[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ => ข้อความที่เริ่มโดย: ใบบุญ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 19:48:06



หัวข้อ: แก้วอังวะ รัตนมณีแห่งพุกาม
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 19:48:06
.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/60103804080022_1.jpg)

แก้วอังวะรัตนมณีแห่งพุกาม

จะสังเกตได้ว่าตามวัดวาอารามเก่าแก่ต่างๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือที่เป็นดินแดนล้านนาของไทย มักพบกระจกสีต่างๆ มาประดับประดาตามงานสถาปัตยกรรมและงานประติมากรรมต่างๆ ให้แลดูงดงามอลังการ อาทิ ในส่วนของช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบัน คันทวย หัวเสา ตัวเสา หรือเกล็ดพญานาค บางทีก็เป็นการประดับพระพุทธรูปทรงเครื่อง เช่น ส่วนกรรเจียกจอน มงกุฎ ด้ามพระขรรค์ ธำมรงค์ เป็นต้น

บางครั้งก็พบประดับประดาร่วมกับงานลงรักปิดทองบนชิ้นงานอื่นๆ เช่น แท่นบัลลังก์ ฐานชุกชี ธรรมาสน์ สังเค็ด แพนหางนกยูง สัตภัณฑ์ วัสดุที่นำมาใช้นั้นเรียกกันว่า "แก้วอังวะ" ซึ่งเป็นชื่อเรียก "กระจก" ในงานกระจกหรืองานประดับกระจกแบบโบราณชนิดหนึ่งที่รับมาจากพุกามหรือพม่า ซึ่งเข้ามามีอิทธิพลในล้านนากว่า 200 ปี

ซึ่งคนสมัยก่อนมักเรียกกระจกว่า "แก้ว" เป็นงาน และงานที่จะพบ "แก้วอังวะ" ได้นั้น ต้องเป็นงานโบราณมากๆ

การทำกระจกของคนโบราณจะเรียกว่า "การหุงกระจก" หมายถึง การนำวัตถุธาตุ เช่น ดีบุก แป้ง ดินประสิว ดินแดง หรือทอง ทองเหลือง มาผ่านกระบวนการให้ความร้อน ซึ่งจะได้ของเหลวใส ก่อนจะ "ดาด" หรือ "เท" ลงบนแผ่นตะกั่ว ซึ่งก็คือวิธีการทำกระจกที่เรารู้กันว่าเป็นการนำโลหะบางชนิดมาผสมกับทราย ถ้าเป็นทรายเนื้อละเอียด เราจะเรียกว่า "ทรายแก้ว" ก็จะได้กระจกคุณภาพดี


 
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/93326212879684_2.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/80628913268446_view_resizing_images_1_.jpg)

แต่กระจกที่นำมาใช้ในงานประดับกระจก ไม่ใช่กระจกแบบกระจกส่องหน้านะครับ หากแต่ขึ้นอยู่กับวัสดุหรือโลหะที่นำมาผสมแล้วหุงตามสูตรต่างๆ กันไป ซึ่งเราอาจจะแบ่งกระจกที่ใช้ในงานประดับกระจกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ

ชนิดแรกเรียกว่า "กระจกจีน" หรือ "กระจกเกรียบ" จะเป็นการดาดแก้วที่มีความบางลงบนแผ่นตะกั่วหรือดีบุก มีสีต่างๆ เช่น สีใส สีเขียว สีฟ้า สีขาว สีแดง ส่วนใหญ่แล้วจะต้องสั่งจากจีนเพราะถือว่าเป็นกระจกที่มีคุณภาพ สามารถงอพับและตัดเป็นรูปได้ด้วยกรรไกร เนื่องจากมีความบางคล้ายข้าวเกรียบ อีกชนิดหนึ่งเรียก "กระจกแก้ว" เป็นกระจกที่มีความหนา มีสีสันสดใส หลายหลากสี วิธีทำก็คือหุงด้วยทรายแก้วซึ่งเป็นทรายเนื้อละเอียด โดยผสมน้ำยาสีต่างๆ ตามแต่จะต้องการลงไป ด้านหลังอาบด้วยปรอทเคลือบน้ำยาเคมี ไม่สามารถโค้งงอได้ เป็นกระจกที่ถูกนำมาใช้มากในระยะหลัง เนื่องจากผู้คนเลิกหุงกระจกจีนหรือกระจกเกรียบกันแล้ว

