[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ไปเที่ยว => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 29 ธันวาคม 2558 18:12:39



หัวข้อ: "หลวงพ่อโต" วัดไชโย จ.อ่างทอง
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 29 ธันวาคม 2558 18:12:39
.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/63171524802843_1.jpg)
พระมหาพุทธพิมพ์ วัดไชโย จ.อ่างทอง

กราบขอพร หลวงพ่อโต
วัดไชโยวรวิหาร  ต.ไชโย อ.ไชโย จ.อ่างทอง


วัดไชโย ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ในท้องที่ตำบลไชโย อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง

วัดไชโยเป็นวัดพระอารามหลวง ชนิดวรวิหาร มีเนื้อที่ ๒๗ ไร่ ๓ งาน ๘๘ ตารางวา  เป็นวัดเก่าแก่แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดสร้าง

วัดนี้เริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ ได้มาสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้น  ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๓๐ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) พระพุทธรูปได้พังลงมา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างองค์ใหม่ขึ้นแทน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย พระราชทานชื่อว่า “พระมหาพุทธพิมพ์” หลังจากนั้นได้มีการบูรณะและปฏิสังขรณ์วัด รวมทั้งก่อสร้างถาวรวัตถุอีกหลายอย่าง เช่น พระวิหารครอบองค์พระพุทธรูป พระอุโบสถ ศาลาราย กำแพงแก้ว หอสวดมนต์  และโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง

พระมหาพุทธพิมพ์ หรือ “หลวงพ่อโต” แห่งวัดไชโยนี้ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ ที่ชาวอ่างทองและจังหวัดใกล้เคียงให้ความเลื่อมใสศรัทธามาก  มีพุทธลักษณะศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ ขนาดหน้าตัก ๘ วา ๗ นิ้ว ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง  เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร ที่เรียกกันติดปากว่า สมเด็จโต  พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดใหญ่โตสมนามของท่าน

เมื่อมาสร้างหลวงพ่อโตที่วัดไชโยนี้ แรกทีเดียวสมเด็จโต ท่านสร้างเป็นพระนั่งขนาดใหญ่มาก ก่อด้วยอิฐและดินแต่ไม่นานก็พังทลายลง ท่านจึงสร้างขึ้นอีกครั้ง  ครั้งนี้ ใช้วิธีเดิมแต่ลดขนาดให้เล็กลง ก็สำเร็จเป็นพระปางสมาธิองค์ใหญ่ถือปูนขาว ไม่ปิดทอง ปรากฏในพระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า “พระใหญ่ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) สร้างนี้ รูปร่างหน้าตาไม่งามเลย ดูที่หน้าวัด ปากเหมือนท่านขรัวโตไม่มีผิด ถือปูนขาวไม่ได้ปิดทอง ทำนองท่านไม่คิดจะปิดทอง จึงได้เจาะท่อน้ำไว้ที่พระหัตถ์..."

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดไชโยขึ้นใหม่ทั่วทั้งพระอาราม  เมื่อมีการสร้างพระวิหาร ก็จำเป็นต้องมีการกระทุ้งฐานราก แต่เมื่อกระทุ้งรากพระวิหาร  แรงสั่นสะเทือนทำให้องค์พระขนาดใหญ่พังทลาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยารัตนบดินทร์ (บุญรอด กัลยาณมิตร) ที่สมุหนายก สำเร็จราชการกรมมหาดไทย และพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าประดิษฐวรการ นายช่างปั้นพระพุทธรูปซึ่งมีฝีพระหัตถ์ยอดเยี่ยมในสมัยนั้น เป็นแม่กองมาช่วย  เมื่อพิจารณาแล้วทรงให้รื้อองค์พระออกทั้งองค์แล้ววางรากฐานใหม่ ใช้วิธีวางโครงเหล็กยึดไว้ภายในแล้วก่อขึ้นเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิช้อนพระหัตถ์ ตามลักษณะที่สมเด็จพระพุฒจารย์ทำไว้แต่เดิม มีขนาดหน้าตักกว้าง ๘ วา ๖ นิ้ว สูงสุดยอดพระรัศมี ๑๑ วา ๑ ศอก ๗ นิ้ว สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๗ รวมเวลาที่ปฏิสังขรณ์ ๘ ปี แล้วพระราชทานนามพระพุทธรูปว่า พระมหาพุทธพิมพ์ ซึ่งคือ หลวงพ่อโต องค์ที่ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้  และโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะของวัดไชโยขึ้นเป็นพระอารามหลวงชื่อ “วัดไชโยวรวิหาร” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้มีมหกรรมเฉลิมฉลองพระอารามวัดไชโยเป็นงานใหญ่ ๓ วัน ๓ คืน เมื่อวันที่ ๕-๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๘  พระราชทานของช่วยงาน ได้แก่ ละคร ๑ โรง หนัง ๑ โรง ดอกไม้เพลิง ๑ ต้น กัลปพฤกษ์ ๒ ต้น ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ได้ทำการปิดทององค์พระมหาพุทธพิมพ์ ปรากฏเห็นจวบจนทุกวันนี้



