[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ไปรษณีย์ => ข้อความที่เริ่มโดย: ใบบุญ ที่ 20 เมษายน 2559 19:38:28



หัวข้อ: ความเชื่อสยองของโลกโบราณ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 20 เมษายน 2559 19:38:28

ความเชื่อสยองของโลกโบราณ

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/57651608147554_1.jpg)
มัมมี่ถูกนำมาปรุงเป็นยาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12-17

การกินถือเป็นจารีตของแต่ละชาติที่มีความเชื่อต่างกันออกไป เช่นชาวญี่ปุ่นอาจกินปลาดิบที่แล่มาจากปลาที่เพิ่งว่ายน้ำอยู่เมื่อสักครู่ หรือชาวเกาหลีรับประทานปลาหมึกหนวดกระดุบกระดิบ ซึ่งที่จริงแล้วการกินยังผสานอยู่ในกิจกรรมแห่งชีวิตอื่นๆ ได้อีกอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างงานปลงศพที่เป็นพิธีแห่งวาระสุดท้าย เฮโรโดตัสกล่าวถึงงานศพที่มีการกินร่างผู้ตายในหมู่ชาว “กาลลาเตีย” ที่เชื่อว่าเป็นชนเผ่าในอินเดีย ส่วนชาวปาปัวนิวกินีมีประเพณีกินร่างของผู้เสียชีวิตที่เป็นสมาชิกในครอบครัวหรือชนเผ่าเดียวกัน ในชนพื้นเมือง “ยาโนมามโย” แถบป่าดิบชื้นอะเมซอนนำซากศพเพื่อนร่วมเผ่าที่ฌาปนกิจแล้วมารับประทานในรูปของกระดูกที่ป่นปนกับขี้เถ้าอังคารซึ่งถือเป็นการแสดงความเศร้าโศกต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

นอกจากการเปิบพิสดารในรูปแบบวัฒนธรรมและรสนิยมส่วนบุคคลแล้วยังมีเหตุผลของการเปิบสยองเพื่อ “ป้องกันโรค” ด้วย ซึ่งในยุคหนึ่งนั้นแพทย์ผู้รักษาเป็นคนแนะนำหรือปรุงขึ้นมาให้คนไข้เองด้วยซ้ำ ในอดีตมีตัวอย่างโอสถที่ทำจากมนุษย์ ซึ่งผู้ใช้คงต้องมีประสาทที่แข็งพอก่อนใช้ ดังต่อไปนี้ครับ

มัมมี่บำบัด มัมมี่หรือศพอาบยาถือเป็นโอสถยอดนิยมระดับดาวค้างฟ้าอยู่นานนับร้อยปีตั้งแต่ศตวรรษที่ 12-17 ด้วยถือเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องยาที่ช่วยรักษาโรคได้สารพัดตั้งแต่ปวดหัวไปจนถึงแผลในกระเพาะ โอสถสสารจากมัมมี่นี้ก็มีกรรมวิธีไม่ยากเย็นแต่อย่างใด (ถ้าไม่นับว่าต้องไปขุดที่อียิปต์แล้วแงะฝาโลงให้เปิดออกก่อนอุ้มพามัมมี่หนี!) ด้วยการเอาร่างศพอาบยาพร้อมผ้าพันนั้นมา “ป่น” ให้ละเอียด ซึ่งผงมัมมี่ที่ได้ก็จะถูกนำมาใช้เป็นยาทั้งชนิด “ใช้ภายนอก” และ “ใช้ภายใน” หรือพูดง่ายๆ ว่ามีทั้งแบบกินและแบบทาครับ เชื่อกันว่าเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการบำบัด ถ้าไม่นับว่าอาจเป็น “ความเข้าใจผิด”! ด้วยมีผู้สงสัยว่าคนโบราณยุคกลางที่ฮิตมัมมี่บำบัดไม่ต่างกับคนยุคใหม่ฮิตใบทุเรียนเทศหรือน้ำมะนาวโซดานั้น อาจตีความคำว่า “มัมมี่” (Mummy) ในตำรายาเก่าแก่ผิดไป ด้วยในสมัยก่อนนั้นมีการระบุว่า “น้ำมันดิน” หรือบิทูเมนที่ได้จากเดดซีแถวอิสราเอลนี้เป็นของที่ใช้รักษาโรคอย่างเรื้อน, เกาต์, บิด, ตาต้อ และรูมาตอยด์ได้ ซึ่งคำว่าน้ำมันดินนี้ในภาษาเปอร์เซียนเรียกว่า “มูเมีย” (Mumia) ซึ่งก็เป็นที่มาของคำว่า “มัมมี่” หรือศพอาบยาแบบไอยคุปต์นี่เอง เลยเป็นเหตุให้ฝรั่งในยุคกลางพากันหา “มัมมี่” ตัวเป็นๆ เอ้อ...ตายแล้วอันเป็นซากแห้งมาเป็นเครื่องยารักษาโรคกันยกใหญ่