แก้วอังวะ จัดอยู่ในประเภท "กระจกจีน" ปัจจุบันบางคนก็เรียก กระจกจีน ไปเลยก็มี เหตุที่เรียกชื่อ "แก้วอังวะ" นั้น เนื่องจากกระจกประเภทนี้นำเข้ามาจากพม่า "สูตรการหุงแก้วอังวะ" ก็คงจะเป็นสูตรเฉพาะตัวของพม่า เพราะลักษณะที่เห็นจะไม่เหมือนกับกระจกจีนทั่วๆ ไป คือ "แก้วอังวะ" จะมีสีใส เมื่อดาดลงบนแผ่นตะกั่วหรือดีบุกชิ้นใหญ่ๆ สามารถตอกตรึงติดกับโครงสร้างได้โดยง่าย และไม่เป็นประกายแวววาวมากนัก ซึ่งเอกลักษณ์ต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ "แก้วอังวะ" ดูเคร่งขรึม สง่างาม เข้ากันได้ดีกับองค์ประกอบทางศิลปะ เป็นการช่วยเสริมให้เกิดความงามทางศิลปะซึ่งกันและกัน

นอกจากนี้ ความนิยมนำแก้วอังวะมาประดับประดา ยังเนื่องมาจากคติความเชื่อทางพุทธศาสนาในอดีตที่ว่า พม่าเป็นดินแดนแห่ง "รัตนมณี" อันเป็นศูนย์กลางแห่งชมพูทวีป ซึ่งจะบังเกิดองค์จักรพรรดิราช ในคติ จักรวาทิน ซึ่งจะประกอบไปด้วยรัตนมณี 9 ประการ อันเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิผู้ปราบไปได้ทั่วทุกสานุทิศ ดินแดนพุทธศาสนาอื่นๆ จึงนิยมนำรัตนมณี หรือ แก้ว จากพม่าเข้ามาเป็นความหมายแห่งคติความเชื่อ ซึ่งจะปรากฏในเอกสารของพม่าเองในเอกสารที่เผยแพร่ในล้านนา และในงานวรรณคดีชั้นสูง โดยเรียกแก้วจากพม่าว่า "แก้วพุกาม" หรือ "แก้วพุก่ำ"

เป็นที่น่าเสียดายว่า แก้วอังวะ รวมทั้ง กระจกจีน หรือ กระจกเกรียบ ที่กล่าวถึงนั้น เลิกผลิตไปนานมากแล้ว วิธีการหุงก็สาบสูญจากการถ่ายทอด แม้แต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 จะหาใครรู้วิธีการหุงกระจกจีนก็ยากเต็มทน ทำให้งานศิลปะประเภทนี้สาบสูญจากการถ่ายทอดไปอย่างน่าเสียดาย วัดวาโบราณทางเหนือที่พยายามอนุรักษ์ "แก้วอังวะ" เอาไว้ ต้องใช้วิธีการขอรับบริจาคจากวัดเก่าๆ ที่รื้อถอนแล้วยังคงเหลือแก้วอังวะบางส่วนเพื่อนำมาตกแต่งเพิ่มเติม

ดังนั้น แก้วอังวะนับวันมีแต่จะสูญสลายหายไป

จนคนรุ่นหลังแทบจะไม่มีใครรู้จัก "รัตนมณีแห่งพุก่ำ" ที่เรียกกันว่า "แก้วอังวะ" อีกแล้วครับผม


ราม วัชรประดิษฐ์