หัวข้อ: เลิกดองตัวเองด้วยน้ำผึ้งและผลไม้ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 10 มีนาคม 2558 11:53:39 .
(http://frynn.com/wp-content/uploads/2013/07/Honey-1.jpg) เลิกดองตัวเองด้วยน้ำผึ้งและผลไม้ บทความโดย นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ตีพิมพ์ในหนังสือ มติชนสุดสัปดาห์ หน้า ๑๐๑ ฉบับประจำวันที่ ๖-๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘ คุณเคยสังเกตมั้ยว่า น้ำผึ้งใช้ดองอาหารได้โดยไม่เน่า ผมเคยมีน้าสะใภ้คนหนึ่ง ผมเรียกเธอว่า “อาเก็กเฮียโกว” เธอมาจากคนตระกูลแซ่แต้ บุคลิกลักษณะเป็นผู้หญิงหนักเอาเบาสู้ เธอเล่าให้ฟังว่า เมื่อสมัยสาวๆ ตอนที่อยู่เมืองจีน เคยรบกันในระหว่างแซ่ คือแซ่แต้เป็นคู่อริกับคนแซ่ตั้ง เรื่องราวสืบเนื่องมาจากการแย่งน้ำทำนา พวกหนุ่มๆ เลือดร้อนของทั้งสองแซ่ก็เลยลงหมัดลงมวยกัน จากนั้นรุ่งขึ้นก็มีการใช้ไม้คาน ใช้ขวาน ใช้อีโต้ สุดท้ายคนแซ่ตั้งลากเอาปืนคาบศิลามาเหนี่ยวใส่หนุ่มแซ่แต้จนได้รับบาดเจ็บ เรื่องราวจึงชักไปกันใหญ่ คราวนี้ต่างก็เอาปืนคาบศิลามายิงใส่กัน อาโกวของผมเล่าให้ฟังว่า “ตอนนั้นแซ่ตั้งมาโจมตีหมู่บ้านอาโกวน่ะนะ อดรนทนไม่ไหวก็ลากเอาปืนยาวขึ้นไปบนหลังคา ส่องพวกมันไปคนสองคนเหมือนกัน” เรื่องราวถึงขั้นที่มีหนุ่มแซ่ตั้งตายไปคนหนึ่ง พวกแซ่ตั้งขอเจรจาหย่าศึก แล้วขอมารับศพหนุ่ม แต่ที่ไหนได้ พวกแซ่แต้แสบมาก จัดการตัดหัวหมายัดใส่โหลน้ำผึ้ง ส่งยังค่ายตระกูลตั้ง เท่านั้นแหละครับสงคราวระหว่างแซ่ก็ลามปามเหมือนไฟลามทุ่ง จนทางการต้องส่งทหารออกมาสงบศึก ด้วยการจับไปเข้าตารางกันเรียบร้อยโรงเรียนจีน ทุกวันนี้คนแซ่แต้กับแซ่ตั้งมาอยู่เมืองไทยอย่างสงบ อาศัยร่มพระบรมโพธิสมภารทำมาหากินอยู่ที่เยาวราชร่วมกัน คนแซ่ตั้งตั้งร้านค้าทองชื่อ “ตั้งจินเฮง” อันเลื่องชื่อ ส่วนคนแซ่แต้ตั้งร้านขายขนมเปี๊ยะชื่อ “แต้เล่าจินเส็ง” เจ้าของคือท่าน แต้เต๊าะฮุ้ง ถือกันว่าเป็นขนมเปี๊ยะที่อร่อยที่สุดในประเทศไทย เรื่องขนมเปี๊ยะอร่อยร้านนี้ ผมเพิ่งมารู้เมื่อใครคนหนึ่งเอาขนมเปี๊ยะยี่ห้อนี้ผ่านไมโครเวฟให้ผมกิน ผมรู้สึกได้ถึงเนื้อขนมที่นุ่ม ละเอียด รสไม่หวานจัด แป้งที่ห่อหุ้มก็ไม่หนาไม่บางเกินไป เนื้อละเอียดเช่นกัน ขนมยี่ห้อนี้อุบาสกอุบาสิกามักซื้อกันทีละมากๆ ไปถวายครูบาอาจารย์อยู่เนืองๆ ถือกันว่าเป็นขนมเปี๊ยะที่อร่อยที่สุด พอผมชิมเสร็จก็อยากรู้ว่าเป็นขนมยี่ห้ออะไร? พอเหลือบดูกล่องก็ต้องหัวเราะขึ้นเอิ๊กอ๊าก เพราะว่ากล่องขนมบอกว่ายี่ห้อ “แต้เล่าจินเส็ง” ซึ่งที่แท้ก็คือตระกูลญาติผู้ใหญ่ของผมนั่นเอง ที่เล่ามาถึงตรงนี้เพียงแต่จะบอกว่า ความหวานที่ถือว่าเป็นตัวร้ายนั้น นอกจากทำให้น้ำตาลเลือดสูง และเหนี่ยวนำให้ไขมันเลือดสูง ไขมันพอกตับแล้ว น้ำตาลยังออกฤทธิ์เป็นเสมือนน้ำยาดองศพได้อีกด้วย ดังกรณีที่พี่น้องฝ่ายอาโกวของผม เอาน้ำผึ้งดองหัวหมาไปประชดคนตระกูลตั้งให้ได้ความสะใจ ในทางวิทยาศาสตร์ให้คำตอบว่า การเกิดแอดวานช์กลัยเคชั่นโปรดักต์ (advanced glycation end products-AGE) คือการที่น้ำตาลไปทำให้โปรตีนของเซลล์และเนื้อเยื่อที่มันสัมผัสนั้นเกิดเสียธรรมชาติ (de-nature) แล้วเกิดการจับก้อน ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อสูญเสียการทำงานและเสื่อมสภาพไป สภาพที่เราเห็นได้ก็คือ เมื่อเราเอาเนื้อสดใส่ลงในโหลน้ำผึ้ง เนื้อชิ้นนั้นก็จะถูกน้ำผึ้งเปลี่ยนสภาพโปรตีนให้ “สุก” มีอันแข็งๆ และไม่บูดไม่เน่าอีกต่อไป - ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับผนังหลอดเลือด ก็มีหลอดเลือดแข็งตัว ความดันเลือดสูง - ถ้าสัมผัสเนื้อเยื่อหัวใจก็หัวใจเสื่อมสภาพ - ถ้าเกิดกับตับก็ไขมันพอกตับ และตับแข็ง - ถ้าเกิดกับไตก็ไตเสื่อมจนกลายเป็นไตวาย เหมือนดังที่คนเป็นเบาหวานมักไตวาย - และถ้าสัมผัสกับจอตาก็ตาเสื่อม คือภาวะเบาหวานขึ้นตาของคนเบาหวานนั่นเอง วิทยาศาสตร์ยังพบต่อมาอีกว่าภาวการณ์เกิด AGE นี้ตัวการร้ายที่ทำให้เกิดคือโมเลกุลของน้ำตาล ซึ่งแรกทีเดียวเรานึกว่าเป็นน้ำตาลกลูโคส แต่ที่ไหนได้ วิทยาศาสตร์พบต่อมาว่ามันคือน้ำตาลฟรุกโตส หรือน้ำตาลผลไม้นั่นเองที่ก่อให้เกิด AGE ได้อย่างฉกาจฉกรรจ์ ฟรุกโตสนอกจากพบในผลไม้แล้ว ที่พบมากที่สุดก็คือน้ำผึ้ง เห็นมั้ยละครับว่า น้ำตาลนั้นร้ายขนาดไหน และที่ร้ายคือน้ำตาลฟลุกโตสจากผลไม้และน้ำผึ้งที่เราหลงไว้ใจนั่นเอง ผมพบในเฟชบุ๊กอยู่เนืองๆ ที่แชร์กันอย่างกว้างไกล โดยมีนักบรรยายบางท่านบอกว่า น้ำตาลทรายนั้นอย่ากิน แต่ให้กันน้ำตาลทรายแดง และให้กินน้ำผึ้ง เพราะน้ำตาลสองอย่างหลังนั้นเป็นน้ำตาลธรรมชาติ ไม่เป็นอันตราย ก็ขอบอกให้ผู้รักสุขภาพทั้งหลายก่อนจะแชร์ข้อมูลใดๆ พึงพิจารณาให้รอบคอบ ทีนี้มีคำถามว่า ถ้าน้ำตาลเป็นอันตรายต่อสุขภาพแล้วไซร้ ทำไมคนเราถึงอยากกินน้ำตาลกันนักหนา? คำตอบทางวิทยาศาสตร์บอกว่า เมื่อน้ำตาลถูกอัดใส่เข้าสู่กระแสเลือด มันจะก่อให้เกิดการกระตุ้นศูนย์แห่งการรับรู้ความสุขที่สมอง อันเป็นศูนย์เดียวกับที่ตอบสนองต่อโคเคนและเฮโรอีนเลยทีเดียว พูดง่ายๆ ว่าน้ำตาลมีบทบาทต่อสมองเหมือนยาเสพติดเลยทีเดียว แล้วถ้าอย่างนั้น ทำไมสมองของเราจึงรักที่จะตอบสนองต่อสารที่เป็นพิษต่อร่างกายอย่างนั้นเล่า? เรื่องนี้นักมานุษยวิทยาสันนิษฐานว่า มันแฝงฝังอยู่ในยีนของเราตั้งแต่อดีตกาลสมัยเป็นมนุษย์วานร ความรู้สึกอยากหวานถือเป็นสัญญาณที่ทำให้มนุษย์วานรมีชีวิตรอดอยู่ได้ ริชาร์ด จอห์นสัน นักมานุษยวิทยากล่าวว่า “ย้อนหลังไป ๒๒ ล้านปี ขณะนั้นวานรครอบครองทั่วป่าแอฟริกา พวกเขาดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการกินผลไม้หวานโดยธรรมชาติตลอดทั้งปี” “ต่อมาเวลาล่วงไปอีก ๕ ล้านปี บรรยากาศของโลกเปลี่ยนไป กระแสลมอันหนาวเย็นพัดเข้าสู่ ‘สวนอีเดน’ อันอุดมสมบูรณ์ของวานรเหล่านี้ น้ำทะเลลดฮวบลงและถอยห่างออกไปไกลโพ้น น้ำแข็งจากขั้วโลกแผ่กระจายลงมา แผ่นดินใหม่โผล่ขึ้นมาจากมหาสมุทร มีทางเชื่อมระหว่างแอฟริกากับแผ่นดินใหม่นี้ซึ่งก็คือแผ่นดินยูเรเซีย (Eurasia) “วานรส่วนหนึ่งอพยพย้ายถิ่นเข้าสู่ทวีปใหม่ ไปตั้งรกรากอยู่ในป่าฝนของทวีปเอเชียและยุโรป อากาศยังคงเปลี่ยนแปลงต่อไป ป่าบางส่วนกลายสภาพจากป่าดิบเป็นป่าแถบอบอุ่น ซึ่งมีสภาพที่ผลิใบในฤดูใบไม้ผลิ แล้วหลุดร่วงแห้งตายไปเมื่อเข้าฤดูหนาว ความอดอยากแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณกว้าง ผืนป่าจึงคลาคล่ำไปด้วยวานรที่หิวโหย” “ณ เวลานั้น เริ่มมีวานรบางตัวที่เกิดการผ่าเหล่าขึ้นในเซลล์ร่างกายของตนเอง” จอห์นสันกล่าว “ยีนผ่าเหล่านี้ทำให้ภายในร่างกายวานรบางตัวเกิดสภาพที่สามารถเปลี่ยนน้ำตาลฟรุกโตสที่กินเข้าไป ให้กลายสภาพเป็นไขมัน สะสมอยู่ใต้ผิวหนังเพื่อสามารถดึงเอาออกมาใช้ได้ในยามที่ผจญกับอาหารขาดแคลน” การผ่าเหล่านี้เองทำให้วานรพันธุ์ใหม่นี้อยู่รอดได้ ด้วยการกินผลไม้สะสมในฤดูร้อนแล้วสะสมเป็นไขมันไว้ใช้ในฤดูหนาว และแล้วก็มีวานรผ่าเหล่าบางตัวเคลื่อนย้ายตัวเองกลับสู่แอฟริกาซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิม และเป็นต้นตระกูลของวานรซึ่งวิวัฒนาการมาเป็นคนเราทุกวันนี้ ซึ่งล้วนมียีนที่เปลี่ยนฟรุกโตสเป็นไขมัน อันทำให้บรรพบุรุษของเราอยู่รอดได้ แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เมื่อมนุษย์สมัยใหม่ทุกวันนี้พากันกินน้ำตาลและผลไม้อย่างไม่บันยะบันยัง เป็นเหตุให้เกิดไขมันเลือดสูง ไขมันพอกตับ ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ รวมทั้งเบาหวาน เรียกรวมๆ ว่ากลุ่มโรคจากกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย จึงเป็นเรื่องกลับตาลปัตรอย่างยิ่งในความจริงที่ว่า ยีนที่เปลี่ยนฟรุกโตสเป็นไขมันช่วยให้บรรพบุรุษวานรของเรารอดชีวิตมาได้ แต่ยีนนี้กำลังจะฆ่าเรา เหล่ามนุษย์สมัยใหม่ทุกวันนี้. |