[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 01 เมษายน 2558 15:47:26



หัวข้อ: กรรมที่ปรากฏเมื่อใกล้จะตาย
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 01 เมษายน 2558 15:47:26
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQFGRoD4WjtkALn0DqK5s-x1TvS_8Iw-heqpFfXflD1y9um0u6R)

กรรมที่ปรากฏเมื่อใกล้จะตาย
โดย พระเทพวิสุทธิกวี(พิจิตร ) วัดโสมนัสวิหาร

คนเราทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย จะตายช้าตายเร็วก็ต้องตายแน่ แต่เมื่อใกล้จะตายนั้นจะมีกรรมมาปรากฏในช่วงนั้น ถ้าเราทำกรรมดี และกรรมชั่วไว้ กรรมดีและกรรมนั้นๆ ก็จะมาปรากฏให้เห็นในช่วงสุดท้ายในชาตินี้ และจะสิ้นสุดเมื่อเข้าไปสู่ชาติใหม่ หรือภพใหม่ ลักษณะของจิตที่จักกรรมเอาในขณะนั้น ในคัมภีร์พระอภิธรรมท่านเรียกว่า “ มรณาสันนวิถี ” หมายถึง วิถี(ทาง) ที่จิตใกล้จะตายไปยึดถือ ในขณะนั้นจิตจะเข้าสู่วิถีของมันที่จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภพใหม่ คือจุติ(การตาย) จิตจะปรากฏ

เมื่อจุติจิตปรากฏแล้วปฏิสนธิจิต (การเกิด) ก็จะปรากฏต่อจากจุติจิต ปกติแล้ว จิตในขณะนั้นจะอยู่ในภวังค์เหมือนอย่างคนนอนหลับ แต่เมื่อมันจะเคลื่อนไหวไปเป็นจุติจิตมันจะรับอารมณ์ของกรรมก่อน คือ นำกรรมที่สั่งสมเอาไว้เข้าไปสู่โลก(ภพ)หน้า การที่นำกรรมที่สั่งสมไว้เข้าไปสู่ภพหน้า จิตนั้นจะต้องรับอารมณ์

คำว่า “อารมณ์” ในที่นี้หมายถึง สิ่งที่จิตเข้าไปยึดไว้ ไม่ได้หมายถึง อารมณ์ดี, อารมณ์ร้ายอย่างที่ชาวโลกเขาใช้กันไม่  อารมณ์ในที่นี้ คือ สิ่งที่จิตเข้าไปยึดถือไว้ ท่านเรียกว่า “อารมณ์”

อารมณ์จะมาปรากฏแก่จิตของผู้ใกล้จะตาย 3 อารมณ์ คือ
1. กรรม ถ้าเรียกให้ชัดตามคัมภีร์พระอภิธรรมก็เรียกว่า “กรรมอารมณ์ๆ คือ กรรม”
2. กรรมนิมิต หรือ กรรมนิมิตอารมณ์  คือ กรรมนิมิต
3. คตินิมิต หรือ คตินิมิตอารมณ์ๆ คือ คตินิมิต

โดยทั้ง 3 กรรมนี้ จะมาปรากฏทางใจเมื่อใกล้จะตาย

กรรม นั้นหมายถึง การกระทำของเราเองซึ่งเราอาจจะทำทั้งกรรมดี และกรรมาชั่ว กรรมดีเรียกว่า “กุศลกรรม” กรรมชั่ว เรียกว่า “อกุศลกรรม” และทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว มันจะมาปรากฏให้เราเห็นเมื่อเราใกล้จะตาย

กรรมนิมิต นั้นหมายถึง เครื่องหมายของการทำกรรม เช่นถ้าเราใช้อุปกรณ์อะไร อย่างไรทำ เมื่อจวนจะตาย อุปกรณ์ในการทำกรรมนั้นๆ จะเข้ามาปรากฏเป็นเครื่องหมายให้เราทราบ (นิมิต หมายถึงเครื่องหมาย)

