[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ไปเที่ยว => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 15 พฤศจิกายน 2558 18:07:02



หัวข้อ: วัดสิงห์ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ชมศาสนสถานโบราณครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 15 พฤศจิกายน 2558 18:07:02
.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/59477676989303_1.jpg)

วัดสิงห์
ตำบลสามโคก  อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี

วัดสิงห์ เป็นวัดตั้งอยู่ริมคลองไม่ห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งตะวันตกบริเวณคุ้งน้ำที่กว้างใหญ่ ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาสายใหม่ ซึ่งขุดลัดเตร็ดใหญ่ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ตรงหน้าวัดไก่เตี้ย

ที่ตั้งของวัดอยู่ห่างจากริมแม่น้ำลึกเข้าไปประมาณ ๕๐๐ เมตร โดยมีลำคลองสำหรับเรือเข้าออก เรียกว่า “คลองวัดสิงห์” อยู่ทางทิศใต้ของวัด แผ่นดินบริเวณนี้เรียกว่า “บ้านสามโคก”

“วัดสิงห์” เป็นวัดโบราณเก่าแก่คู่เมืองสามโคกมานาน  สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้เดิมเป็นวัดร้างที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งกรุงอยุธยาเป็นราชธานี สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

 
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อพม่ารบกับจีน ในปี พ.ศ.๒๐๒๒ ชาวมอญที่ถูกเกณฑ์เข้าร่วมในกองทัพพม่า ได้พากันหลบหนีจากกองทัพพม่า โดยพาครอบครัวประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน ออกจากแว่นแคว้นเมืองเมาะตะมะ มาทางเมืองสมิ ถึงด่านพระเจดีย์ ๓ องค์  ในปีระกา นพศกนั้น จึงสมิงนายอำเภอทั้ง ๑๑ นาย ก็แต่งหนังสือบอกให้รามัญ ถือเข้ามาแจ้งกิจการแก่พระยากาญจนบุรีว่าจะเข้ามาสวามิภักดิ์เป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาท พระยากาญจนบุรีก็ส่งหนังสือบอกเข้ามาถึงอัครมหาเสนาธิบดี ให้นำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบ พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าช้างเผือกให้ทรงทราบเหตุ  ก็ทรงพระโสมนัสดำรัสให้สมิงรามัญเก่าในกรุงถือพลพันหนึ่ง ออกไปรับครัวเมืองเมาตะมะเข้ามายังพระมหานคร แล้วทรงพระกรุณาโปรดให้พวกครัวมอญใหม่ไปตั้งบ้านเรือนอยู่สามโคกบ้าง ที่คลองคูจามบ้าง ที่ใกล้วัดตองปุบ้าง โดยพระภิกษุที่อพยพหนีศึกพม่ามาด้วยกันได้อยู่พักจำพรรษาที่วัดแห่งนี้  ดังนั้น วัดสิงห์จึงเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสามโคกที่มีมาก่อนชาวรามัญจะอพยพเข้ามาอยู่บ้านสามโคก

ต่อมาราวสมัยอยุธยาตอนปลาย ต่อเนื่องถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้มีชาวมอญอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนชุมชนบริเวณอำเภอสามโคกมากขึ้น และได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ จนเป็นวัดมอญดังเช่นปัจจุบัน
 

ด้วยความที่วัดสิงห์เป็นวัดเก่าแก่โบราณ
ทำให้สถาปัตยกรรมและสิ่งก่อสร้างล้วนสะท้อนศิลปะอยุธยา
ไม่ว่าจะเป็นวิหารโถง หรือที่เรียกว่าศาลาดิน วิหารน้อย โกศพญากราย ฯลฯ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/84778573032882_4.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/46006144997146_5.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/99125746678974_2.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/82383946660492_6.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/92240538779232_3.jpg)
วิหารน้อย เป็นวิหารทรงไทยก่อด้วยอิฐไปจรดอกไก่ มุงด้วยกระเบื้องดินเผากาบู
ด้านหน้ามีพาไลยื่นออกมา ฐานของอาคารทำเป็นท้องสำเภาก่ออิฐเป็นฐานปัทม์แอ่นโค้ง
ผนังเจาะเป็นช่องลูกกรงแทนหน้าต่าง มีประตูเข้าช่องทางเดียว วงกบประตูทำด้วยไม้สักทอง
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ปางมารวิชัย ประดิษฐานบนฐานชุกชีประดับกระจกสีเขียว
ด้านข้างมีพระพุทธรูปยืนพนมมือ

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/84173700379000_12.jpg)
วิหารโถง หรือที่เรียกว่าศาลาดิน เป็นอาคารทรงไทยจั่วลูกฟักหน้าพรหม
มีมาลัยโดยรอบ มุงด้วยกระเบื้องกาบู กระเบื้องเชิงชายทำเป็นบันแถลงรูปสามเหลี่ยม
ปลายเรียวโค้งรูปเทพนมสลับกับดอกบัวอ่อนช้อยสวยงาม  

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/45402395352721_9.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/69130661131607_10.jpg)
หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปศิลปะอยุธยา ก่อด้วยอิฐถือปูนปิดทอง ปางมารวิชัย
ภายใต้ซุ้มเรือนแก้ว อายุมากกว่า ๓๒๐ ปี ประดิษฐานในวิหารโถง หรือ ศาลาดิน

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/62370616280370_11.jpg)
หลวงพ่อเพชร  พระพุทธรูปปางไสยาสน์ (ปางสุบินนิมิต)
ขนาดยาว ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว อยู่ด้านหลังซุ้มเรือนแก้วหลวงพ่อโต

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/84230063607295_14.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/53260889194077_15.jpg)
มีพระยิ้มและพระหน้าบึ้ง ประดิษฐานอยู่ด้านหน้า
ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปกันมาก

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/64167297010620_7.jpg)
โกศพญากราย ก่อด้วยอิฐฉาบปูนรูปแบบโกศโถทรงกระบอกกลมปากผาย
บรรจุอัฐิพระเถระมอญที่อพยพเข้ามาจากเมืองเมาะตะมะ เมื่อราว ๒๐๐ ปีก่อน  
ลักษณะโกศมีขนาดใหญ่ สร้างตามรูปแบบศิลปะแบบมอญผสมไทย
ประดับลวดลายปูนปั้นและประดับกระจกอย่างประณีตงดงาม
สะท้อนถึงความเป็นอริยสงฆ์ ศูนย์รวมแห่งศรัทธาสักการะของผู้คนในสมัยนั้นเป็นอย่างดี

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/13100942224264_1.png)
เมื่อคราวที่เมือง "สามโคก" นี้จะได้รับพระราชทานนามว่า “ประทุมธานี”
จากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
พระสุนทรโวหาร (ภู่) กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้พรรณนาถึงพระองค์
ดังความปรากฏในนิราศภูเขาทอง เมื่อพุทธศักราช ๒๓๗๑ ว่า
“ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า
พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี
ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว”

นิราศข้างต้นเกิดขึ้นหลังแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไม่นาน
และ กล่าวถึง “สามโคก” ซึ่งเป็นนามเมืองเก่า อันมีรากเหง้าความเป็นมาอย่างยาวนานกว่า ๓๘๕ ปี
ก่อนที่จะได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า “ประทุมธานี” ด้วยเหตุที่เมืองนี้มีดอกบัวเหลือคณนา
และมีส่วนสำคัญต่อการรักษาวัฒนธรรมประเพณีอันประณีตลุ่มลึกและหลากหลาย
ในสังคมเมืองหลวงจนสืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าแก่ลูกหลานในปัจจุบัน