|
หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ใกล้จะถึงแล้ว-ยุคจิตวิญญาณโลกานุวัตร เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 05 เมษายน 2553 08:42:02 (http://serendip.brynmawr.edu/exchange/files/images/Stanford_Torus.400%20pixel%20width%20of%20page.jpg)
บทความวันนี้มีความสำคัญมากสำหรับจักรวาล โลก-ดาวเคราะห์ดวงที่สามของระบบสุริยจักรวาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเรา เพราะว่ามีถึงสี่เรื่องที่ดูเผินๆ อาจจะไม่เกี่ยวกัน แต่ผู้เขียนเข้าใจว่าเกี่ยวกันและจัดมารวมกันเพื่อนำเสนอท่านผู้อ่านได้ช่วยพิจารณาว่า ถูกต้อง ชอบธรรม และควรปฏิบัติหรือไม่? ประการใด? เรื่องที่หนึ่ง ชาวโลกทั่วทั้งโลกประมาณถึงหนึ่งในสามต่างล้วนแต่รู้แล้วว่า กระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม (Alexander King's Social Revolution ที่เยอรมนี Paul H.Ray's Cultural Creative ที่อเมริกา หมอประเวศ วะสี คลื่นลูกที่สามแห่งรัตนโกสินทร์แห่งประเทศไทย ประสาน ต่างใจ สู่มิติที่ห้า และบุพนิมิตรกระบวนทัศน์ใหม่ ประเทศไทยเหมือนกัน และเร็วๆ นี้ Jose Arguiles-Stephanie South's Cosmic History ที่อเมริกาเหมือนกัน) นั่นคือวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณและการย่างเท้าก้าวถึงยุคแห่งจิตวิญญาณที่ขบวนการนิวเอจ (newage) ในปี 2013 เรื่องที่สอง นักการเมืองและนักเศรษฐกิจ-นักธุรกิจ เพราะความเชื่อมั่นในวัตถุรูปธรรมและวิทยาศาสตร์กายภาพ จึงเป็นแมทีเรียลิสต์ (materialists) อย่างไม่รู้ตัว หรือไม่มีความรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์ใหม่ หรือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์เองแต่ติดตามวิทยาศาสตร์ใหม่ไม่พอ หรือไม่ได้พิจารณาอย่างลึกซึ้งว่า วิทยาศาสตร์ใหม่หรือฟิสิกส์แห่งยุคใหม่นั้นมีความสอดคล้องอย่างที่สุด-โดยหลักการ-กับศาสนาที่อุบัติขึ้นที่อินเดียและจีน เช่น ศาสนาพุทธหรือศาสนาเต๋า ซึ่งวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality) นั้นคือคนส่วนใหญ่ของโลก รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์สังคม นักธุรกิจ นักการเมือง ฯลฯ ส่วนใหญ่ทั่วทั้งโลกเมื่อถึงยุคดังกล่าว โดยเฉพาะในประเทศไทยจะมีศีลธรรม คุณธรรมและจริยธรรมกันแทบทั้งนั้น เรื่องที่สาม กระบวนทัศน์หรือพาราไดม์ใหม่ที่นักคิดใหญ่ๆ พวกนิวเอเจอร์รวมทั้งผู้เขียน ล้วนแล้วแต่ถือว่ากระบวนทัศน์ใหม่ หรือการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางสังคมใหม่ในครั้งนี้ คือวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณหรือระดับที่สูงกว่า เช่นเดียวกับวิวัฒนาการทางกายจากสุนัข สู่ลิง และมนุษย์ ส่วนเรื่องสุดท้ายหรือเรื่องที่สี่นั้นเป็นการเปลี่ยนแปลง (transformation) รูปแบบของระบบที่เป็นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของระบบทุกระบบที่มีในจักรวาลแห่งนี้ โดยกฎของทฤษฎีไร้ระเบียบ (chaos theory) เราคงต้องการตัวดึงดูดหรือตัวเร่ง (attracter) ที่มีความสำคัญต่อการ "โผล่ปรากฏ" ของรูปแบบของระบบใหม่ ตัวดึงดูดหรือตัวเร่งแอตแทรกเตอร์นี้-มีความสำคัญอย่างยิ่งในทฤษฎีไร้ระเบียบและเป็นกลไกธรรมชาติ ที่วิทยาศาสตร์ค้นพบตัวดึงดูดที่จะทำหน้าที่เร่งให้การเปลี่ยนแปลงถึงชายขอบของจุดแห่งทางสองแพร่ง (margin of chaos) นั่นคือทางสองแพร่ง (bifurcation) ที่นำสู่ความล่มสลายจบสิ้นของรูปแบบของกระบวนทัศน์เก่า และการ "โผล่ปรากฏ" (emergent) ของกระบวนทัศน์ใหม่ รูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมกระบวนทัศน์เก่าเดิมๆ โดยสิ้นเชิง ดังนั้น การหาตัวดึงดูดที่ให้การเปลี่ยนแปลงที่แน่นอนและเหมาะสม นั่นคือตัวแอตแทรกเตอร์จะต้องเป็นธรรมชาติ-หนึ่ง ถ้าหากเป็นคนที่เป็นตัวเร่งก็ต้องเป็นผู้มีอำนาจกับบารมีที่สูงที่สุด ย้ำว่าต้องสูงที่สุด การโผล่ปรากฏหรือในที่นี้เป็นกระบวนทัศน์ใหม่ทางจิต หรือวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณนั้น เพราะฉะนั้น การตั้งเป็นหัวเรื่องของบทความวันนี้ หมายความว่าโลกมนุษย์กำลังย่างเท้าเข้าสู่ยุคสมัยแห่งจิตวิญญาณ อันเป็นธรรมเนียมการปฏิบัติทั่วทั้งโลกเลย (spirituality globalization period) ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่า ถึงเวลาที่มนุษยชาติจะได้ผ่านพ้นวัยเด็กหรือวัยรุ่นมาเป็นผู้ใหญ่เสียที เรามนุษย์โลกทั้งผอง รวมทั้งเราในประเทศไทยที่กำลังแตกแยกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งนับวันก็ยิ่งซับซ้อนเป็นทวีคูณ เพราะว่าทุกคนเลยมีความทุกข์มากยิ่งกว่า-ที่ผู้เขียนคิดเองเองว่า-ความทุกข์ที่มนุษย์ในยุคสมัย 2,500 ปีก่อน หรือยุคสมัยที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบและสอนเรื่องของ "ทุกขา" แม้ว่าจะมีหลักการเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ก็เพราะว่าสังคมใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น และประชากรโลกมีจำนวนมากขึ้นมากยิ่งนัก ความแตกแยกขัดแย้งของคนไทยรวมทั้งมนุษย์โลกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยิวกับปาเลสไตน์ เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ประเทศอาหรับส่วนหนึ่งกับอเมริกา ระหว่างฟันดาเมนทัลลิสทางศาสนาที่แตกแยกกันกระทั่งฆ่ากัน ฯลฯ ทั้งหมดทำให้โลกนี้มีความทุกข์มากขึ้นและมากขึ้นโดยที่มองทางออกไม่เห็น-ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเพราะวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีวัตถุนิยมกายภาพ (materialism) ซึ่งทำให้คนทั้งโลกเห็นแก่ "ตัวกูของกู" และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี ที่ทำให้คนทั่วทั้งโลกเห็นแก่เงินมากยิ่งกว่าอื่นใดทั้งสิ้น ความแตกแยกระหว่างคนไทยด้วยได้กระเทือนไปถึงคนรากหญ้ากับ "ทุกขา" ของตน ซึ่งเมื่อไล่ไปแล้วก็คือเงิน จนกระทั่งทำให้ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่า จิตจักรวาลหรือฟ้าคงจะลงโทษมนุษยชาติอย่างสาสม นั่นเป็นการมองในทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่เดินเป็นเส้นตรง (non-linear sciences) หรือทฤษฎีไร้ระเบียบ (chaos theory) ทฤษฎีที่ไม่เคยผิดเลย ซึ่งผู้เขียนคิดว่าตรงกับพุทธศาสนาคำว่า "ตถตา" (suchness) "มันเป็นไปเช่นนั้นของมันเอง" ผู้เขียนขอรับรองว่า ท้ายที่สุดแล้วธรรมชาติระดับบน หรือ "ธรรมชาติที่สุดของธรรมชาติ" ของท่านพุทธทาส จะมีรูปแบบของสังคมรูปแบบใหม่ "โผล่ปรากฏ" ออกมา (หลังจากผ่านพ้นทางสองแพร่งแล้ว) ซึ่งประเด็นนี้ผู้เขียนเชื่อว่า ระบบสังคมใหม่ซึ่งเป็นระบบแห่งจิตวิญญาณที่จะต้องเกิดขึ้น (noosphere) ซึ่งนักคิดนักปรัชญาหลายคน รวมทั้งปิแอร์ เตยา เดอ ชาดัง และศรีอรพินโธ จะเกิดขึ้นและต้องเกิดขึ้นในปี 2013 สามปีจากวันนี้เป็นต้นไป เว้นแต่ช่วงนั้นประชาโลกจะเหลือราวๆ 18% ตามที่เจมส์ ลัฟล็อก นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเครือจักรภพอังกฤษได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์การ์เดียนส์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2009 ซึ่งไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อเราก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เพราะว่าวัฏจักรของธรรมชาติมัน "เป็นไปเช่นนั้นของมันเอง" อย่าลืมว่าอย่างดีความเคยชิน หรือสามัญสำนึกที่ทำให้เราเชื่อมั่นในสิ่งอะไรหรือเรื่องใดๆ นั้น เพิ่งอยู่กับเราจริงๆ เพียง-อย่างมากก็เมื่อเราตั้งหลักฐานบ้านช่องแล้ว-หรือคือเมื่อ 15,000 ปีมานี้เอง แต่ธรรมชาติไม่ว่าระดับไหน มันอยู่กับโลกเรามา-พร้อมๆ กับธรรมชาติด้านลบเพื่อรักษาดุลยภาพของโลก-ไม่ว่าจะดาวหางหรืออุกกาบาต แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด การย้ายที่ของขั้วโลก ฯลฯ มันก็มีเช่นนั้นมาตั้งแต่เริ่มมีประวัติศาสตร์และดึกดำบรรพวิทยาของโลก 4,600 ล้านปีก่อนทั้งนั้น ผู้เขียนเชื่อมั่นเช่นนักคิดนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ โดยเฉพาะนักฟิสิกส์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ หรือนักจักรวาลวิทยา และที่สำคัญที่สุด ผู้เขียนเชื่อมั่นอย่างที่สุดในพระพุทธองค์ ไม่ใช่ในฐานะผู้ประกาศศาสนาพุทธเท่านั้น แต่ในฐานะเป็นบุคคลที่จีเนียสที่สุด สัพพัญญูที่สุด เป็นบุคคลเดียวที่มีจิตใจรักเมตตาชีวิตทั้งหลายทั้งปวงและสรรพสิ่งอย่างที่สุด ที่-เมื่อภายหลังที่ตัวพระองค์เองทรงสามารถปฏิบัติด้วยตัวเอง จนมีวิวัฒาการทางจิตสูงล้ำที่สุดแล้ว และล่วงรู้ความจริงที่แท้จริงของธรรมชาติทั้งสองระดับหรือธรรมะทั้งหมดแล้ว-ยังเป็นห่วงกังวลมนุษยชาติและสัตว์โลกทั้งหลาย จึงได้ทรงคิดค้นประเด็นต่างๆ ของ "ทุกขา" ทั้งหมด และสอนวิธีปฏิบัติเพื่อที่จะให้มนุษย์สามารถมีวิวัฒนาการทางจิตนั้นๆ สัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์ได้มีวิวัฒนาการทางกายภาพเสร็จสิ้นแล้ว ดังที่ผู้เขียนได้เขียนลงที่นี่ไปหลายหนแล้ว แต่วิวัฒนาการทางจิตที่ช้ากว่ายังไม่เสร็จสิ้น เราส่วนใหญ่ยังเป็นเช่นโพลตินัสบอกว่า มนุษยชาติยืนอยู่ระหว่างสัตว์ร้ายกับเทวดา เพราะฉะนั้น วิวัฒนาการทางจิตจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อมนุษยชาติ เราทุกคนจะต้องมีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ ซึ่งเป็นหลักการของจักรวาลและเป็นหลักการของพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ อย่าลืมว่าศาสนาจำเป็นต้องศึกษาธรรมชาติอย่างรอบด้าน ในขณะที่วิทยาศาสตร์ก็จำเป็นต้องศึกษาธรรมชาติ อย่างน้อยก็ในระดับล่าง ศาสนาจึงไม่ได้ห่างจากวิทยาศาสตร์ แท้ที่จริงแล้วศาสนากับวิทยาศาสตร์คือสิ่งที่ศึกษาค้นคว้าความจริงแท้ทั้งสองอย่าง. http://www.thaipost.net/sunday/280310/19981 (http://www.thaipost.net/sunday/280310/19981) |