หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 26 ตุลาคม 2558 20:04:55 (http://www.myfirstbrain.com/thaidata/image.aspx?id=264699) โรคพาร์กินสัน โรคพาร์กินสัน (Parkinson"s disease) หรือโรคสันนิบาต หรือโรคสั่นสันนิบาต คือโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์ประสาทในบางตำแหน่งเกิดมีการตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ทำให้สารสื่อประสาทในสมองที่ชื่อว่า โดปามีน มีปริมาณลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการที่สำคัญคือ อาการสั่น เคลื่อนไหวร่างกายช้าลง ร่างกายมีสภาพแข็งเกร็ง และการทรงตัวขาดความสมดุล เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มของโรคที่มีการเสื่อมของสมอง มักพบในผู้สูงอายุ โดยในคนที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปพบเป็นโรคนี้ 1% และพบได้ในคนทุกเชื้อชาติ ผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคมากกว่าผู้หญิง 1.5 เท่า แพทย์ชาวอังกฤษชื่อ เจมส์ พาร์กินสัน (James Parkinson) เป็นคนแรกที่ได้อธิบายลักษณะของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในปี พ.ศ.2360 ทั้งนี้ สาเหตุของการเกิดพาร์กินสันในผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบชัดเจน มีส่วนน้อยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม และโรคนี้ยังไม่มีวิธีป้องกัน ส่วนยา แม้มียารักษาอาการต่างๆ แต่ยังไม่มียาที่จะรักษาให้โรคหายขาดได้ เนื่องจากโรคนี้พบได้บ่อยและเป็นปัญหาต่อการดำเนินชีวิต จึงมีการจัดตั้งวันโรคพาร์กินสันขึ้น ตรงกับวันที่ 11 เมษายน ของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายแพทย์พาร์กินสัน มีดอกทิวลิปแดงเป็นสัญลักษณ์ ผลข้างเคียงจากโรคพาร์กินสันเกิดจากอาการการสั่น เช่น การล้ม ปัญหาในการพูด การเคี้ยว การกลืน การปัสสาวะ การอุจจาระ ในเพศสัมพันธ์ และเกิดจากปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ ความรุนแรงของโรคพาร์กินสัน สมัยก่อนการค้นพบยารักษาพาร์กินสัน ผู้ป่วยประมาณ 25% จะเสียชีวิตภายใน 5 ปี ประมาณ 65% เสียชีวิตภายใน 10 ปี และ 90% เสียชีวิตภายใน 15 ปี หรือโดยเฉลี่ย ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอัตราตายมากกว่าคนปกติ 3 เท่าเมื่อเปรียบเทียบในขณะที่มีอายุเท่ากัน และเป็นเพศเดียวกัน การใช้ยารักษาจะช่วยทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นเพิ่มอีกหลายปี และลดอัตราตายลงได้ประมาณ 50% ธรรมชาติของโรคนี้คืออาการของผู้ป่วยจะพัฒนารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยที่การรักษาด้วยยาจะช่วยลดอาการต่างๆ ได้ดีเฉพาะในช่วงแรก แต่เมื่อผ่านไปประมาณ 4-5 ปี ผู้ป่วยจะเริ่มไม่ตอบสนองต่อยา แม้จะใช้ยาในปริมาณสูงและหลายชนิด แต่ในที่สุดอาการก็จะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนเสียชีวิต การดูแล 1.ผู้ป่วยต้องพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ 2.ไม่ควรปล่อยให้ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอยู่คนเดียว เนื่องจากผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะมีโอกาสหกล้มได้ตลอดเวลา และคนใกล้ชิดควรสังเกตความผิดปกติของผู้ป่วย ไม่เฉพาะเรื่องกายภาพ แต่ต้องสังเกตอารมณ์และสภาพจิตใจด้วย เนื่องจากอาการทางจิตประสาทบางอย่าง เช่น ภาวะซึมเศร้า อาจทำให้อาการดูเหมือนแย่ลง ซึ่งจริงๆ แล้วอาการทางระบบสั่งการไม่ได้แย่ลง แต่เพราะภาวะซึมเศร้าทำให้ดูเหมือนยิ่งเคลื่อนไหวตัวช้าลง หากได้ยารักษาภาวะซึมเศร้า อาการดังกล่าวก็จะดีขึ้น 3.บ้านที่มีผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ควรปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมตามสภาพอาการ และเพื่อให้ปลอดภัยต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น มีราวสำหรับจับเดินเป็นระยะๆ พื้นต้องไม่ลื่น ไม่มีของเกะกะกีดขวางทางเดิน ช้อน ส้อม แก้วน้ำที่ใช้ควรมีที่สำหรับจับขนาดใหญ่ เก้าอี้อาจเป็นแบบมีสปริงสำหรับช่วยยกตัวเวลาลุกขึ้นได้ แต่ต้องมั่นคง ไม่โยกเยกล้มง่าย การติดเครื่องช่วยขยายเสียงเวลาพูด เป็นต้น 4.แม้จะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน (ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน) ช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ไม่แนะนำ เพราะมีโทษทำให้เกิดโรคอื่นๆ ที่น่ากลัวเป็นอันตรายต่อชีวิตได้มากกว่า เนื่องจากสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่ทราบชัดเจน การป้องกันเต็มร้อยจึงเป็นไปไม่ได้ แต่บางการศึกษาพบว่า การกินอาหาร 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยจำกัดอาหารกลุ่มไขมันและเนื้อแดง (เนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) และกลุ่มผลิตภัณฑ์จากนม โดยกินผัก ผลไม้เพิ่มขึ้นให้มากๆ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อาจช่วยลดโอกาสเกิดอาการ หรือลดความรุนแรงจากอาการของโรคลงได้บ้าง (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=419247) |