ส่วนคำว่า “คตินิมิต” นั้นหมายถึง เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ให้เรารู้ว่าแดนที่เราจะไปเกิดที่ไหน /ภพไหน/ชาติไหน

มันมีเครื่องหมายบ่งบอกให้เรารู้ว่า ผู้นั้นจะไปดี หรือไปชั่วให้ดูที่คตินิมิต เมื่อใกล้จะตายกรรมมาปรากฏอย่างไร คือถ้าคนเรามีกรรมดีมาปรากฏเช่น  เคยทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นคนกตัญญูรู้คุณ เลี้ยงดูพ่อแม่อย่างใดอย่างหนึ่งในจำนวนบุญกิริยาวัตถุ 10 ข้อ ทำไว้มาก เมื่อใกล้จะตาย กรรมนั้นจะเข้ามาเป็นอาสันนกรรม คือ ทำให้คนนั้นรู้สึกแช่มชื่นเบิกบานใจ ไม่กระวนกระวาย แม้เมื่อตอนป่วยหนักผู้นั้นจะกระวนกระวายเป็นบ้างก็ตาม แต่เมื่อใกล้จะขาดใจนั้นเขาไปอย่างสงบ เช่นบางคนจุดธูปเทียนบูชาพระ บางคนภาวนาว่าพุทโธๆ จากไป บางคนภาวนาว่า อรหังๆ จากไป คือไปด้วยจิตเบิกบาน   และแม้จะเจ็บป่วยขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อใกล้จะตายวินาทีสุดท้ายของเขานั้น เขาไปอย่างดี ไปอย่างสงบ ไม่ทุรนทุราย แม้ทุรนทุรายทางร่างกาย แต่ทางจิตใจนั้นเขาสงบ ลักษณะเช่นนี้จะปรากฏกับผู้ที่ทำความดีไว้มาก และนี่คือลักษณะกรรมดีที่มาปรากฏเมื่อใกล้จวนเจียนจะตาย

แม้ในขณะนั้น บางคนมีกรรมนิมิตมาปรากฏ กรรมนิมิตที่ปรากฏนั้นคือ อย่างไร คือ ถ้าเขาผู้นั้นเคยทำดีเอาไว้ เมื่อเขาจวนจะตาย กรรมดีนั้นย่อมเข้ามาปรากฏในทางมโนทวาร เช่น คนที่เคยใส่บาตรเมื่อใกล้จะตายย่อมมีภาพทัพพี ขันข้าว หรือภาพพระสงฆ์ที่กำลังรับบาตรมาปรากฏเป็นมโนภาพ(เหมือนภาพในความฝัน) เมื่อเขาจะตาย เช่น เห็นภาพตัวเองกำลังถวายจีวร พระภิกษุสามเณร เห็นภาพตัวเองกำลังนั่งสมาธิ หรือทำความดีต่างๆ เห็นอุปกรณ์ที่ตนเองใช้ในการทำความดี เช่น เห็นหม้อข้าว ทัพพี เห็นเครื่องบวชนาค เป็นต้น มันเห็นชัดเจนเป็นภาพ ๆ ไปเลย ภาพเหล่านี้จะมาปรากฏแก่บุคคลที่ทำความดีเอาไว้ ท่านเรียกว่า “กรรมนิมิตฝ่ายดี”