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/56775643221206_2.jpg)
น้ำผึ้งถูกนำมาดองศพมนุษย์เพื่อใช้ทำยา

มนุษย์อาบน้ำผึ้ง เคยเห็นแต่กล้วยตากอบน้ำผึ้ง แต่คนเป็นๆ อาบน้ำผึ้งนี้ยังไม่เคยเลย ฝรั่งเขาเรียกว่า “มนุษย์เชื่อม (น้ำผึ้ง)” หรือ Mellified man เป็นบุรุษผู้หนึ่งที่อุทิศตัวเพื่อเป็นยา ด้วยเชื่อว่าร่างคนเราที่รักษาไว้ดีเมื่อตายแล้วจะใช้เป็นตัวยาบำบัดโรคได้ เริ่มจากคนที่จะอุทิศตัวนั้นต้องกินอาหารให้น้อยลงทุกทีจนที่สุดแล้วก็เหลือเพียง “น้ำผึ้ง” เท่านั้นเป็นของยังชีพอย่างเดียว ในที่สุดเมื่อคน (ผู้น่าสงสาร) รายนั้นตายลงก็จะทำการปลงศพใส่ในหีบใหญ่ที่หล่อไว้ด้วยน้ำผึ้งซึ่งเหมือนกับศพอาบยาที่ใช้น้ำผึ้งดองเอาไว้แทน ซึ่งก็จะช่วยให้ร่างนั้นคงกระพันเป็นมัมมี่ในน้ำผึ้ง จากนั้นก็ปิดฝาโลงตีตราผนึกเอาไว้ เรียกว่าซีลป้องกันเอาไว้เลยเพื่อไม่ให้เปิดถ้าไม่ถึงเวลา ส่วนเวลาที่ “เหมาะสม” นั้นคือเมื่อไรทราบไหมครับ? คือต้อง 100 ปีไปแล้วหรือกล่าวง่ายๆ ว่าคนที่ยอมตายเพื่อเป็นยานั้นตั้งใจทำเพื่ออุทิศตัวอย่างแท้จริงเพราะตัวเองจนกระทั่งลูกหลานก็อาจไม่ทันใช้ ซึ่งในเรื่องนี้ที่รู้ละเอียดก็เพราะมีการบันทึกไว้ในตำราเก่าแก่เรื่องเครื่องยาสมุนไพรจีน (Chinese Materia Medica) ที่ปรมาจารย์นักธรรมชาติวิทยาแดนมังกร หลี่ ชิ-เฉิน ท่านได้จดไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ตั้งแต่เมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว โดยท่านว่าชิ้นส่วนของมนุษย์น้ำผึ้งนี้ใช้บำบัดปัญหาแข้งขาหักและบาดแผลได้เป็นอย่างดี (ก็น้ำผึ้งมีฤทธิ์ช่วยรักษาแผลได้นี่ครับ) โดยเรื่องนี้น่าจะมีที่มาจากตะวันออกกลางแถบอาระเบียโน้น

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/47145715645617_3.jpg)
กลาดิเอเตอร์ที่ตายในสนามประลองจะถูกควักตับไปเป็นยา

ตับและเลือดกลาดิเอเตอร์ โอสถที่ยิ่งกว่าเปิบพิสดารนี้มีในสมัยโรมัน โดยความเชื่อที่ว่าอวัยวะของมนุษย์สดๆ นั้นเปี่ยมพลัง ซึ่งอวัยวะที่ถือเป็นขุมพลังหลัก ๆคือสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในช่องท้องเราเป็นก้อนที่บรรจุเลือดเอาไว้จนแน่นเรียกว่า “ตับ” ซึ่งตับของใครที่จะแข็งแรงได้เท่านักสู้ที่เรียกว่า “กลาดิเอเตอร์” (Gladiator) ในสังเวียนล่ะครับ เพราะคนเมื่อ 2,000 ปีก่อนไม่มีวิธีตรวจหรอกครับว่าตับใครแข็ง อุ๊ย...ตับใครแกร่งหรือฝ่อกว่ากัน ก็ต้องเอาตับของผู้กล้า คนที่แกร่งแข็งแรงอย่างกลาดิเอเตอร์ ซึ่งเมื่อปราชัยต้องสังเวยชีวิตไปแล้วจะถูกนำร่างมาขายเป็นส่วนๆ ถ้าฟังแล้วนึกถึงเขียงหมูเกินไปก็ขอให้ทราบว่าผู้ชมบางคนยิ่งกว่านั้นโดยดื่มเลือดสดจากแขนขาที่มีบาดแผลของ “ศพ” กลาดิเอเตอร์โดยตรงเลยทีเดียวหลังแข่งเสร็จ ด้วยมีความเชื่อว่าเลือดสดๆ จากผู้กล้านั้นก็เป็นยาคุณภาพสูงที่จะช่วยบำรุงและบำบัดโดยเฉพาะโรค “ลมชัก”

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/56096904228130_4.jpg)
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ

โอสถทิพย์จากพระราชา ใครจะไปคาดว่านอกจากอาหารเสริมในโลกโซเชียลยุคใหม่ที่ขายกันเกร่อแล้วเมื่อ 300 ปีก่อนจะมีพระราชาองค์หนึ่งลุกขึ้นมา “ขายอาหารเสริม” ด้วย โดยสิ่งนี้ไม่ใช่ขนมครกเสวยหรือก๋วยเตี๋ยวเข้าวัง หากแต่เป็น “กะโหลก” ครับ ด้วยในรัชสมัยแห่งพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ในอังกฤษนั้นพระองค์สนใจในศาสตร์เคมีมาก ซึ่งความรู้เคมีสมัยก่อนไม่ได้เหมือนในยุคนี้หากแต่เกี่ยวกับการ “เล่นแร่แปรธาตุ” โดยสูตรของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 นี้พระองค์ใช้ “กะโหลกมนุษย์” เอามาเป็นส่วนประกอบของราชโอสถ พระองค์ไปทรง “ซื้อ” สูตรบำรุงนี้มาจากนายแพทย์ชื่อดังในสมัยนั้นคือ จอเนทาน ก็อดดาร์ด ผู้เป็นอาจารย์ศัลยแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเกรแชมในลอนดอน ซึ่งก็ได้เงินจากพระราชาไปถึง 6,000 ปอนด์ เรียกว่ามากโขในสมัยนั้น โดยคราแรกนั้นได้ชื่อยาว่า “ก็อดดาร์ดส ดร็อป” แต่ต่อมา เมื่อมาเป็นของหลวงแล้วพระเจ้าชาร์ลส์ได้ทรงเปลี่ยน ให้ดูหรูขึ้นเป็น “คิงส ดร็อป” ที่ฟังดูเท้เท่...แต่ขออย่าลืมว่าข้างในก็มีกะโหลกคนป่นอยู่เต็มๆ โดยสูตรยาบำรุงพิลึกกึกกือนี้ได้ชื่อว่าเป็นยาครอบจักรวาล ซึ่งว่าไปก็คงได้รับความนิยมในหมู่ผู้คนยุคนั้นมาก เพราะเมื่อดูจากประวัติศาสตร์ต่อมาแล้วถึงมีผู้ใช้สูตรยาเข้ากะโหลกบดนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะท่านเซอร์เคเนม ดิ๊กบี้ ผู้ใช้ยานี้รักษาโรคลมบ้าหมู (โอ้! มายลอร์ด) แล้วต่อมาก็มี ทอมัส วิลลิส ที่เอาใจผู้บริโภคหน่อยด้วยการผสม “ช็อกโกแลต” ลงไปในหัวกะโหลกบดเพื่อให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/12726093828678_5.jpg)
สมองคนเคยถูกใช้เป็นตัวยารักษาโรคลมบ้าหมู

