[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 12 มีนาคม 2553 09:19:05



หัวข้อ: ธรรมะจากทองผาภูมิ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 12 มีนาคม 2553 09:19:05

(http://www.onoi.org/images/stories/thongphaphum-small.jpg)

ธรรมะจากทองผาภูมิ
10-13 ธันวาคม 2552
เราจะมีการฝึกเคร่งครัดอย่างยิ่งเพื่อให้เกิด ตัวรู้ ให้ท่านผู้รู้เติบโตในจิตวิญญาณ แล้วความรู้รอบ ๆ ตัว  ความเข้าใจความจริงของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ชีวิต จิตวิญญาณ ก็จะหลั่งไหลมาเอง  สิ่งสำคัญคือ เราต้องมีการเตรียมการให้พร้อม  เช่น การตั้งใจ  ไม่ควรสนใจสิ่งอื่นนอกตัว ให้มีแต่ตัวกูล้วน ๆ มีแต่มึงกับกู
  • กติกาการศึกษา 4 ข้อ :
[LIST=1]
  • ไม่พูด ไม่สนใจเรื่องนอกตัว
  • อยู่อย่างเป็นผู้ที่พึ่งตัวเองได้ และเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่นได้  ทำ พูด คิด ด้วยจิตสาธารณะ
  • อย่าทำหรืออยู่เพราะแรงผลักดันของตัณหาพาไป
  • ให้เกียรติและเคารพกัน มีคารวะธรรมในใจ
  • วิเคราะห์สาระจากพระไตรปิฏก บุคคลผู้มีราตรี 1 เจริญ
[LIST=1]
  • บุคคล 3 จำพวก :
  • 1. บุคคลที่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว – เราได้มี รูป เวทนา สัญญา  สังขาร  วิญญาณ ในสิ่งที่ล่วงแล้ว
  • 2. บุคคลผู้มุ่งในสิ่งที่ยังไม่มาถึง - ขอเราพึงมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างนี้ในอนาคต
  • 3. บุคคลผู้เห็นแจ้งในปัจจุบัน /ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนในธรรมที่เป็นปัจจุบัน  ได้แก่ บุคคลที่เห็นพระอริยเจ้า /สัตตบุรุษ , บุคคลผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้าและสัตตบุรุษ, บุคคลผู้ปฏิบัติตามธรรมของพระอริยเจ้าและสัตตบุรุษ
[LIST=1]
  • บทวิเคราะห์ โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ :
  • พระพุทธเจ้าทรงยกเอาขันธ์ 5 มาอธิบาย ว่า บุคคลผู้อยู่ในปัจจุบันจริง ๆ นั้นจะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งมีอยู่ในขันธ์ 5 เห็นแจ้งความไม่เที่ยงของขันธ์ 5 ในปัจจุบัน
  • บุคคลผู้อยู่ในปัจจุบันธรรม จะไม่เกิดอนาคต สังขารทั้งหลาย (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่แล้วดับไป  เราก็จะรู้ว่ามันจะไม่ส่งผลไปในอนาคตได้  เพราะเห็นมันดับไปในปัจจุบัน  ถ้ามีปัญญารู้ชัดอย่างนี้อนาคตก็จะดับสูญลงไปด้วย  แต่เพราะเรารู้ไม่ชัดจึงไปปรุงแต่งปัจจุบัน จึงเกิดอนาคตขึ้นมา
  • สิ่งที่ล่วงไปแล้วสังขารที่ล่วงไปแล้ว  เราจะเห็นได้เมื่อเรารู้ในปัจจุบัน  สิ่งใดที่ล่วงไปแล้วไม่มีตัวตน ที่เรามีตัวกู ของกู คือ เรามีอุปาทาน ความไม่รู้
  • เราเจริญได้ด้วย 1 วินาทีเดียว (ปัจจุบันธรรม) จะเจริญด้วยเรื่องอันใดก็ตาม ก็มีเพียงขณะเดียวเท่านั้น  ที่เหลือเป็นกระบวนการสืบเนื่องต่อ ๆ มา กระบวนการของ ตัณหา ราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ  เข้ามาหล่อเลี้ยงทำให้อายุขัยสืบเนื่อง
  • พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า เรามีชีวิตจริงแค่ 1 วินาที (ขณะจิต) เท่านั้น วินาทีต่อไป ขึ้นกับว่าอะไรมาหล่อเลี้ยงเรา : เป็นทางเจริญ หรือเสื่อม
- หนทางที่เจริญ : คือการหล่อเลี้ยงของวิชชา
- หนทางอันเสื่อม :  อวิชชาเลี้ยง
ถ้าเรามีชีวิตอยู่ 100,000 วินาที ด้วยความดี  ก็เป็นความต่อเนื่องของ บุญของวิชชา
ถ้าเรามีชีวิตอยู่ 100,000 วินาที ด้วยความอัปรีย์  ก็เป็นความต่อเนื่องของ บาปของอวิชชา
เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่า 1 วินาทีนั้น ถูกอะไรหล่อเลี้ยง  บุญ /บาป , วิชชา / อวิชชา   นั่นคือกรรม
  • อย่าเข้าใจผิดว่าเรามีอายุยืน ทุกคนมีชีวิตแค่วินาทีเดียวเท่านั้น ชีวิตของสัตว์ มีวินาทีเดียว คือวินาทีที่มาปฏิสนธิในครรภ์มารดา แล้วต่อจากนั้นเป็นการมาหล่อเลี้ยงของกรรม
  • การเกิดเป็นมนุษย์เป็นได้ยาก และเป็นผู้ใหญ่กว่าสัตว์อื่น ๆ เพราะเราสามารถเลือกชีวิตเราให้วิชชาเจริญขึ้นได้  ดังนั้น
- ความดีเราจึงต้องสะสม ให้บ่อยมาก และถี่มาก วินาทีต่อวินาที
- ความไม่ดีเราจึงต้องละ ให้บ่อยมาก และถี่มาก วินาทีต่อวินาที ไม่ใช่ 1 วัน หรือ 1 ปี
  • มนุษย์ ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ เพราะสามารถพัฒนาได้ ไม่ตัน สามารถเลือกทำกรรมได้  เทวดาพรหมยังไม่ใหญ่ เพราะมันตัน เลือกไม่ได้
    • สัตว์เดรัจฉาน  ทำตามสัญชาติญาณ
    • เทวดา ทำตามโปรแกรมบุญที่ได้มา
    • มนุษย์ไม่มีโปรแกรม เดี๋ยวก็ชั่วได้ เดี๋ยวก็ดีได้ อยู่ที่เราเลือกให้วินาทีนั้นมี กุศล หรืออกุศล ชี้ชวน
    • ธรรมชาติของมนุษย์ไม่เป็นไปตามกติกา ตารางสอน มนุษย์จะเป็นไปตามสิ่งเร้า ชักชวน หรือเสพย์ ดังนั้นมนุษย์ผู้ปัญญาเท่านั้นที่จะมีพลังในการคัดสรร และสร้างวิธีการพัฒนาตน คือ สร้างสิ่งเร้าองค์ประกอบในเชิงบวกให้มีมากขึ้น  เพื่อให้ชีวิตของเราทุกวินาทีไม่ตกเป็นทาสของซาตาน
สรุป : 1. ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา การจะรู้ชัด รู้จักของจริง ต้องเป็นผู้มีปัญญา รู้ชัดในปัจจุบันขณะ ( 1 วินาที)
2. การปรุงแต่ง / สังขาร / อายุขัย / การสืบเนื่อง  ของแต่ละขณะจิต เป็นการกระทำของกรรมซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ เท่านั้น คือ  บุญ (วิชชาเลี้ยง)  ,  บาป (อวิชชาเลี้ยง)
3. ผู้มีปัญญาจะเจริญทุกวินาที  (วิชชาเลี้ยง)  -  ผู้ไม่มีปัญญา ก็อัปรีย์ทุกวินาที (อวิชชาเลี้ยง)  ซึ่งเราเลือกได้   เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้น ที่จะให้เราได้รู้ทันวินาทีนั้น  จึงต้องสั่งสมอบรม
4. การสั่งสมปัญญา มาเลี้ยงดูจิต โดยวิธีการ ฟัง เรียน อบรม ลงมือทำ เพื่อป้องกันกรรมชั่วทั้งปวง ให้ชีวิตเรามีวินาทีที่ดีหลาย ๆ วินาที..จนถึงทั้งวัน.. ทั้งปี.. ทั้งชีวิต



  • หลักการปฏิบัติปราณโอสถ  การฝึกเดิน / เคาะนิ้ว ปรัชญาปรามิตาสูตร :
ชีวิตจริง ๆ ของเรามีอยู่แค่ 1 วินาทีเท่านั้น   เรามาทำของใหม่ที่เป็นปัจจุบันธรรม  ให้ (เจริญ) เป็นบุญ เป็นสติ สมาธิ ปัญญา หล่อเลี้ยงจิตตลอด 1 ชม.
- การเคาะนิ้ว 1 ครั้ง  หรือก้าวเดินตามจังหวะ 1 ก้าว =1 วินาทีอันเจริญของเรา
- ให้เราเคาะให้ชัด การเคาะชัดแสดงว่าชีวิตของเราไม่ขาด ไม่เกิน มีความเหมาะสมและซื่อตรงดี
- พยายามสลับนิ้วไปมา เคาะให้ได้ทั้ง 3 ข้อนิ้ว เพื่อฝึกความคล่องของสัมปชัญญะ ไม่ใช้สัญญา
- ก้าวเดินพร้อมเสียงป็อก 3 อย่างต้องรวมเป็น 1 : หูได้ยินเสียง / ใจรู้ / เท้าก้าวเดิน
- ฝึกให้เผชิญกับการเปลี่ยนจังหวะอย่างต่อเนื่อง   ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงจังหวะ ก้าว/ เคาะ 
จิตต้องไม่กระเพื่อม
มีสติรักษาภายใน พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง
- การเดินขั้น 3 ประกอบลมหายใจ เป็นขั้นที่เกิดปราณ และโคจร  ต้องไม่กลั้นลม (ท่อต้องไม่ตัน) ไม่   
ขังมันไว้ที่ใด ต้องให้ปราณแล่นไปทั่วร่างกาย
- เมื่อเดินขั้น 3 แล้ว ต้องสลับมาเดินขั้น 2 เป็นขั้นผ่อนคลาย เพื่อสลายปราณที่เกิดขึ้น
- สภาวะธรรมในการเดิน / เคาะจังหวะ: ถ้าทำถูกต้อง เราจะสามารถรู้ล่วงหน้าว่าเสียงป็อกจะมาเมื่อใด (จิตรู้)  สัมปชัญญะจะเตรียมกายเหมาะสม  พัฒนาการของจิตจะสูงขึ้น ตัวรู้มีความใสสะอาดมากขึ้น  ความไวของจิตจะมากขึ้น ทำให้เราเหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่า จะเกิดขึ้นเมื่อใด
 
  • การฝึกเจริญมนต์ : ตาดูมนต์  ใจรู้มนต์  ปากอ่านมนต์
แม้เมื่อมีเสียง หรือสถานการณ์รบกวนจากภายนอกต่างๆ เช่น เสียงเพลง โยนถาด ฯลฯ  จิตต้องไม่กระเพื่อม  มีสติรักษาภายใน จรดจ่อกับการงานที่กำลังทำอย่างซื่อตรง
  • ปัจฉิมโอวาท :
[LIST=1]
  • ผู้บริหารที่ดี ที่วิเศษยิ่งใหญ่ ไม่ใช่บริหารตัวเลข แต่เป็นการบริหารเวลา และอารมณ์  บริหารทุกเสี้ยววินาทีให้มีกำไรทุกวินาที ให้เรามีอารมณ์เป็นสุขทุกวินาที
  • การบริหารชีวิตให้เป็นสุข คือ ชีวิตของเรามีเพียงชั่วขณะเดียว ขณะหนึ่งเท่านั้น  อายุ 20 ปี มันตั้งอยู่แค่ขณะเดียว เวลาเป็นสิ่งที่ผ่านมาผ่านไป   หากเรายังไม่ได้ทำเท่าที่เราเสียไป เท่ากับว่าเราเสียชีวิตช่วงนั้น ๆ ของเราไป  เราจึงต้องมีความเพียร และมีอัปปมาทะธรรม คือความไม่ประมาท
  • อยากให้ลูกหลาน อยู่อย่างไม่ประมาท มัวเมา ในการทำภาระกรรมของตน ๆ
  • ชีวิตของเรามีแค่ 1 ขณะจิต ขณะนั้นจะสุข ทุกข์ , ดี-ชั่ว, ได้-เสีย : ขึ้นอยู่กับเราเลือก
  • เป็นผู้ซื่อตรง ทำ พูด คิด เรื่องเดียวกัน
-----------------
สรุปโดยคุณปู : 15 ธค. 52
    http://www.onoi.org/index.php?option=com_content&view=article&id=178:2009-12-16-03-43-08&catid=35:2009-04-14-16-21-52&Itemid=59 (http://www.onoi.org/index.php?option=com_content&view=article&id=178:2009-12-16-03-43-08&catid=35:2009-04-14-16-21-52&Itemid=59)


    หัวข้อ: Re: ธรรมะจากทองผาภูมิ
    เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 มีนาคม 2553 00:39:22


    (:88:) (:88:) (:88:)