ส่วนคนที่ทำกรรมชั่วไว้ เวลาใกล้จะตาย กรรมชั่วนั้นจะมาปรากฏเป็นภาพในทางใจ (มโนภาพ) ทำให้วุ่นวายใจหรือกระวนกระวาย กระสับกระส่ายเดือดร้อนไม่สงบ เช่น บางคนที่เคยชนไก่เป็นประจำ เมื่อเขาใกล้จะตายก็ร้องทำเสียงเหมือนกับไก่ชน กันเช่น ทำเสียงว่า “ปั๊บๆ ,เอาเข้าไปๆๆ และบางคนเอามือตัวเองชนกัน บางคนร้องเหมือนหมู เพราะเคยฆ่าหมู บางคนร้องเหมือนวัว หรือควาย เพราะเคยฆ่าไว้ ซึ่งพวกนี้เมื่อใกล้ตายจะกระสับกระส่ายดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาน ทำอะไรแปลกๆ  เช่น มีเรื่องตัวอย่างชายคนหนึ่ง ตายด้วยการกรอกน้ำร้อนที่กำลังเดือดจัดเข้าในปากตัวเอง

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส กทม. ได้เล่าไว้ ว่า  "คนขโมยของที่ถูกไฟไหม้" กล่าวกันว่า ได้เกิดไฟไหม้บ้านเรือนหลังหนึ่งขึ้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพฯ นี้เอง เมื่อหลายปีแล้ว คนในบ้านใกล้เคียงตกใจขนของหนีไฟเป็นการใหญ่ ในขณะนั้นก็มีเรือลำหนึ่งเข้ามาเทียบเข้าไปแล้ว เจ้าของเรือก็ตะโกนบอกให้ขนของมาลงเรือ และใส่เต็มเรือแล้ว ชายเจ้าของเรือก็แจวเรือออกไปอย่างรวดเร็ว เป็นการโกงซึ่งๆ หน้า ในขณะที่คนอื่นเขาเดือดร้อนไปรู้จะไปเรียกร้องเอาอะไรจากใครเขาก็นำของที่โกง หรือขโมยมานั้นไปเป็นของตัวเองอย่างสบายใจโดยไม่คิดถึงความเดือดร้อนของคนอื่น ต่อมาชายที่โกงเขาไปนั้นเกิดอาการเจ็บป่วยไม่สบายขึ้น อาการที่ปรากฏคือ ต้องการดื่มน้ำร้อนจัดๆ ยิ่งร้อนเท่าไรก็ยิ่งชอบใจ ในที่สุดก็ไม่พอใจที่ลูกๆ หาว่าเอาน้ำเย็นมาให้ดื่ม ทั้งๆ ที่เป็นน้ำร้อนเดือดจัดแท้ๆ  ในที่สุดแกเอาเตาถ่านและกาน้ำมาต้มที่ใกล้กับที่ที่แกนอนเจ็บอยู่ พอน้ำเดือดพล่าน มีควันพุ่งออกมาเต็มที่ แกก็จะลุกขึ้นยกกาน้ำร้อนเทใส่ปากดื่มทางพวยกา พอแกดื่มเสร็จก็ร้องเฮ้อ คล้ายกับว่าชื่นใจเหลือเกิน แล้วก็ตายไป เรื่องนี้มีผู้เห็นมากมาย    นี้เป็นเพราะกรรมบันดาลหรือให้ผล แท้ๆ

เรื่องนี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงกรรมอารมณ์ คือ อารมณ์ของกรรม ถือว่าเป็นภาพที่ชัดเจนมาก เช่นบอกว่า “อย่ามาฆ่าฉันๆ”  คือเขาเห็นเป็นคนถือหอก ถือดาบมาทำท่าจะฆ่าตน  เขาจึงร้องออกมาว่าอย่าฆ่าฉันๆ อย่าเข้ามาๆ ร้องทั้งๆ ที่ญาติ พี่น้อง ลูกหลานไม่ได้เห็นอะไรเลย แต่คนๆ นี้มองเห็นคนถือดาบ ถือหอก หรือสัตว์ที่ตัวเคยฆ่าจะเข้ามาทำร้ายหรือกัดตัวเองเข้า โดยร้องออกไปอย่างนั้น

ในสมัยพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ มีเรื่องทำนองนี้อยู่เยอะแยะไปหมด ตัวอย่างเช่น เรื่องของนายโคฆาตก์ คือ ผู้มีอาชีพฆ่าโค เป็นต้น.