หัวข้อ: การรดน้ำศพ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2558 12:54:36 .
(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2015/02/you02230258p1.jpg&width=360&height=360) การรดน้ำศพ การอาบน้ำศพ หรือเรียกกันทั่วไปว่า รดน้ำศพ เป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งในพิธีทำศพซึ่งจะทำกันก่อนนำศพใส่โลง เหตุที่ต้องอาบน้ำศพเพราะต้องการให้ร่างกายของคนตายสะอาดบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับที่พวกพราหมณ์ในอินเดียลงอาบน้ำชำระบาปในแม่น้ำ ทั้งยังถือสืบกันมาว่า เป็นการขอขมาโทษ เพื่อจะได้ไม่มีเวรภัยต่อกัน ทั้งนี้ การรดน้ำศพกระทำแก่ท่านผู้ควรเคารพนับถือใน ๔ ทาง มี ๑. ตามทางสายญาติทั้งฝ่ายบิดาและมารดา ๒. ตามทางคุณวุฒิที่เป็นครูบาอาจารย์ ๓.ตามทางผู้บังคับบัญชาเหนือตน ๔.ตามทางมิตรสหายที่สนิทสนมกันมา ซึ่งในความรู้จักคุ้นเคยนั้น เราอาจเคยล่วงล้ำก้ำเกินกันไป ตามประเพณี เมื่อคนเหล่านี้สิ้นชีวิตลง จึงจะต้องไปอาบน้ำศพเป็นการขมาลาโทษที่เคยล่วงเกินต่อกัน ขออโหสิกรรมให้เลิกแล้วต่อกัน อย่าได้ตามติดไปในภพหน้า ย้อนไปสมัยโบราณ การอาบน้ำศพจะอาบกันจริงๆ คือ ต้มน้ำด้วยหม้อดิน ในหม้ออาจใส่ใบไม้ต่างๆ ต้มลงไปด้วย เช่น ใบหนาด ใบส้มป่อย ใบมะขาม โดยเฉพาะใบหนาด ถือกันว่าเป็นใบไม้ที่ผีกลัวและใช้ปัดรังควานได้ การอาบน้ำศพเริ่มจากอาบด้วยน้ำอุ่นก่อน แล้วจึงอาบด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง ฟอกด้วยส้มมะกรูด เมื่อล้างจนสะอาดหมดจดแล้วฟอกด้วยขมิ้นชันสดและผิวมะกรูดตำละเอียด จากนั้นจึงแต่งตัวให้ศพ แต่การอาบน้ำศพในปัจจุบันเรียกว่าพิธีอาบน้ำศพ หรือ รดน้ำศพ ใช้น้ำพุทธมนต์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าน้ำมนต์ ผสมกับน้ำฝนหรือน้ำสะอาด บางทีใช้น้ำอบไทยร่วมด้วยเพื่อให้เกิดความหอม เมื่อถึงเวลาอาบน้ำศพซึ่งจะทำกันหลังจากที่เสียชีวิตไม่นานนัก เพราะศพยังสดอยู่ ญาติมิตรและผู้คนทั่วไปกล้าที่จะเข้าใกล้ เนื่องจากยังไม่มีกลิ่นหรือขึ้นอืด สัปเหร่อหรือผู้ใหญ่จะจัดให้ศพนอนในที่อันสมควร จับมือข้างหนึ่งยื่นออกมายังหมอนใบเล็กที่รองรับ ลูกหลานของผู้ตายจะทำหน้าที่ใช้ขันใบเล็กๆ ตักน้ำมนต์จากขันใหญ่ส่งให้กับผู้ที่มารดน้ำศพ โดยการเทน้ำลงบนมือของผู้ตาย กล่าวคำไว้อาลัยหรือกล่าวขอให้วิญญาณของผู้ตายจงไปสู่สุคติไม่ต้องห่วงอาลัยมีกังวล การรดน้ำศพเป็นปริศนาธรรม ให้เห็นว่าคนเราเมื่อตายไปแล้ว แม้นำของหอมหรือน้ำอบน้ำมนต์ใดๆ มาราดรดก็ไม่อาจที่จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ควรประมาท เร่งขวนขวายสร้างบุญกุศลและคุณงามความดีไว้ เพราะยังโชคดีที่มีโอกาสได้กระทำ ส่วนคนที่ตายนั้นหมดโอกาสไปแล้ว ในการรดน้ำศพ ถ้าผู้ตายอาวุโสมากกว่าตน ก่อนรดน้ำศพ นั่งคุกเข่าน้อมตัวลง ยกมือไหว้ พร้อมกับนึกขอขมาโทษต่อศพนั้นว่า "กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง อะโหสิกัมมัง สัพพะปาปัง วินัสสะตุ" (ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินต่อท่าน ทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี ขอท่านโปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด) เมื่อยกมือไหว้ขอขมาโทษต่อศพจบแล้ว ถือภาชนะสำหรับรดน้ำด้วยมือทั้งสอง เทน้ำลงที่ฝ่ามือขวาของศพ พร้อมกับนึกในใจว่า "อิทัง มะตะกะสะรีรัง อิสิญจิโตทะกัง วิยะ อโหสิกัมมัง" (ร่างกายที่ตายไปแล้วนี้ ย่อมเป็นอโหสิกรรม ไม่มีโทษ เหมือนน้ำที่รดแล้วฉะนั้น) เมื่อรดน้ำศพเสร็จแล้ว น้อมตัวลงไหว้พร้อมกับอธิษฐานว่า "ขอจงไปสู่สุคติเถิด" เมื่อทำพิธีอาบน้ำศพเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องจัดการแต่งตัวหวีผมศพให้เรียบร้อย เกี่ยวกับการหวีผมให้ศพนั้นมีคติความเชื่อเป็นหลายนัย บ้างให้หวีสามหนเท่านั้น บ้างว่าให้หวีกลับไปข้างหน้าซีกหนึ่งไปข้างหลังอีกซีกหนึ่ง หมายถึงหวีสำหรับคนตายครึ่งหนึ่งสำหรับคนเป็นครึ่งหนึ่ง หลังจากหวีผมเสร็จจะต้องหักหวีที่ใช้ทิ้งโยนใส่ไปในโลงศพ ตอนหักหวีให้กล่าวเป็นภาษาบาลี "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เป็นปริศนาธรรมหมายถึงความไม่เที่ยงแห่งสังขารแม้หวีดีๆ ก็ยังต้องหักเป็นท่อนใช้การไม่ได้ ในวันหนึ่งชีวิตของมนุษย์เราก็เช่นกัน ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด |