หัวข้อ: เหตุใด? ประติมากรรมปูนปั้นรูปกินนร-กินนรี ที่สุโขทัยจึงมีเท้าเป็นกีบม้า เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 14 มีนาคม 2559 16:04:39 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/59143905010488__3585_1.gif) กรอบซุ้มปูนปั้น พบที่วัดพระพายหลวง จ.สุโขทัย เพราะเหตุใด ประติมากรรมปูนปั้นรูปกินนร-กินนรี ที่สุโขทัยจึงมีเท้าเป็นกีบม้า? คำถามข้างต้นมาจากผู้ชมหลายต่อหลายท่านที่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง จังหวัดสุโขทัย เมื่อได้สังเกตเห็นประติมากรรมปูนปั้นขนาดใหญ่ ซึ่งจัดแสดงโดดเด่น ณ ชั้นบนของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติฯ แห่งนี้ มีรูปกินนร-กินนรี ๒ คู่ ซึ่งขาและเท้าไม่ใช่ขาและเท้าแบบนก แต่มีขาและกีบเหมือนกีบม้า ข้อสังเกตจากผู้ชมข้างต้นนำมาสู่คำถามที่ทำให้ผู้เขียนต้องตอบอธิบายเฉพาะบุคคลบ้าง และอธิบายขยายความในการบรรยายทางวิชาการในที่ต่างๆ บ้าง แต่ก็ยังไม่ทราบในวงกว้างมากนัก จึงมีหลายท่านยังถามมาอีกเนืองๆ เมื่อได้เห็นโบราณวัตถุชิ้นนี้ จึงขอนำรายละเอียดมาตอบในนิตยสารศิลปากรฉบับนี้ ดังต่อไปนี้ ประติมากรรมปูนปั้นข้างต้นพบจากการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๘ ณ โบราณสถานวัดพระพายหลวง นอกเมืองโบราณสุโขทัยทางด้านทิศเหนือ โดยพบที่ซากพระเจดีย์อิฐฐานเหลี่ยมลดชั้นกันขึ้นไปคล้ายรูปพีระมิด จึงนิยมเรียกว่า เจดีย์ทรงพีระมิด ซึ่งสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ สันนิษฐานว่าเป็นส่วนกรอบซุ้ม (สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป) ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เนื่องจากขุดพบกรอบซุ้ม (หักพังตกอยู่) ทางด้านนี้ของพระเจดีย์ ประติมากรรมปูนปั้นที่พบนี้เป็นรูปซุ้มโค้ง ส่วนยอดสุดเป็นรูปเทพนมอยู่เหนือหน้ากาล ส่วนปลายล่างแต่ละข้างของซุ้มเป็นรูปกินนร-กินนรีพนมมือ ดังนั้นจึงมีกินนร-กินนรี ๒ คู่ ซึ่งมีลักษณะพิเศษจากกินนร-กินนรีที่ปรากฏในที่อื่นคือ ขาและเท้าเป็นกีบแบบเท้าม้าและกีบม้า ไม่ใช่แบบของนกดังที่พบเห็นกันทั่วไปและคนไทยเข้าใจกันทั่วไปว่า ส่วนลำตัวตอนล่างของกินนร-กินนรี ย่อมเป็นนก ต้องมีปีกขาและเท้าแบบนก แต่นี่มิได้เป็นเช่นนั้น (http://www.sookjaipic.com/images_upload/89336082711815__3585_2.gif) ภาพถ่ายใกล้ รูปกินนร-กินนรีที่ปลายด้านขวาของกรอบซุ้มปูนปั้น พบจากการขุดแต่งเจดีย์เหลี่ยม วัดพระพายหลวง อันที่จริง กินนร-กินนรีกำเนิดในตำนานปรัมปราของประเทศอินเดีย คำว่า “กินนร” (อ่าน กิน-นะ-ระ) มาจากภาษาสันสกฤต คือ “กิม-นร” (อ่านว่า กิม-นะ-ระ) แปลว่า “คนอะไร” (กิม=อะไร, นร=คน) เสมือนเป็นคำถามว่า “นี่จะเรียกว่าคนได้ไหม?” หรือ “นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของคนใช่ไหม?” หรือ “จะเรียกสิ่งมีชีวิตรูปแบบนี้ว่าคนอะไรดีหนอจึงจะเหมาะสม?” เป็นต้น กินนร เป็นคำเรียกสำหรับสิ่งมีชีวิตลักษณะนี้ที่เป็นเพศผู้ ส่วนกินนรีใช้กับเพศเมีย เรื่องราวของกินนร-กินนรี ปรากฏอยู่ไม่น้อยในคัมภีร์และวรรณกรรมในพระพุทธศาสนาและวรรณกรรมปรัมปราในศาสนาฮินดู เช่น มหาภารตะ รามายณะ และปุราณะ คัมภีร์และวรรณกรรมของศาสนาฮินดูเหล่านี้อธิบายว่า กินนร-กินนรีเป็นเทวดาระดับล่างหรือสิ่งมีชีวิตกึ่งเทวดา มีตัวเป็นม้า ศีรษะเป็นคน หรือบางครั้งก็มีตัวเป็นคน ศีรษะเป็นม้า ใช้ชีวิตเดินเหินเที่ยวเล่นเป็นบริวารของเทพกุเวรบนสวรรค์ด้านเหนือของเขาไกรลาส กินนร-กินนรีเป็นผู้ขับขานลำนำเพลงสรรเสริญบรรดาเทพเจ้าและเทวดา ในวรรณกรรมพระพุทธศาสนาแม้จะกล่าวว่า กินนร-กินนรีมีความโดดเด่นในการขับขานลำนำเพลงและดนตรีและเป็นแบบอย่างของคู่รักทรหดหรือคู่ผัวตัวเมียที่รักและอยู่เคียงคู่กันเสมอ เช่นเดียวกับในปรัมปราฮินดู แต่ยังอธิบายรูปลักษณ์ของกินนร-กินนรี แตกต่างออกไป กล่าวคือ กินนร-กินนรี มีรูปลักษณ์ที่ศีรษะเป็นคนแต่ลำตัวเป็นนก มีปีกเหมือนนกด้วย ดังนั้นในมโนภาพของพุทธศาสนิกชนจึงเห็นว่า กินนร-กินนรีเป็นรูปคนครึ่งนก กินนร-กินนรีปรากฏอยู่ในชาดก (ภาษาบาลี เรียก “ชาตกะ” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตชาติของพระพุทธเจ้า ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ในรูปสิ่งมีชีวิตประเภทต่างๆ เรียบเรียงขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑) มักพรรณนาว่ากินนร-กินนรีเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใสซื่อ จิตใจอ่อนโยน และใจดีที่สุด ในจันทกินนรชาดกบอกเล่าเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ (ซึ่งในชาติต่อๆ ไปเบื้องหน้าจะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า) เสวยพระชาติเป็นกินนร และมีนางกินนรีเป็นคู่ครอง (คือผู้ที่จะไปเกิดเป็นพระนางยโสธรา พระชายาเจ้าชายสิทธัตถะซึ่งต่อมาทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) กินนร-กินนรีคู่นี้ครองคู่อย่างมีความสุข กระทั่งวันหนึ่งพระราชาองค์หนึ่งประสงค์ในตัวนางกินนรี จึงสังหารกินนร (พระโพธิสัตว์) แต่ด้วยความรักอันมั่นคงของนางกินนรีและแรงอธิษฐานอันโหยไห้ของนาง ทำให้พระอินทร์ต้องลงมาชุบชีวิตให้กินนรฟื้นคืนและอยู่ครองคู่เคียงกันต่อไปจวบวาระสุดท้าย นางกินนรีจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของหญิงที่มั่นคงในรักและอุทิศตนเพื่อคนรักอย่างไม่เสื่อมคลาย จินตกวีอินเดียผู้โด่งดังคือ กาลิทาส ซึ่งนับถือศาสนาฮินดู มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ในกวีนิพนธ์เรื่อง “กุมารสัมภวะ” (กุมารสมภพ=กำเนิดกุมาร) กล่าวถึงกินนร-กินนรีว่า ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนหิมาลัย หรือ ณ ภูเขาหิมวัต วรรณกรรมเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยนำมาปรับแต่งสร้างวรรณกรรมสำคัญในพระพุทธศาสนาและกลายมาเป็นวรรณกรรมพื้นบ้านที่โด่งดังเรื่องพระสุธน-นางมโนห์รา รวมไปถึงนาฏกรรมพื้นถิ่นปักษ์ใต้คือการแสดง “โนรา” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ในทางศิลปกรรม ประติมากรรมและจิตรกรรมฝาผนัง ลวดลายบนตู้พระธรรม ภาพในสมุดไทยและภาพพิมพ์บนผืนผ้า ฯลฯ แสดงรูปกินนร-กินนรีอยู่มาก ในตำราภาพสมุดไทยที่เรียกว่าภาพ “สัตว์หิมพานต์” ปรากฏรูปกินนร-กินนรี รวมอยู่ด้วย ด้วยเหตุที่ว่าความคิดเรื่องภูเขาหิมวัตอันเป็นจุดเชื่อมต่อแดนมนุษย์และแดนสวรรค์ของศาสนาฮินดู ซึ่งพระพุทธศาสนารับมานั้น ทำให้พุทธศาสนิกชนไทยซึมซับความคิดเรื่อง “ป่าหิมพานต์” (ซึ่งมาจากหิมวัต-หิมวันตะ-หิมวันต์-หิมพานต์) ว่าอยู่เชิงเขาหิมาลัยหรือเชิงภูเขาหิมวัต อันเป็นที่ชุมนุมของสิงสาราสัตว์ที่มีลักษณะรูปร่างต่างๆ รวมทั้งพืชพันธุ์ไม้นานาชนิด ทั้งที่พบเห็นรู้จักได้เช่นทุกวันนี้หรือมีลักษณะและคุณสมบัติแปลกประหลาดออกไป ไม่เว้นแม้แต่กินนร-กินนรี ก็ปรากฏอยู่ในป่าและภูเขาอันมหัศจรรย์กึ่งจริง-กึ่งนิยายนี้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/70954591160019__3585_3.gif) ประติมากรรมหินรูปกินนร ศิลปะคุปตะ พุทธศตวรรษที่ ๑๐ จากตูเมน รัฐมัธยมประเทศ ประเทศอันเดีย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเดลลี กรุงนิวเดลลี (http://www.sookjaipic.com/images_upload/47573635602990__3585_4.gif) กินนร-กินนรี คู่รักเคียงคู่กันเสมอ ณ ภูเขาไวบูลย์บรรพต สมุดภาพไตรภูมิสมัยกรุงศรีอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๓-๒๔ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/77977823383278__3585_5.gif) ประติมากรรมหินเคลือบสี รูปฮาร์ปี ศิลปะอิหร่าน พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ พิพิธภัณฑสถานศิลปะแห่งมหานครนิวยอร์ก (The Metropolitan Museum of Art) สหรัฐอเมริกา ประติมากรรมปูนปั้นกรอบซุ้มจากเจดีย์พีระมิด วัดพระพายหลวงที่ปรากฏกินนร-กินนรีรูปลักษณ์แปลกออกไปจากที่ชาวไทยพบเห็นทั่วไป คือส่วนขาและเท้าไม่ใช่แบบของนก แต่เป็นท่อนขาและกีบแบบม้า จึงน่าจะมาจากความรับรู้ตามปรัมปราของคติฮินดูที่ว่า กินนร-กินนรี มีศีรษะเป็นคนแต่ส่วนตัวเป็นม้า จึงต้องมีขาและกีบเท้าแบบม้า อย่างไรก็ดีแนวคิดเรื่องรูปลักษณ์ของกินนร-กินนรียังยึดถือตามคติในวรรณกรรมพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ จึงคงลักษณะศีรษะเป็นคน ลำตัวเป็นนก มีปีกอย่างนก แต่เปลี่ยนจากขาและเท้านกเป็นขาและเท้ากีบม้าเพื่อให้มีลักษณะดั้งเดิมตามคติฮินดูเอาไว้ด้วย ปรากฏการณ์เช่นนี้อาจกล่าวได้ว่า ช่างศิลป์สุโขทัยผู้สร้างงานประติมากรรมปูนปั้นชิ้นนี้ประสงค์ให้มีลักษณะผสมผสานตามคตินิยมปรัมปราของทั้งสองศาสนานี้ไว้ด้วยกัน จึงทำให้ปรากฏรูปกินนร-กินนรีลักษณะพิเศษเป็นที่ประจักษ์ดังกล่าว ถึงกระนั้นการคงคตินิยมตามฝ่ายพระพุทธศาสนาที่มีมากกว่า ย่อมสะท้อนถึงแนวคิดที่ว่า ชาวสุโขทัยยอมรับความมีอยู่ของปรัมปราในคตินิยมฮินดูในแง่ส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น และต้องการเก็บรักษาไว้ในงานพุทธศิลป์ จึงสอดแทรกลงไว้ในงานประติมากรรมปูนปั้นชิ้นนี้ ยังมีเรื่องน่าสนใจที่พึงเล่าเพิ่มเติมในที่นี้ ซึ่งน่าจะให้ความรู้เชื่อมโยงกับกินนร-กินนรีของโลกตะวันออกดังที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวคือ กินนร (เพศผู้) ตามปรัมปราฮินดูเทียบเคียงรูปลักษณ์ได้กับ “เซนทอร์” (Centaur) ในปกรณัมปรัมปราของกรีก ซึ่งเซนทอร์มีศีรษะเป็นคน ตัวเป็นม้า มีขากและกีบเท้าแบบม้า เซนทอร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายและเหี้ยมเกรียม ป่าเถื่อน ขี้เมาและชอบฉุดคร่าผู้หญิงไปทำอนาจาร ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวต่างออกไปจากกินนรของปรัมปราฮินดู ส่วนกินนรี (เพศเมีย) ตามปรัมปราฝ่ายพระพุทธศาสนาคล้ายกับ “ฮาร์ปี” (Harpy) ในปกรณัมปรัมปราของกรีกเช่นเดียวกัน ฮาร์ปีมีศีรษะเป็นคน (เพศเมีย) ใบหน้าจึงเป็นใบหน้าของหญิงสาว ท่อนล่างเป็นนก เน้นรูปลักษณ์ที่มีเต้านมแบบผู้หญิง และปีก-ตีนแบบนก ตามวรรณกรรมปรัมปราของโอเมอร์ (Homer) ชื่อ อีเลียด (the Iliad) ประมาณ ๒๐๐ ปีก่อนพุทธกาล กล่าวว่า ฮาร์ปี แม้ดุร้าย กลิ่นตัวเหม็น น่าขยะแขยง แต่มีภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากเทพเจ้าทั้งหลาย กล่าวคือ ให้ใช้กรงเล็บคมกริบปราบพวกอาชญากร และยังมีภารกิจในการค้นหาสิ่งสูญหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กๆ ฮาร์ปีเป็นแม่ของม้าศักดิสิทธิ์ ๒ ตัว ซึ่งต่อมาได้เป็นม้าประจำของ อคิลสีส (Achilles) วีรบุรุษสำคัญในสงครามกรุงทรอย (the Trojan War) และอคิลสีสได้รับการเลี้ยงดูจากไครอน (Chiron) ซึ่งเป็นเซนเทอร์ที่อุปนิสัยดีอีกด้วย เรื่องราวของฮาร์ปีที่มีรูปลักษณ์แบบกินนรี และนางยังมีลูกเป็นม้า ดูจะสอดคล้องกันอย่างไม่น่าเชื่อกับการสร้างรูปกินนร-กินนรีที่มีกีบเท้าเป็นม้าในประติมากรรมปูนปั้นชิ้นนี้ของสุโขทัย [ผู้เขียนขอขอบคุณผู้อนุเคราะห์ข้อมูลภาพ: คุณชัยวัฒน์ ทองศักดิ์ คุณศิรวีย์ เอี่ยมสุดใจ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง สุโขทัย และคุณธราพงศ์ ศรีสุชาติ] เรื่อง-ภาพ : นิตยสารศิลปากร สำนักบริหารกลาง กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ - จัดพิมพ์/เผยแพร่ |