[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 28 สิงหาคม 2559 15:18:29



หัวข้อ: อรรถาธิบาย คำ "กุลีจีน กับ จับกัง"
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 28 สิงหาคม 2559 15:18:29

(http://www.rangsit.org/sculpture/kuli/kuli_img/img-4.jpg)
ภาพคนจีนช่างทำรองเท้าแตะ ไว้ผมเปียอย่างชาวแมนจู
ภาพจาก : เว็บไซท์ rangsit.org

กุลีจีน กับ จับกัง

ศ.ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต อรรถาธิบายไว้ว่า คำว่า จับกัง และ กุลี เป็นคำเรียกกรรมกรแบกหามชาวจีนหรือคนไทยที่ทำงานกับคนจีน กรรมกรแบกหามงานหนักอย่างนี้บางคนเรียกว่า กุลี บางคนเรียกว่า จับกัง

คำว่า จับกัง เป็นคำจากภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่า งาน ๑๐ อย่าง จับกัง หมายถึงผู้ที่สามารถทำงานได้หลายอย่าง แต่มักเน้นงานที่ต้องใช้กำลังกายหรืองานช่าง ปัจจุบันมักเข้าใจว่าจับกังเป็นกรรมกรแบกหามเท่านั้น

ส่วนคำว่า กุลี เป็นคำมาจากคำภาษาอังกฤษว่า coolie เป็นคำที่อังกฤษรับมาจากคำว่า guli ในภาษาฮินดีอีกทอดหนึ่ง

guli เป็นคำที่สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคำ goli ซึ่งเป็นชื่อ ชนเผ่าหนึ่งหรือวรรณะหนึ่งในแคว้นคุชราต เป็นพวกที่รับจ้างทำงานขนถ่ายสิ่งสกปรกที่น่ารังเกียจ

สำหรับประวัติของคนจีนที่เข้ามาขายแรงงานเป็นกุลีในประเทศ ไทย (สยาม) ได้ข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ห้องจัดแสดง ๒ กุลีจีน ว่า

ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากสังคมศักดินาสู่ระบบทุนนิยม ชาวสยามยังเป็นแรงงานบังคับในระบบไพร่ไม่มีอิสระที่จะไปรับจ้าง จึงใช้แรงงานจีนหรือกุลีจีน ซึ่งเป็นแรงงานต่างชาติ แรงงานจีนถือเป็นแรงงานรับจ้างรุ่นแรก

ในการทำงานบุกเบิกสังคมไทย โดยต้องผูกปี้ครั่งที่ข้อมือเป็นสัญลักษณ์การเสียภาษีให้รัฐไทยราวปีละ ๒ บาท แลกกับอิสระในการเดินทางและทำงานรับจ้าง

แรงงานจีนขยันขันแข็ง ทำงานหลากหลายประเภท เช่น เป็น กุลีลากรถ ขุดคลอง แรงงานอู่ต่อเรือ กะลาสีเรือ ก่อสร้าง สร้างถนน เป็นคนงานในโรงงานน้ำตาล โรงสี โรงเลื่อย คนงานเหมืองแร่ แต่ได้ค่าตอบแทนน้อยเมื่อเทียบกับงานที่หนักมาก ขาดหลักประกันในการทำงาน และจำนวนมากต้องกลายเป็นคนติดอบายมุข สูบฝิ่น เพราะรู้สึกสบายหายปวดเมื่อย

นอกจากนี้ยังมีการรวมกลุ่มจัดตั้งองค์กรที่เรียกว่า อั้งยี่ ขึ้นมา และอาศัยองค์กรประเภทนี้ดูแลพิทักษ์ผลประโยชน์ แต่อั้งยี่ก็กลายเป็นสิ่งต้องห้าม เป็นสมาคมลับ เมื่อมีการออกกฎหมายอั้งยี่ขึ้นมาในปี พ.ศ.๒๔๔๐

ยังมีข้อมูลจากบทความเรื่องกำเนิดและวิถีชีวิตของชุมชนแรงงานรับจ้างในประเทศไทย โดย รศ.ดร.พรรณี บัวเล็ก แห่งมหาวิทยาลัยเกริก ระบุว่า กุลีที่อพยพมาในประเทศไทยมี ๒ ลักษณะ คือ อพยพอย่างอิสระ และอพยพโดยผ่านระบบตั๋วสัญญา

การค้ากุลีในประเทศจีนดำเนินโดยบริษัทของชาติมหาอำนาจที่ร่วมกับกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น รัฐบาลชิงไม่สามารถยับยั้งได้ และในที่สุดจำเป็นต้องยอมรับการทำสนธิสัญญาปักกิ่งใน พ.ศ.๒๔๐๓

ผลของสัญญาทำให้รัฐบาลต้องอนุญาตให้ชาวจีนเดินทาง ออกนอกประเทศได้ และเปลี่ยนแปลงนโยบายจากการห้าม ชาวจีนอพยพออกนอกประเทศเป็นนโยบายคุ้มครองแรงงานคนจีนที่ไปทำงานต่างประเทศไม่ให้ถูกขูดรีดจากพ่อค้ากุลีมากเกินไป

การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลชิงนี้ ทำให้ชาวจีนที่เคยลักลอบเดินทางออกนอกประเทศ เดินทางออกนอกประเทศได้สะดวกมากขึ้น ไม่ผิดกฎหมาย

นอกจากอยู่ในภาวะที่ถูกบีบบังคับให้ยอมรับการค้ากุลีของชาติมหาอำนาจที่เกิดขึ้นแล้ว ยังเห็นข้อดีจากชาวจีนโพ้นทะเลว่าเป็นพวกที่มีศักยภาพสามารถช่วยเหลือประเทศในด้านการเงินได้อย่างดี

การเปลี่ยนแปลงทันทีและนโยบายของรัฐบาลชิงต่อชาวจีนโพ้นทะเลทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานออกนอกประเทศจีนมีมากขึ้น


(http://www.rangsit.org/sculpture/kuli/kuli_img/img-3.jpg)
ภาพกุลีจีนขุดเหมืองแร่ที่ภูเก็ต จะนุ่งกางเกงขาก๋วย เสื้อคอจีนแขนยาว
ภาพจาก : เว็บไซท์ rangsit.org

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์ข่าวสด