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/20079846100674_1..jpg)
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโต เป็นที่ประจักษ์กันดีในหมู่ชาวเมืองอ่างทองที่เคารพนับถือ
กล่าวกันว่า ผู้ที่ก่อกรรมทำชั่วไว้มาก จะไม่สามารถเข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อโตได้
เนื่องจากเมื่อเข้าใกล้องค์พระ จะเห็นว่าหลวงพ่อโตกำลังจะล้มลงมาทับ

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/15937071583337_2..jpg)
พระประธานประจำพระอุโบสถวัดไชโย

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/65906216038597_2.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/49809197791748_5.jpg)
จิตรกรรมสูงค่าภายในฝาผนังพระอุโบสถ

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/18217747906843_3.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/66188384633925_4.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/64657532258166_6.jpg)
พระวิหารครอบองค์พระมหาพุทธพิมพ์ มีลักษณะเป็นเรือนใหญ่ สูง ๑ เส้นเศษ

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/78107767883274_7.jpg)
ศาสนสถานของวัดไชโย จ.อ่างทอง


ขนมกง
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/49161644238564_8.jpg)
ขนมโบราณ มีวางขายแทบทุกร้านในร้านค้าของวัด

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/15355883621507_9.jpg)

ขนมกง มีลักษณะเป็นวงกลมเหมือนวงล้อของเกวียน ตรงกลางทำไส้เป็นเส้นกลมไขว้กันเป็นรูปกากบาท  ใน “คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม” ซึ่งเป็นเอกสารที่เกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย (ช่วงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)  เรียกขนมชนิดนี้ว่าขนมกงเกวียน  ตามหลักฐาน ว่า “ย่านป่าขนม ชาวบ้านย่านนั้นทำขนมขายและนั่งร้านขายขนมชะมด กงเกวียน...”

ขนมกงทำจากถั่วทองหรือถั่วเขียว น้ำตาลโตนดหรือน้ำตาลมะพร้าว หัวกะทิคั้นข้น แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว น้ำปูนใส ไข่เป็ด การทำขนมกง เริ่มด้วยการเคี่ยวหัวกะทิกับน้ำตาลมะพร้าวด้วยไฟอ่อนจนเป็นยางมะตูม ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น นำไปผสมกับถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุก บดให้แหลก  ค่อยๆ เทลงในน้ำตาลที่เคี่ยวลงในถั่วบดทีละน้อย นวดจนกระทั่งปั้นได้...ปั้นเป็นท่อนกลมเล็กๆ คลึงให้ยาวแล้วขดเป็นวงกลม  เสร็จแล้วคลึงถั่วที่นวดแล้วเป็นท่อนกลมสั้นๆ คาดกลางสองเส้นไขว้กันเป็นกากบาทกลางวงขนม ปั้นถั่วเป็นเม็ดกลมเล็กๆ อีกห้าเม็ด ติดสี่มุมและตรงกลางอีกหนึ่งเม็ด ต้องติดให้แน่นแล้ววางพักไว้ จากนั้นทำแป้งชุบทอด โดยใช้แป้งข้าวเหนียวผสมแป้งข้าวจ้าว ใส่ไข่ ใส่หัวกะทิลงไปทีละน้อย นวดไปเรื่อยๆ จนกะทิหมด จึงใส่น้ำปูนใส (ทำให้แป้งกรอบ) คนแป้งละลายให้เข้ากัน ก่อนจะทอดให้นำขนมที่ปั้นไว้ชุบแป้งทอดในน้ำมันมากให้ท่วมขนม ใช้ไฟกลางจนกระทั่งขนมสุกกรอบออกสีเหลืองนวล

การทอดขนมกงมีเคล็ดคือ ขณะที่ทอดขนมในกระทะต้องหยดหรือพรมแป้งให้ติดเป็นเม็ดพองขึ้นตามวงขนม เรียกว่า “หัวเพชร หัวพลอย” ถือว่าเป็นสิริมงคลงอกงาม โดยเฉพาะขนมกงที่ใช้ในพิธีมงคล เช่น พิธีหมั้น และพิธีแต่งงาน

การทำขนมกงในบางโอกาส มักเอาไม้ตอกยาวประมาณ ๓ นิ้ว มาเสียบสี่มุมของขนม รวบปลายทำเป็นยอดแหลมคล้ายรูปฝาชี แล้วนำแป้งมาทอดทำฝอย นำมาโรยให้ฟูคลุมเป็นรูปกระโจม ก็ทำให้สวยงามดี แต่โดยมากมักทำง่ายๆ ไม่มีฝอยคลุม

ขนมกงนี้นิยมทำในงานพิธีแต่งงานของคนไทยมาแต่โบราณ ถึงกับกล่าวเป็นสำนวน เช่น ถามกันว่า “เมื่อไรจะได้กินขนมกงเสียสี” อย่างนี้เป็นอันรู้กันว่าหมายถึง “เมื่อไรจะแต่งงานเสียที” เป็นต้น