[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 07 เมษายน 2558 11:39:10



หัวข้อ: ตำนานประเพณี "บุญบั้งไฟ"
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 07 เมษายน 2558 11:39:10
.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/92593389335605_62101675_0_20120606_142037_1_.jpg)

บุญบั้งไฟ

ประเพณีบุญบั้งไฟเป็นหนึ่งในประเพณีสำคัญของชาวอีสานของไทย จัดในราวเดือน ๖ อันเป็นช่วงฤดูฝนเข้าสู่การทำนา ตกกล้า หว่าน ไถ มีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องพระยาคันคาก กับเรื่องผาแดงนางไอ่ เล่าถึงชาวบ้านว่าจัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อบูชาพญาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ด้วยความเชื่อว่าพญาแถนผู้มีหน้าที่ดูแลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดการงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติได้ แต่หากจุดไฟบูชา เทพยดาพระยาแถนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์

บั้งไฟหมายถึงดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง โดยนำเอากระบอกไม้ไผ่ เลาเหล็ก หรือเลาไม้ บรรจุหมื่อ (ดินปืน -ดินประสิวคั่วกับถ่านไม้ตำให้เข้ากันจนละเอียด) ใส่กระบอกไม้ไผ่ ตำให้แน่น แล้วเจาะรูตอนท้ายของบั้งไฟ เอาไม้ไผ่ท่อนอื่นมัดติดกับกระบอก ใส่หมื่อโดยรอบ และเอาไม้ไผ่ยาวลำหนึ่งมามัดประกบต่อออกไปเป็นหางยาว สำหรับใช้ถ่วงหัวให้สมดุลกัน เมื่อนำไปจุดพุ่งขึ้นสู่อากาศจะมีควันและเสียงดัง



(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2015/02/you02090258p3.jpg&width=360&height=360)   สำหรับนิทาน ๒ เรื่องที่เกี่ยวกับประเพณีนี้ หนึ่งคือเรื่องพญาคันคากกับพญาแถน เล่าว่า พญาแถน เทพผู้ดลบันดาลให้ฝนตกเกิดความไม่พอใจชาวโลก จึงบันดาลให้ฝนไม่ตกเลยตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ชาวโลกจึงทำสงครามกับพญาแถน แต่สู้พญาแถนกับกองทัพเทวดาไม่ได้ ถูกไล่ล่าหนีมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่พระโพธิ สัตว์เสวยชาติเป็นพญาคันคาก (คางคก) อาศัยอยู่ พญาคันคากตกลงใจเป็นจอมทัพของชาวโลก โดยให้พญาปลวกก่อจอมปลวกขึ้นไปจนถึงสวรรค์ ให้พญามอดไม้ไปทำลายด้ามอาวุธของทหารและอาวุธพญาแถน และให้พญาผึ้ง ต่อ แตน ไปต่อยทหารและพญาแถน ที่สุดฝ่ายเทวดาพ่ายแพ้ พญาแถนจึงให้คำมั่นว่า หากมนุษย์ยิงบั้งไฟขึ้นไปเตือนเมื่อไรจะบันดาลให้ฝนตกลงมาทันที ถ้ากบเขียดร้องก็ถือเป็นสัญญาณว่าฝนตกลงถึงพื้นแล้ว และเมื่อใดที่ชาวโลกเล่นว่าวก็เป็นสัญญาณสิ้นฤดู

อีกหนึ่งนิทานคือเรื่องท้าวผาแดงนางไอ่ นางไอ่เป็นธิดาพระยาขอมผู้ครองเมืองชะธีตา เป็นสตรีที่มีสิริโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือไปทั้งโลกมนุษย์และบาดาล มีชายหมายปองอภิเษกกับนางมากมาย ในจำนวนนั้นมีท้าวผาแดง กับ ท้าวพังคี รวมอยู่ด้วย ท้าวพังคีเป็นโอรสสุทโธนาค ผู้ครองนครบาดาล ท้าวทั้งสองผูกพันกับนางไอ่มาแต่อดีตชาติ จึงต่างช่วงชิงจะได้เคียงคู่กับนาง แต่ทั้งคู่พลาดหวังเพราะแข่งขันบั้งไฟแพ้ ท้าวพังคีนาคไม่ยอมลดละ แปลงกายเป็นกระรอกเผือกติดตามนางไอ่ สุดท้ายถูกฆ่าตาย พญานาคผู้เป็นพ่อจึงขึ้นมาสู้กับท้าวผาแดงแล้วถล่มเมืองล่มไป กลายเป็นหนองน้ำใหญ่ คือ หนองหาน ทั้งนี้ หนองหานในตำนานท้าวผาแดงนางไอ่ เป็นที่ถกเถียงว่าเป็นที่ไหนกันแน่ระหว่าง หนองหาน อ.หนองหาน และหนองหาน อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี กับหนองหาน จ.สกลนคร

ก่อนจะถึงวันงานหรือวันเอาบุญ ชาวบ้านจะช่วยกันสร้างปะรำ หรือผาม หรือตูบบุญ ฝ่ายแม่ครัวเตรียมข้าวปลาอาหารไว้เลี้ยงแขกเลี้ยงคน ฝ่ายช่างฟ้อนเตรียมขบวนรำสำหรับแห่บั้งไฟ ผู้ชายที่เป็นช่างฝีมือก็ช่วยกันทำบั้งไฟและตกแต่งให้สวยงาม ครั้นถึงวันโฮม ขบวนจะแห่บั้งไฟไปรอบๆ หมู่บ้าน มีรำเซิ้งและการขับร้องกาพย์เซิ้งเล่าความเป็นมาของพิธีบุญบั้งไฟ นับเป็นงานบุญที่เน้นความสนุกสนานรื่นเริง ส่วนการจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวันหนึ่ง เป็นวันที่ชาวบ้านจะเอาบั้งไฟของแต่ละคุ้มแต่ละหมู่บ้านมาจุดแข่งกัน ของใครทำมาดีจุดขึ้นได้สูงสุดก็ชนะ ของใครแตกหรือซุก็แพ้ ต้องถูกลงโทษโดยการจับโยนลงโคลนหรือตม การจุดบั้งไฟเป็นการเสี่ยงทายด้วย ถ้าบั้งไฟขึ้นสูงทำนายว่าฝนจะตกดี ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
....นสพ.ข่าวสด