านจะออกมานั่ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วเรียกเด็กให้มาต่อหนังสือพร้อมๆ กัน นั่งเข้าแถวเป็นวงรอบ ส่วนพระผู้สอนนั่งอยู่ตรงกลาง

ก่อนเปิดหนังสือเรียนต้องนั่งคุกเข่าประนมมือกราบพร้อมกัน ๓ หน แล้วให้อ่านหนังสือของใครของมันไปพร้อมกัน แล้วแต่เด็กคนไหนเรียนหนังสืออะไร เมื่อคนไหนอ่านต่อไปไม่ได้นั่งจี้หนังสือเฉยอยู่ พระผู้สอนจะชะโงกดูแล้วบอกไป ถ้าคนไหนอ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่ติด ท่านก็จะให้อ่านต่อไป จนกว่าจะอ่านเก่งโดยไม่ติด

เมื่อเด็กต่อหนังสือได้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงก็บอกให้เลิก เมื่อก่อนจะลุกออกไปก็ต้องพร้อมกันนั่งคุกเข่ากราบ ๓ หน จึงลุกถอยออกไป หาที่นั่ง ใครเคยนั่งตรงไหน ต้นเสาไหนก็เข้าประจำที่แล้วอ่านซ้ำที่เรียนมาจนคล่อง

พอถึงเวลา ๑๑ โมง พระตีกลองเพลเด็กเลิกอ่านหนังสือ ไปจัดแจงที่และหาน้ำท่าที่พระฉันเพล

เมื่อพระฉันเพลเสร็จ เด็กวัดกินข้าวอิ่มเก็บที่ทางเรียบร้อยแล้ว พระผู้ทำการสอนหนังสือก็ออกมานั่งที่ตามเคย เด็กก็มาพร้อมกัน ทำการต่อหนังสือเหมือนเมื่อทำในตอนเช้า

เมื่อเสร็จจากการต่อหนังสือช่วงเพลนี้แล้ว ก็เข้าประจำที่อ่านไปจนถึงเวลา ๕ โมงเย็น พระท่านจะบอกให้เลิกเมื่อได้เวลา ๕ โมงเย็นแล้ว เมื่อพระยังไม่บอกให้เลิกก็ยังเลิกไม่ได้

เมื่อเลิกอ่านหนังสือตอนเย็นนี้แล้ว ก็ต้องช่วยกันเก็บกวาดศาลาวัดและกุฏิพระตลอดจนเทกระโถน จัดแจงน้ำเย็นไว้ในห้องที่ตนปฏิบัติอยู่ให้เรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปบ้านเพื่อกินข้าวเย็น

 

(http://kanchanapisek.or.th/kp6/pictures2/l2-178-2.jpg)
ภาพจาก : kanchanapisek.or.th

ท่องสวดมนต์ นอนวัด
เมื่อเสร็จจากกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องกลับมานอนที่วัด เพราะต้องท่องหนังสือสวดมนต์ เริ่มตั้งแต่ ๑ ทุ่ม จนถึง ๓ ทุ่ม จึงเลิกท่องเข้านอน

หนังสือสวดมนต์ที่พระท่านสอนให้ท่องมี นะโม พุทธัง ปฏิสังขาโย และอวิชชา ต่อไปถึงบทถวายพรพระด้วย ยังมีท่องสูตรเลขพร้อมกันไปกับหนังสือสวดมนต์

แล้วพระท่านก็สอนให้หัดทำเลขเหมือนกัน แต่พระท่านสอนได้ก็แค่ บวก ลบ คูณ หาร เท่านั้น

การท่องหนังสือสวดมนต์นั้น พอได้เวลาประมาณ ๑ ทุ่ม พระท่านว่างจากการไหว้พระสวดมนต์แล้ว ท่านจะเรียกเข้าไปหา ให้นั่งคุกเข่ากราบ ๓ หน แล้วพระท่านจะบอกนำก่อนแล้วให้ว่าตามซ้ำๆ หลายหนจนจำได้ เห็นว่าจำได้แม่นแล้ว พระท่านบอกให้เลิก

ก่อนเลิกก็กราบอีก ๓ หน แล้วออกไปหาที่สงัดท่องจนจำได้ขึ้นใจแม่นยำดี วันต่อไปก็ทำอย่างนี้อีกในเวลาเดียวกันทุกวัน
 
เด็กวัดทุกคนจะต้องทำความสะอาดบนศาลาที่เรียนหนังสือและกุฏิพระเป็นกิจประจำวันทุกวันตลอดไป จนกว่าจะออกจากวัดไปหรือย้ายไปอยู่ที่อื่น

 
 
เรียนหนังสือขอม
ผมเป็นเด็กวัด เรียนหนังสืออยู่วัดชุมแสง ตำบลโคกปีบนี้ได้ปีหนึ่ง พอเรียนมูลบทบรรพกิจจบ ก็ออกจากวัดชุมแสง แม่พาไปฝากเรียนต่อที่วัดหัวซา ตำบลหัวหว้า อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี——————–
 
ผมเรียนหนังสืออยู่ที่วัดหัวซาประมาณ ๒ ปี อ่านเขียนหนังสือได้คล่องมาก พูดอย่างภาษาโบราณว่าแตกหนังสือคืออ่านหนังสือออก แล้วก็ออกจากวัดหัวซา กลับมาบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดชุมแสงอีก

คราวนี้เรียนหนังสือขอม มีทั้งขอมไทยและขอมลาว เพราะตามคัมภีร์หนังสือเทศน์ใบลาน เป็นหนังสือขอมไทยและขอมลาวทั้งนั้น

พระเณรที่บวชแล้วอ่านหนังสือขอมไม่ออก ก็เลยอ่านหนังสือเทศน์ใบลานไม่ได้

 
 
ขอมไทย
ยุคก่อนอยุธยา ยังไม่มีอักษรไทย คนไทยใช้อักษรขอม (เขมร) เขียนภาษาไทย เรียกหนังสือขอมไทย
 
เมื่อมีอักษรไทย โดยได้แบบจากอักษรเขมร ไทยยังยกย่องอักษรขอมเป็นครู แล้วเรียนหนังสืออักษรขอมไทยสืบมาจนถึงหลัง ร.๕



(http://img-95.uamulet.com/uauctions/AU383/2012/9/26/6348426505395300001.JPG)
กระดานชนวน อุปกรณ์การเรียน (แบบประหยัด) ของนักเรียนสมัยก่อน
ใช้แทนสมุดซึ่งหายาก มี "ดินสอหิน" แท่งเล็กยาวสำหรับขีดเขียนแทนดินสอปากกา
เมื่อทำงานส่งครูเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้เศษผ้าชุบน้ำพอหมาดๆ ลบออก แล้วใช้ต่อไปได้อีกเรื่อยๆ ดังนี้
เพื่อนบางคนใช้ใบไม้ชนิดหนึ่ง เรียกว่า ใบต้นคว่ำตายหงายเป็น ซึ่งเป็นพืชที่มีลักษณะใบอุ้มน้ำไว้มาก
ขยี้บนกระดานชนวน ตัวหนังสือที่ขีดเขียนไว้จะลบออกอย่างง่ายดาย และสวยเป็นมันเงา

"กระดานชนวน" มีประโยชน์มากสมัยเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมต้น
...ใช้สำหรับวาดการ์ตูนแทนกระดาษ ยามครูเผลอ


เรื่อง : "ไทยเรียนหนังสือขอม (เขมร) กับพระสงฆ์ในวัดสมัยก่อน" โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ  บทความตีพิมพ์ในหนังสือ มติชนสุดสัปดาห์ ลงฉบับประจำวันศุกร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