สมองคน สำหรับสูตรยาน่ายี้ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นสูตรที่ “คุณหมอ” คิดค้นขึ้นมาเองนะครับ แต่โชคดีที่ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 17 นมนานกาเลมาแล้ว โดยเริ่มจากคุณหมอจอห์น เฟรนช์ ชาวอังกฤษ กับนักเคมี ชาวเยอรมันคือ โยฮานน์ ชโรเดอร์ ทั้งคู่ได้จดบันทึกสูตรการใช้ “เกร แม็ทเท่อร์” ของสมองซึ่งแปลบ้านๆ แบบผมก็คือเนื้อสมองส่วนนอกที่หยิกๆ หยักๆ นั่นละครับ เอามาใช้เป็นตัวยารักษาโรคลมบ้าหมู ท่านเจ้าของสูตรระบุไว้ชัดถึงรายละเอียดการ “ปรุงสมอง” ครับว่า เมื่อได้สมองของชายหนุ่มที่เพิ่งตายมาหมาดๆ แล้วก็ให้เอามาบดจนละเอียดให้กลายเป็นเนื้อเนียนเหมือนครีมข้นก่อนแล้วจากนั้นใส่มันลงในเหล้าองุ่นพร้อมกับ “มูลม้า” ที่แถวบ้านหลายคนเรียกว่าขี้ม้า แล้วจากนั้นหมักไว้ด้วยกันเป็นเวลา 6 เดือน เมื่อครบเวลาแล้วให้นำมากลั่นโดยก่อนจะใช้จริงต้องมีการปรุงกลิ่นให้หอมหวนชวนใช้ ซึ่งเรื่องนี้ก็หนีไม่พ้นฝีมือผู้ร่วมคิดอีกท่านที่เป็นนักเคมียุคนั้นคือชโรเดอร์ที่ช่วยสกัดกลิ่นบุปผาเข้ามาใส่อย่างลาเวนเดอร์, มาล์มซี, วอเทอร์ออฟลิลลี่ แล้วก็เก็บเอาของ เหลวที่กลั่นมาได้ทั้งหมดเอาไว้ใช้ครับ ทั้ง 2 ท่านนั้นยังได้แถมเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ห้อยท้ายไว้ราวกับตำรากับข้าวว่าถ้าไม่สะดวกหาสมองเด็กหนุ่มจะใช้ “ศพ” ทั้งร่างเลยก็ได้ แล้วหั่นไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนที่จะตำจนป่นแล้วหมักกับเหล้าไว้ก่อนจะกลั่นเอามาใช้เช่นเดียวกับเหล้าแช่สมอง (อึ๋ย)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/36121101636025_6.jpg)
ในยุคหนึ่งเหงื่อของนักโทษประหารจะถูกนำไปปรุงยา และเมื่อตายแล้วศพก็ยังถูกนำไปทำยาด้วยเช่นกัน

เหงื่อผู้ถึงฆาต เรื่องนี้เป็นการรักษาในศตวรรษที่ 17 อีกเช่นกัน โดยมีมนุษย์หัวใสผู้เป็นต้นคิด เกิดไอเดียขึ้นมาว่าทุกส่วนของร่างกายมนุษย์ไม่ควรปล่อยทิ้งให้เสียด้วยสามารถนำมาใช้รักษาโรคได้หมดรวมถึง “ของเสีย” ด้วย ซึ่งหยาดเหงื่อก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของของเสียที่ขับออกมาโดยยอดชายหัวใสนามว่านายยอร์จ ทอมสัน นี้ได้ออกสูตรการรักษา “ริดสีดวงทวาร” ด้วยเหงื่อคนใกล้ตาย ซึ่งกรรมวิธีในการหาวัตถุดิบนั้นก็ไม่ยากไม่เย็น (สำหรับนายทอมสัน) คือไปตีซี้กับเพชฌฆาตที่แขวนคอนักโทษหน่อยแล้วก็หาขวดหรือแก้วอะไรก็ได้ไปรออยู่ใกล้ๆ หลักประหารคอยยื่นให้นักฆ่านั้นช่วยรองเอา “เหงื่อ” จากผู้ที่จะต้องถูกปลิดชีวิตในอีกไม่กี่นาทีต่อไปนั้น นอกจากนั้นยังได้ให้เทคนิคไว้เผื่อกลัวไม่สะดวกต่อผู้ใช้อีกว่า หากผู้ใช้ปรารถนาเหงื่อจากมือคนใกล้ตายสดๆ ก็อาจขอให้เขาใช้มือที่ชุ่มเหงื่อกาฬนั้นมาช่วยสัมผัสบริเวณที่เจ็บป่วย (อย่างริดสีดวงเนี่ยนะ) สักหน่อยได้พอเป็นบุญกิริยา ซึ่งฟังดูแล้วอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้นะครับ เพราะมีรายงานว่าเมื่อศตวรรษที่ 19 นี้เองก็มีผู้ไปรอคอยอยู่ใกล้ๆ ตะแลงแกงผูกคอนักโทษเพื่อจะไปจับมือชุ่มเหงื่อของคนใกล้ตายนั้นมาทาถูทาถูที่ก้อนซีสต์ซึ่งก็คือถุงน้ำที่งอกนูนขึ้นมาของตัวเองครับ

