หัวข้อ: เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย (วัดคลองด่าน) จ.สมุทรปราการ เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559 19:37:28 .
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/14138565460840_14536537861453653919l_1_.jpg) เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย จ.สมุทรปราการ เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย สุดยอดเครื่องรางของขลังที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอมตะ เป็นที่แสวงหากันในแวดวงมาตั้งแต่อดีต เพราะเสือของท่านมีประสบการณ์ในทางมหาอำนาจและคงกระพันชาตรียอดเยี่ยม ทางเมตตามหานิยมและค้าขายก็เป็นเลิศ "วัดบางเหี้ย" ความจริงแล้วชื่อ "วัดคลองด่าน" ชื่อเป็นทางการว่า "วัดมงคลโคธาวาส" ตั้งอยู่ ต.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ ที่เรียกว่า "บางเหี้ย" เนื่องจากในอดีตมีตัวเงินตัวทองอยู่มาก เพราะเป็นเขตน้ำกร่อย หลวงพ่อปาน อัคคปัญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดบางเหี้ย เป็นชาวคลองด่านโดยกำเนิด เกิด พ.ศ.2370 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บิดาชื่อ ปลื้ม มารดาชื่อ ตาล บรรพชาเมื่ออายุ 15 ปี ที่สำนักวัดอรุณราชวราราม และอุปสมบท ณ วัดอรุณฯ โดยมี ท่านเจ้าคุณพระศรีศากยมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านใฝ่ใจศึกษาด้านวิปัสสนากรรมฐาน รวมถึงไสยศาสตร์ จากพระคณาจารย์ผู้ทรงพุทธาคมหลายรูปจนเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะ "หลวงปู่แตง เจ้าอาวาสวัดอ่างศิลา จ.ชลบุรี" พระเกจิผู้เก่งกล้าด้านวิปัสสนาและไสยเวท ก่อนกลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านเกิด และขึ้นเป็นเจ้าอาวาสในเวลาต่อมา นับเป็นพระเกจิที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ให้ความเคารพศรัทธายิ่ง ทั้งเป็นที่เคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนโดยถ้วนทั่ว จนพร้อมใจกันสร้างรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริง เพื่อไว้เป็นที่เคารพบูชาในเวลาที่หลวงพ่อไม่อยู่วัด ด้วยเกียรติคุณความดีของท่าน จึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เรื่อยมา จนสมณศักดิ์สุดท้ายเป็น "พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ" มรณภาพเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2453 กล่าวถึงกิตติศัพท์เรื่อง "เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน" อันเป็นที่เลื่องลือไปทั่วนั้น ตัวอย่างเช่น ... เมื่อคราวล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 เสด็จวางศิลาฤกษ์ที่เขื่อน เล่ากันว่า หลวงพ่อปานนำเขี้ยวเสือใส่พานถวาย 5 ตัว แต่เณรที่ถือพานเกิดทำตกน้ำไปหนึ่งตัว ท่านจึงให้เอาเนื้อหมูผูกเชือกหย่อนลงน้ำ บริกรรมพระคาถา จนเขี้ยวเสือติดชิ้นหมูขึ้นมาต่อหน้าพระพักตร์ พระองค์ทรงศรัทธาหลวงพ่อปานมาก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นที่ พระครูนิโรธสมาจารย์ และทรงเรียกเป็นส่วนพระองค์ว่า "พระครูปาน" ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาว่า ... "พระครูปานมาหาด้วย พระครูปานรูปนี้เป็นที่นิยมกันในทางวิปัสสนาและธุดงควัตร คุณวิเศษที่คนเลื่อมใสคือ ให้ลงตะกรุด ด้ายผูกข้อมือ รดน้ำมนต์ ที่นิยมกันมากนั้น คือ รูปเสือแกะด้วยเขี้ยวเสือ เล็กบ้างใหญ่บ้าง ฝีมือหยาบๆ ข่าวที่ร่ำลือกันว่าเสือนั้นเวลาจะปลุกเสก ต้องใช้เนื้อหมู เสกเป่าไปยังไร เสือนั้นกระโดดลงไปยังเนื้อหมูได้ ตัวพระครูเองเห็นจะได้รับความลำบากเหน็ดเหนื่อย ในการที่ใครๆ กวนให้ลงโน่นลงนี่ เขาว่าบางทีหนีไปอยู่ป่าช้า ที่พระบาทก็หนีขึ้นไปอยู่เสียที่บนเขาโพธิ์ลังกา คนก็ยังตามขึ้นไปกวนไม่เป็นอันหลับอันนอน แต่บริวารเห็นจะได้ผลประโยชน์ในการทำอะไรๆ ขาย มีแกะรูปเสือเป็นต้น ถ้าปกติราคาตัวละบาท เวลาแย่งชิงกันก็ขึ้นไปตัวละ 3 บาท ว่า 6 บาทก็มี ได้รูปเสือนั้นแล้วจึงไปให้พระครูปลุกเสก สังเกตดูอัชฌาสัยก็เป็นอย่างคนแก่ใจดี กิริยาเรียบร้อย อายุ 70 ปีแล้ว ยังไม่แก่มาก รูปร่างล่ำสันใหญ่โต เป็นคนพูดน้อย" เขี้ยวเสือของหลวงพ่อปานนั้น ท่านทำจาก "เขี้ยวเสือโคร่ง" ให้ช่างที่เป็นลูกศิษย์มีด้วยกัน 5 คน แกะเสือขนาดไม่ใหญ่มากนัก ถ้าเป็นต่างจังหวัดจะมีช่างแกะรูปเสือคอยไว้เวลาหลวงพ่อไปธุดงค์ ซึ่งแต่ละคนจะแกะไม่เหมือนกันซะทีเดียว จากนั้นท่านจะลงเหล็กจารด้วยตัวเอง ปลุกเสกโดยใส่ "พระคาถาหัวใจเสือโคร่ง" ลูกศิษย์ลูกหาได้ยิน ท่านท่องว่า พยัคโฆ พยัคฆา สูญญา สัพพติ อิติ ฮัมฮิมฮึม ... แต่ตรง "ฮัมฮิมฮึม" นี้ เข้าใจว่าน่าจะเป็นเสียงเสือคำรามหรือลูกศิษย์อาจจะฟังไม่ออก ... ประการสำคัญ คือรอยจารใต้ฐาน ท่านมักจะจารเองเป็น "นะขมวด" ที่เรียกกันว่า "ยันต์กอหญ้า" และ ตัว "ฤ ฤๅ" ลักษณะที่บ่งบอกเอกลักษณ์ คือ "เสือหน้าแมว หูหนู ตาลูกเต๋า ยันต์กอหญ้า" ซึ่งมีทั้งเสือหุบปากและอ้าปาก เขี้ยวกลวง มีทั้งแบบซีกและเต็มเขี้ยว เขี้ยวหนึ่งอาจแบ่งทำได้ถึง 5 ตัว ตัวเล็กๆ เรียก "เสือสาริกา" เป็นปลายเขี้ยว ส่วนใหญ่พบว่าเป็นซีก คนโบราณนิยมเลี้ยงไว้ในตลับสีผึ้งทาปาก วิธีจารเขี้ยวเสือ ท่านจะจารตัว "อุ" มีทั้งหางตั้งขึ้นและลง ที่ขาหน้าค่อนไปทางด้านบน และลงอักขระคล้ายเลข "๓" หรือเลข "๗" ขยักๆ หางลากยาวหน่อย ตรงสีข้างส่วนใต้ฐาน และจาร "ยันต์กอหญ้า" ถ้าเสือตัวใหญ่ก็จะลงยันต์กอหญ้า 2 ตัว ตรงข้ามกัน และลงตัว "ฤ ฤๅ" พร้อมตัวอุณาโลม บางตัวมีรอยขีด 2 เส้นขนานกัน เป็นเส้นลึกและคมชัด นอกจากนี้ต้องดู "ความเก่าของเขี้ยวเสือ" ให้เป็น ต้องแห้งเป็นธรรมชาติ วรรณะเหลืองใส มีรอยหดเหี่ยวที่โบราณเรียก "เสือขึ้นขน" เป็นเสี้ยนเล็กๆ อาจมีรอยแตกอ้า หากผ่านการใช้สีจะยิ่งเข้ม ส่วนของปลอมจะใช้เขี้ยวหมี ซึ่งตอนหลังหาเขี้ยวสัตว์ยากก็เอากระดูกสัตว์มาทำ บางทีก็เป็นเรซิ่นไปแช่ด่างทับทิมหรือทิงเจอร์ |