[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: sometime ที่ 14 เมษายน 2553 10:28:21



หัวข้อ: the spirit
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 14 เมษายน 2553 10:28:21
(http://img256.imageshack.us/img256/773/p2400341.jpg)

http://www.fungdham.com/download/song/allhits/20.wma



............................................เรื่องของจิต.........................................



จิตแบ่งออกเป็น 2 จิต หมายเหตุ.................ตรงนี้พูดถึงจิตมนุษย์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้นะครับหากว่าจิตพระอรหันต์นั้นมี 1 เดียวไม่มี 2 ก็คือจิตหลุดพ้นนั่นเอง
1 จิตแท้ตั้งแต่ดั้งเดิมเกิดกายคือ จิตภายใน มีความใสสะอาดหมดจดมาแต่เดิมแล้ว แต่ถูกครอบงำด้วยจิตเทียม อันประกอบด้วยกิเลศทั้งมวลซึ่งมีอยู่ในร่างกายนี้
จิตนี้ประกอบด้วย จิต(สมาธิ)สติ(ความคิดเริ่ม)ปัญญา(อารมณ์ของความคิด)(จิตนี้เรียกว่าจิตละเอียด) หรือจิตพระอรหันต์
2 จิตเทียมจิตภายนอกที่ปกคลุม จิตแท้อีกทีหนึง คือจิตที่ ร่างกาย หรือสมองนี้ สร้างขึ้นมา เพื่อครอบงำจิตแท้ ที่อยู่ภายใน ไม่ให้ประท้วงออกมา
ประกอบด้วยจิต(สมาธิ)สติ(ความคิดเริ่ม) ปัญญา(อารมณ์ของความคิด)(จิตนี้เรียกว่าจิตหยาบ)หรือจิตมนุษย์ซึ่งส่วนนี้จะฝังตัวอยู่ในมันสมองของเรา
และพัฒนามาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เกิด
ดังนั้นเวลาเราเข้าสมาธิ จงสังเกตุว่าตอนนี้ ขณะที่เราเข้าสมาธินั้น เราอยู่ในอารมณ์ ของจิตไหนละเอียดหรือหยาบเราสามารถรู้ได้ทันทีว่าอารมณ์นั้น
อยู่ในจิตไหนแท้หรือเทียม..............................................................
โดย.............ใช้วิธีของผมนะครับการจะเข้าสมาธิขึ้นสู่ฌาณและตามด้วยญาณ ไม่ยากเลยไม่ถึง10วินาทีสงบเลยถ้าเราสามารถแยกหรือดูจิตตรงนี้ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหนผมลองมาแล้วได้ผล
เข้าสมาธิ เกิดปัญญา มีความคิดดีดีได้เร็วมากครับจะให้นิ่งสงบก็นิ่งสงบจะใช้ปัญญาก็ไหลลื่นไม่ตกลงทางต่ำ
หากหลงไปทางต่ำก็ลืมตากำหนดใหม่อย่างเดิมอีกครั้งก็เข้าที่แป๊บเดียว
วิธีการก็คือ.....................................................................
เราหาที่นั่งให้พอเหมาะพอดีนั่งตัวตรงช่วงขณะที่เราเอา มือมาประสานกันนั้นให้หายใจเข้าจนเต็มปอดพร้อมกับรวบรวมกำลังจิตแห่ง สมาธิ
(ด้วยความตั้งมั่นและตั้งใจอย่างที่สุด)
มาไว้ที่บนฝ่ามือดันพลัง จิตบนฝ่ามือให้ความรู้สึกว่าได้ดันจิตแห่งสมาธิขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงตรงกลางกระหม่อม(กลางศรีษะ)เหมือนเราชักธงสู่ยอดเสายังไงยังงั้นเลยแล้วให้จิต นั้นนิ่งอยู่ตรงกลางกระหม่อมสักครู่
ตอนนี้ก็หายใจเรื่อยๆปกติอย่าเร่งนะ ครับให้รู้สึกว่าจิตแห่งสมาธิเรานั้นอยู่ตรงกลางกระหม่อมคลายความเครียดทั้งมวลปล่อยให้จิตสงบ
และปล่อยวางทุกสิ่งไปไม่ยึดไม่คิดถึงใครทั้งนั้น
