[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 08 มีนาคม 2558 09:23:34



หัวข้อ: ท้าวกุเวร เทพแห่งความมั่งคั่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 มีนาคม 2558 09:23:34
.

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/84/Kubera_on_man.jpg/220px-Kubera_on_man.jpg)
ท้าวกุเวรทรงมนุษย์เป็นพาหนะ

ท้าวกุเวร
เทพแห่งความมั่งคั่ง

อาจารย์ผาสุข อินทราวุธ เขียนเรื่อง เครื่องรางสำหรับพ่อค้า ไว้ในหนังสือปัจจุบันของโบราณคดีไทย (จัดพิมพ์โดยมหาวิทยาลัยศิลปากร) ว่า จารึกภาษาสันสกฤตที่โวคาญ ประเทศเวียดนาม อายุช่วงพุทธศตวรรษที่ ๘ เป็นหลักฐานสำคัญในการติดต่อค้าขาย ระหว่างอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงต้นพุทธกาลถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๐ หรืออาจถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕

พ่อค้าที่นับถือทั้งศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์เดินทางไกล จึงนำเครื่องของขลัง ติดมาเป็นตัวช่วย

พ่อค้าชาวพุทธนำพระพุทธรูปศิลปะแบบอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ ๙-๑๐) ที่รู้จักกันในนามพุทธทีปังกรห้ามสมุทรเข้ามา พบในแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในประเทศไทย เวียดนาม เกาะสุมาตรา เกาะชวาและเกาะเซเลเบส

พ่อค้าฮินดู นำพระคเณศ (เทพผู้ขจัดอุปสรรค) มาบูชา พบพระคเณศขนาดเล็กจำนวนมากในพม่า ไทยและตะวันตกของแหลมอินโดจีน

อาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๙ ถึง ๑๖ มีการติดต่อค้าขายระหว่างชาวอินเดียและประชาชนที่อยู่รอบอ่าวตอนบน ตามแนวชายฝั่งทะเลเดิม รู้จักกันในนามชุมชนทวาราวดี หรือพวกที่พูดภาษามอญ

ส่วนชุมชนที่อยู่บริเวณแนวชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรภาคใต้ของไทย เรียกกันว่าชุมชนศรีวิชัย

ความรุ่งเรืองของการค้าของรัฐต่างๆ เหล่านี้ ดูจะพุ่งขึ้นถึงขีดสูงสุดในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๖

เมืองท่าสำคัญในช่วงนี้ มีเมืองนครปฐมโบราณ จังหวัดนครปฐม เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองซับจำปา จังหวัดลพบุรี เมืองจันเสนและเมืองบน จังหวัดนครสวรรค์

บริเวณคาบสมุทรภาคใต้ ก็มีเมืองต่างๆ ที่อยู่ชายฝั่งทะเลตะวันออก เช่น เมืองสทิงพระ จังหวัดสงขลา และจังหวัดตรัง

เครื่องรางสำหรับพ่อค้าและชาวพื้นเมืองที่พบมากมายในบริเวณนี้ เป็นรูปเทพแห่งความมั่งคั่งที่ชาวฮินดู เรียกว่า กุเวร และชาวพุทธเรียกว่าซัมภล และเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เทพีลักษมีในรูปของคช-ลักษมี ในแผ่นดินเผารูปกลมมีทั้งแบบหน้าเดียว และแบบสองหน้า

คัมภีร์วิษณุปุราณะ บรรยายว่า เทพกุเวร เป็นเจ้าแห่งยักษ์ทั้งปวง มีเมืองหลวงชื่ออลกา อยู่บนเขาไกรลาส เป็นลูกของฤาษีวิศรวัส

วรรณกรรมพุทธศาสนา กล่าวถึงเทพกุเวรในชื่อว่า เวสสวัณ เป็นหนึ่งในจตุโลกบาลประจำทิศและเป็นบริวารของพระพุทธเจ้า เมื่อนับถือในฐานะเทพแห่งความมั่งคั่ง เรียกว่าซัมภล นับถือกันมากในหมู่พุทธศาสนิกชนนิกายมหายาน

ส่วนพวกเชน จัดให้เทพกุเวร เป็นบริวารของอรหันต์องค์ที่ ๑๙

คัมภีร์ปุราณะ บรรยายรูปลักษณะเทพกุเวรไว้มาก ที่เด่นชัด คือมีอุทรขนาดใหญ่ (พุงพลุ้ย) มีเครื่องประดับตกแต่งมากมาย แวดล้อมสมบัติ ๘ ประการ ถือถุงเงินและมีพาหนะเป็นคน หรือช้าง หรือแกะ

ส่วนในรูปเทพซัมภล เทพแห่งความร่ำรวยของชาวพุทธ แทนที่จะถือกระเป๋าเงินกลับบีบคอพังพอน ซึ่งกำลังคายเพชรพลอยออกมา

ชาวพุทธถือว่าพังพอนเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย เนื่องจากปราบงู (นาค) ผู้เฝ้าทรัพย์สมบัติของเมืองบาดาลได้

เมืองโบราณคดีรอบอ่าวไทย ทำสัญลักษณ์เทพกุเวร และเทพีลักษมีในรูปคช-ลักษมีมาประกอบกันเป็นแผ่นดินเผา ๒ หน้า

จากการศึกษาเกี่ยวกับคติการนับถือเทพี ลักษมีในรูปของ คช-ลักษมี และเทพกุเวร (ซัมภล) ในอินเดียสรุปได้ว่า เทพและเทพีทั้งสองนี้ได้รับยกย่องเป็นเทพเทพีแห่งความร่ำรวยและความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ชาวอินเดียทุกศาสนา ทั้งศาสนาพราหมณ์ พุทธ และเชน ยอมรับนับถือร่วมกัน

โดยเฉพาะพ่อค้านิยมนำติดตัวเดินทางมาค้าขาย ดังได้พบประติมากรรมรูปเทพเทพีเหล่านี้ จำนวนมากในบริเวณที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าขายของอินเดีย

สัญลักษณ์แห่งความร่ำรวยดังกล่าว ยังปรากฏในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในบริเวณแหล่งโบราณคดีรอบอ่าวไทยและตามชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของคาบสมุทรภาคใต้ของไทย

ประติมากรรมสำริดรูปเทพซัมภล ที่พบในภาคใต้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับศิลปะอินเดียแบบปาละมาก โดยเฉพาะเทพซัมภลที่พบที่อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ กำหนดอายุไว้ในช่วงเวลาพุทธศตวรรษที่ ๑๕

อาจารย์ผาสุข อินทราวุธ สรุปว่า พิจารณาจากตำแหน่งที่พบประติมากรรมดินเผาและสำริดรูปเทพกุเวร (ซัมภล) และคช-ลักษมีขนาดเล็กเหล่านี้แล้ว ย่อมนำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า คงจะใช้เป็นเครื่องรางสำหรับพ่อค้า ทั้งชาวอินเดีย และชาวพื้นเมือง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕

ตำแหน่งที่พบ ซึ่งตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลเดิม คือ เมืองนครปฐมโบราณ เมืองอู่ทอง เมืองซับจำปา เมืองจันเสน และเมืองบนในภาคกลางของไทย ตลอดจนเมืองสงขลาและตรังในภาคใต้ของไทย

เมืองเหล่านี้คงจะเป็นเมืองท่าค้าขายทางทะเลที่สำคัญ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย



ข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