โลชั่นไขมันมนุษย์ ว้าว...สาวๆ จะรอผิวสวยอยู่ไยไปดูโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์ไฮเอนด์นี้กันไหมครับ แม้จะเชื่อแน่ว่าคำตอบคือ “ไม่” แต่คำตอบนี้อาจเปลี่ยนไปในบางพื้นที่ของยุโรปสมัยก่อน โดยเฉพาะกับผู้ที่ทนทุกข์กับโรคไขข้อที่ปวดเข้ากระดูกแสนทรมานยามหน้าหนาวและไม่หนาว ท่านที่มีอาการตะคริวจับ, ชาตามตัวและเส้นประสาทเสื่อม ทั้งหมดนี้มีสิ่งที่เชื่อกันว่าช่วยได้คือ “ไขมันมนุษย์” ครับ โดยได้วัตถุดิบมาจากซากศพของฆาตกรและศัตรูที่เสียชีวิต โดยในเนเธอร์แลนด์ตอนนั้นมีอาชีพใหม่เกิดขึ้นคือ “ศัลยเพชฌฆาต (Surgeon-executioner)” ซึ่งก็คือราชมัลผู้ประหารนักโทษนั่นละครับ แต่ผันตัวเองมา “ชำแหละศพ” เหยื่อที่ตัวฆ่าด้วย ดังที่มีเขียนเล่าไว้ว่ามีเพชฌฆาตท่านหนึ่งที่วันนี้เพิ่งผูกเชือกแขวนคอปล่อยนักโทษให้ไปสู่ปรโลกเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นก็ตั้งโต๊ะขายน้ำมันทาถูเพื่อสุขภาพจากศพที่ตัวเองสังหารไปหมาดๆ เรื่องนี้ถึงกับมีอาร์ติเคิลทางการแพทย์ที่กล่าวถึงไว้ใน Journal of Pharmacy ในปี 1922 ได้พูดถึงการอ้างสรรพคุณของ “น้ำมันศพผูกคอ (Hangman’s Salve)” หรือเรียกอีกชื่อว่า “น้ำมันคนบาป (Poor Sinner’s fat)” ในเนเธอร์แลนด์แดนกังหันลมว่า มันเป็นที่นิยมในหมู่ชาวดัตช์ว่าใช้รักษากระดูกหลุดและความพิการต่างๆ อย่างไรก็ดีครับ ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือเนเธอร์แลนด์ได้ยกเลิกกฎหมายประหารชีวิตแบบแขวนคอไปนมนานแล้ว ดังนั้นโลชั่นที่อ้างว่าเป็นไขมันมนุษย์นั้นก็คงไม่ได้มีน้ำหนักมากครับ

เฮ้อ...ฟังแล้วสยองปนคลื่นไส้ ขอบอกก่อน ว่าที่เขียนมานั้นเป็นเรื่องที่เป็นความเชื่อที่เล่าต่อๆ กันมาบ้างซึ่งก็เชื่อว่าคงไม่มีผู้ใดไป “ทดลอง” ทำอย่างพิสดารตามเพราะอันตรายมาก ด้วยชิ้นส่วนของสัตว์หรือคนมีโอกาสนำเชื้อโรคได้สูงดังโรคไวรัสทำลายสมองต่างๆ แถมสูตรต่างๆ ที่ว่ามาก็ไม่ถือว่าเป็นสูตรที่ใช้ได้ผลแต่อย่างใด ส่วนใหญ่เป็นการรักษาแบบโบราณพ้นสมัยไปแล้วโดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 17 ที่ผมได้พบว่ามีเรื่องราวใช้ศพรักษานี้อยู่ในบันทึกทางการแพทย์ต่างๆ อยู่เยอะพอดู ซึ่งเหตุหลักๆ ก็เพราะไม่มีหยูกยาที่เหมาะจะใช้เลยต้องหาของ (ใกล้ตัวม้ากมาก) มาแก้ขัดไปพลางๆ ก่อน.


โดย : นพ.กฤษดา ศิรามพุช
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน