|
หัวข้อ: ๓ วันลูกผี ๔ วันลูกคน เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 29 มีนาคม 2558 09:36:28 .
(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSQNi_6BI_gm5nEko9I_17cwXjewunImpbrGNHYQJE8qk3CsclB) สำนวน ๓ วันลูกผี ๔ วันลูกคน ตอนนี้ดูจะไม่มีใครใช้พูดกันแล้ว ถึงพูดก็ไม่รู้ความหมาย อย่างไรกันแน่ ม.จ.หญิง พูนพิศมัย ดิศกุล ทรงพระนิพนธ์ เรื่องไว้ ทำขวัญ ๓ วัน ไว้ในหนังสือ พิธีของทุกคน (สำนักพิมพ์เขษมบรรณกิจ) ว่าเป็นประเพณีที่เชื่อถือกันมาแต่เดิม ในสมัยที่เชื่อผี เชื่อกันว่ามนุษย์ที่เกิดมานี้ ผีเป็นผู้ปั้นรูปร่างลักษณะ แล้วคอยดักจับวิญญาณใส่ ให้มีชีวิต ก่อนส่งเข้าครรภ์มารดา ด้วยเหตุนี้ จึงเชื่อกันว่า ผีเป็นเจ้าของลูกมาก่อน ฉะนั้น เมื่อถึงวันเกิด จึงเอาเด็กใส่กระด้งแกว่ง ถามว่า “๓ วันลูกผี ๔ วันลูกคน ลูกของใคร มาเอาไปเน้อ” แล้วก็จัดให้มีหญิงแก่คนหนึ่งเอาเบี้ย (ในสมัยนั้นใช้เบี้ยแทนสตางค์) เข้ามาเป็นผู้รับซื้อ “ฉันรับซื้อ เป็นลูกของฉันเอง” ผู้รับซื้อ จึงมีชื่อว่า “แม่ซื้อ” คือคนที่รับซื้อเด็กนั้นมาจากผีแล้ว ภายหลังเข้าใจปะปนกันไปว่า แม่ซื้อคือผีเอง เมื่อยกกระด้งเด็กขึ้นวางบนเตียงเรียบร้อย ก็จุดเทียนขนาด ๑ ฟุต ปักในเชิงเทียน วางในขันนํ้าพานรอง (กันไฟลุก) ตั้งไว้ทางหัวนอนเด็ก คอยจุดไฟไว้ให้เทียนครบ ๑ เดือน เทียนนี้เรียกว่า เทียนกะละเม็ด เทียนนี้เป็นสิ่งแสดงว่า เราได้ประเพณีนี้มาจากศาสนาพราหมณ์ คือพระคัมภีร์เก่าของพุทธศาสนา การบูชาเพลิงก็ด้วยถือว่าไฟเป็นสิ่งที่ให้ความสว่าง ความอบอุ่น เป็นเครื่องแผดเผาเชื้อโรคทั้งหลาย และเป็นเครื่องหุงต้มอาหาร อันเป็นสิ่งที่ยังชีวิตมนุษย์ให้มีอยู่ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทุกคนจึงต้องมีไฟคนละดวง เป็นสิ่งสำคัญประจำชีพ ไปจนตลอดอายุ กล่าวคือ จุดประจำมอบให้แต่วันเกิด เป็นต้นมา เมื่อถึงวันตาย จึงนำมาจุดอีกและใช้ไฟประจำชีพดวงนี้ เป็นเพลิงจุดเผาศพ อันเป็นที่สุดแห่งสังขาร ไฟนี้ถือกันว่า ต้องจุดด้วยแว่นขยาย ส่องรับจากดวงอาทิตย์ จึงจะเป็นไฟจากฟ้า ในระหว่าง ๓ วันนี้ เป็นอันว่าเด็กอยู่ในเขตอันตราย เพราะการรักษาพาใจในครั้งกระนั้น ยากที่พาให้เด็กรอดได้ จึงนับว่าอยู่ในเขตของลูกผี ไม่แน่ว่าผีจะให้ไว้หรือไม่ ครั้น ๓ วันก็เป็นอันพ้นเขต เข้าเขตคำว่า “๔ วันลูกคน” จึงทำพิธีรับรองมิ่งขวัญ ว่าเป็นลูกมนุษย์แล้ว พิธีทำขวัญ ๓ วัน เป็นพิธีเล็ก โดยมากทำกันในครอบครัว มี ๑. บายศรีปากชาม คือชามไม่มีฝางามๆ ๑ ใบ เอาใบตองทำกรวยใส่ข้าวสุกให้แน่น แล้วเอาคว่ำตั้งลงตรงกลางชามนั้น เหลาไม้แหลมเสียบไข่จืดต้มสุก แล้วลงบนยอดกรวย ปักพุ่มดอกไม้สดเป็นยอด เสียบลงในยอดกรวยอีกที ตัดใบตองเป็นรูปแมงดา ๓ ตัว ทำบายศรี ๓ ชั้น ๓ อัน วางรอบกรวยนั้น ขัดกันไปรอบชาม จัดกล้วยน้ำว้า แตงกวา ขนม (เช่นฝอยทอง) ลงเป็นกอง กองลงบนใบแมงดาในชามนั้น เอาดอกไม้เสียบตามยอดบายศรี ๓ ชั้น ทุกชั้น แล้วเอาด้ายสายสิญจน์ เด็ดขนาดผูกมือได้ พาดตามนมบายศรีไว้ทุกอันครบแล้ว จึงเรียกว่า บายศรีปากชาม ๒. เทียนเล็กปักบนเชิงเทียนเล่มหนึ่ง ๓. โถกระแจะแป้ง สำหรับเจิมหน้า ใส่โถเล็ก มีพานรอง ๔. ขันเล็กใส่น้ำร้อนอุ่นกับช้อนเล็กๆ สำหรับให้เด็กกิน ครั้นถึงเวลาทำขวัญ ผู้ใหญ่ในวงศ์ตระกูลก็จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วสวดสัคเคฯ ประชุมเทวดาเพื่อขอความสวัสดี ยกชามบายศรีนั้นตั้งทางหัวเด็ก ซึ่งมีผู้อุ้มอยู่ในเบาะตรงหน้าผู้ทำขวัญ หยิบด้ายสายสิญจน์ขึ้นฟาดเคราะห์คือเอาด้ายนั้นลูบบนแขนและขาเด็กข้างละเส้น เพื่อเรียกสิ่งร้ายๆ ต่างๆ ให้ออกจากตัวเด็ก เอาด้ายนั้นเผาไฟจากเทียน ที่จัดใส่เชิงเทียนไว้ทั้ง ๔ เส้น หยิบด้ายเส้นใหม่ขึ้นให้พร แล้วขมวดไว้ตรงกลางด้าย ผูกให้เด็กทั้งที่ข้อมือ และข้อเท้า เจิมแป้งกระแจะไว้ที่หน้าผากเป็นมงคล เสร็จแล้วเอาช้อนเล็กตักน้ำในขันให้เด็กกิน ๓ ครั้ง เป็นเสร็จพิธี ส่วนอาหารในชามบายศรี เมื่อเสร็จพิธีแล้วก็นำไปเซ่นผี คือเทรวมใส่ในใบตอง แล้ววางไว้ในที่เห็นควร ส่วนเครื่องใบตอง คือบายศรีและแมงดา กรวยกับดอกไม้ เครื่องประดับต่างๆ นั้น เอาผ้าห่อวางไว้ใต้เบาะเด็ก ๓ วัน แล้วจึงเอาไปลอยน้ำในวันที่ ๓...นสพ.ไทยรัฐ ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ |