[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก => ข้อความที่เริ่มโดย: ใบบุญ ที่ 30 มีนาคม 2559 20:16:35



หัวข้อ: หลวงพ่อทองหยอด ภูริปาโล วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 30 มีนาคม 2559 20:16:35

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/99075644960006_view_resizing_images_1_.jpg)
หลวงพ่อทองยอด ภูริปาโล อดีตสมภารวัดไทยพุทธคยา

วัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย เป็นวัดไทยแห่งแรกในแดนพุทธภูมิที่สร้างตามคำเชิญของรัฐบาลอินเดีย เมื่อกึ่งพุทธกาล

"พระเทพโพธิวิเทศ" (ทองยอด ภูริปาโล) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย และหัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย ถือเป็นพระธรรมทูตรุ่นบุกเบิกในประเทศอินเดีย ซึ่งการเผยแผ่พระศาสนาในอินเดียแดนพุทธภูมิยุคนั้น ต้องต่อสู้กับลัทธิความเชื่อมากมายและการกลั่นแกล้งสารพัดของคนต่างศาสนาที่บุกรุกแม้กระทั่งสังเวชนียสถาน แต่หลวงพ่อทองยอดยังยืนหยัดตามรอยธรรมแห่งพระพุทธองค์อย่างมั่นคง

ถือกำเนิดเกิดในสกุล บุณยเนตร เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2471 ที่บ้านหมู่ที่ 5 ต.พิตเพียน อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา ครอบครัวประกอบอาชีพชาวนา

อายุ 14 ปี บรรพชาเมื่อวันที่ 12 ก.ค.2486 ที่วัดกุฎีทอง อ.มหาราช มีพระครูประจักษ์สุตคุณ วัดอุโลม เป็นพระอุปัชฌาย์ มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรมจนได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ

ด้วยความที่เป็นคนหัวดี ความจำเป็นเลิศ พระอาจารย์เจ้าอาวาสวัด แนะนำให้ไปศึกษาเพิ่มเติมที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ ครั้นมาอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ ต้องเรียนอย่างหนัก แต่ด้วยความตั้งใจ จนสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 1 ก.ค.2491 ที่พัทธสีมาวัดมหาธาตุฯ โดยมีพระธรรมปัญญาบดี (สวัสดิ์ กิตติ สาโร) วัดมหาธาตุฯ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระนิกรมมุนี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปิฎกโกศล เป็นพระอนุสาวนาจารย์  ภายหลังอุปสมบท ท่านยังมุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ในที่สุด พ.ศ.2502 สามารถสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค สำนักเรียนวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ

ในวันหนึ่ง มีคณะชาวต่างชาติมาจากประเทศอินเดียมาเยี่ยมวัดมหาธาตุฯ มีพระรุ่นพี่คอยต้อนรับ สนทนาภาษาอังกฤษอย่างฉาดฉาน ทำให้พระมหาทองยอดมีดำริอยากจะเรียนภาษาอังกฤษบ้าง หากอยู่ในเมืองไทยคงได้ผลน้อย จึงมีความปรารถนาแรงกล้าขอเดินทางไปศึกษา

พ.ศ.2526 สำเร็จการศึกษาปริญญาเอก สาขาปรัชญา มหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย และท่องไปทั่วทุกแดนที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จโปรดสรรพสัตว์

ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2531 เป็นเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย พ.ศ.25432 เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร และเป็นหัวหน้าพระธรรมทูตไทยสายประเทศอินเดีย  พ.ศ.2533 เป็นพระอุปัชฌาย์วิสามัญ

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2533 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระศรีสุธรรมมุนี พ.ศ.2539 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชโพธิวิเทศ

พ.ศ.2548 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพโพธิวิเทศ

นับแต่ท่านเป็นเสาหลักแดนพุทธภูมิ ปักธงธรรมนำวิถีสังคมรอบสังเวชนียสถานให้วัดไทยกุสินาราเปิดคลินิก 5 บาทรักษาทุกโรค เพื่อช่วยเหลือคนอินเดียวรรณะต่ำที่ไร้ซึ่งหนทางหาหมอเยียวยาด้วยการเหยียดวรรณะ ด้วยเคล็ดรักษาทั้งพุทธวิธีและยาปัจจุบัน สอดแทรกข้อธรรมจนเกิดการยอมรับ

วัดไทยพุทธคยาเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมนานาชาติ โดยทุกวันที่ 26 มกราคม จะมีชาวพุทธทั่วโลกเดินทางมากราบสังเวชนียสถาน ตัวท่านจะเป็นอาจารย์บอกกัมมัฏฐาน อีกทั้งกำหนดจัดตั้งโรงเรียนชุมชนชาวพุทธใหม่ เปิดสอนระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6 เมืองนาลันทา เพื่อให้เด็กอินเดียศึกษาเล่าเรียน

วัดไทยลุมพินีนั้น บวชชาวศักยเนปาลปีละ 2 รุ่น ส่งเสริมให้ทุนทุกปี ช่วยเหลือพระนักศึกษาไทยที่ขาดแคลน

งานด้านสาธารณูปการ กล่าวกันว่าท่านเป็นช่างเอก สร้างวัดนาลันทา วัดจีน วัดกุสินารา และเป็นประธานดูแลการก่อสร้างวัดไทยลุมพินี ซึ่งทุนที่ได้มาทั้งจากผู้มีจิตศรัทธาเดินทางไปกราบสังเวชนียสถานและรัฐบาลไทย

งานด้านสาธารณสงเคราะห์ จัดแจกยาให้คนไข้อินเดียทุกวัน วันละประมาณ 100 คน แจกเสื้อผ้าแก่คนยากจน ข้าวสาร ถั่วดาล โดยอาศัยแรงบุญจากผู้จาริกแสวงบุญเป็นกฎเกณฑ์

พระเทพโพธิวิเทศ มรณภาพด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เมื่อช่วงเช้าวันที่ 28 พ.ค.2554 หลังจากได้เข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่ตึกวชิรญาณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ สิริอายุ 83 พรรษา 63

สร้างความเศร้าสลดใจของบรรดาคณะศิษย์เป็นอย่างยิ่ง

อริยะโลกที่ 6