ถึงตรงนี้ท่านใดจะนิ่งนานแค่ไหนแล้วแต่ละคนถึงตรงนี้ความคิดทั้งมวลหยุดหมดคล้ายๆตัวสติยืนจ้องมองจิตอยู่เฉย ๆ ส่วนจะปล่อยนานหรือเร็ว
ตอนนี้ก็อยู่ที่ตัวบุคคลตรงนี้จะได้สุขจากสมาธิและ ตัวสติหล่ะครับ ผมเปรียบเทียบตัวสติของจิตก็คือ
คือคิดหัวข้อของความคิดว่าจะคิดเรื่องอะไร พอสติได้หัวข้อของความคิดแล้วพอเริ่มคิดก็จะเกิดปัญญาปัญญาที่นี้หมายถึงอารมณ์ของปัญญาก็ได้
แต่อารมณ์ที่เกิดจากปัญญานี้ออกมาจาก
จิตเดิมแท้ของเราที่ได้ตั้งมั่นเอาไว้แล้ว(สมาธิ)เรื่องต่างๆที่สติเริ่มคิดก็จะกลายเป็นปัญญาหรืออารมณ์ของจิตแท้ก็จะคิดประมวลอารมณ์ต่าง ๆ ไปในทางที่ดีทางปิติไม่ลงในทางต่ำไม่ฟุ้งซ่าน
ถึงตรงนี้เราจะได้ครบสติ(ความคิดเริ่มต้นที่ดี)สมาธิ(จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว) ปัญญา(อารมณ์ของปัญญาที่ดี) เราก็ตั้งมั่นไว้ปล่อยให้สติ(ความคิด)
กับปัญญา(อารมณ์)ทำงานไปในทางที่ดี ตลอดเวลา ปิติ ปิติ ตอนนี้จงรู้เถิดว่าเราอยู่ในจิตแท้แล้ว
แทบจะไม่มีร่างกายนี้เลย นอกจากตอนเราใช้ปัญญาคืออารมณ์พิจารณาสังขารเท่านั้นจึงจะเห็นว่ามันปวดนะมันชานะมันทรมานนะมันร้อนนะคือ
สติจะมารับรู้แต่สมาธิเราก็ต้องมั่นคงอยู่อย่างนั้นไว้ ถึงจะเจ็บปวดก็ตามทีเดี๋ยวพอเรากลับไปหาสมาธิ
มันก็หายไม่รู้สึกสับเปลี่ยนไปมาอย่างนี้กับตัว สติ ที่ดี
บางครั้งเราก็ปล่อยวาง ให้เหลือแต่สมาธิตรงกลางกระหม่อมอย่างเดียวแช่อิ่มไว้ตรงนี้เป็นสุขครับแต่อย่าไปยึดติดมากครับซักพักเราก็มาใช้ สติปัญญาอีก พิจารณาสังขาร หรืออะไรก็ได้ไปทางที่ดีมีประโยชน์
ตรงนี้แปลกมากปัญญา ตัวนี้มันไปของมันเอง เราไม่ได้บังคับให้คิดแต่มันไปของมันเองครับ ถึงตอนนี้ร่างกายแทบไม่รู้ว่ายังมีร่างกายนี้เลยครับเหมือนมันหายไปเลยไม่เจ็บไม่ปวดแต่พอคลายสมาธิขาชาเลยลุกไม่ขึ้น
ตรงกันข้ามหากเราทำตามขั้นตอนแล้ว สติกับจิตของเรา ฟุ้งซ่าน คิดไปในทางที่เลวทางต่ำคิดถึงคนนั้นคนนี้ ไม่นิ่ง ปวดเนื้อปวดตัว ตัวจะหนัก ๆ
ตรงนี้เราจะรู้ได้ว่า สมาธิเราไม่ตั้งมั่นไม่ได้อยู่ตรงกลางกระหม่อมแล้ว มันกระจัดกระจายไปทั่วตอนนี้เราจงรู้เถิดว่าเรากำลังเข้าไปใช้ สติหรือความคิดเริ่มต้นของจิตมนุษย์ที่หยาบที่อยู่ในสมองในร่างกาย
เมื่อเราเข้าไปใช้สติหยาบที่อยู่ในสมองแล้วสติหยาบย่อมสั่งงานไปที่จิตหยาบจิตหยาบนั้นฝังเต็มไปด้วยกิเลศแม้จิตแท้จะเข้าไปช่วยดึงเท่าไรก็ไม่อาจฝืนสู้จิตหยาบได้เราจะคิดแต่สิ่งที่ ไม่ดีไปตลอด
โดยมีความคิดดีๆเข้ามาต่อสู้ขัดแย้งบ้างแต่ก็พ่ายแพ้ไปเพราะ สมาธิเราตกไม่อาจเข้าถึงจิตแท้ได้ ถึงตอนนี้เราจงตั้งหลักใหม่(เริ่มชาร์ตไฟใหม่)เราจงหายใจยาวเข้าไปในปอดจน เต็มที่พร้อมกันกับดันสมาธิอันแรงกล้าจากฝ่ามือเรา
ดันขึ้นไปเรื่อย ๆจน ถึงกลางกระหม่อมแล้วให้สมาธิรวมเป็นหนึ่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกว่าอยู่ตรงนั้นปล่อยวางทุกอย่างสบาย ๆ ไม่คิดไม่ฝันไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น มีแต่ความตั้งมั่น ที่จะเอาชนะกิเลศอย่างเดียวเท่านั้น
ตรงนี้เราจะ ตั้งมั่นอยู่กับสมาธิอย่างเดียวนานแค่ไหนแล้วแต่ละบุคคลที่จะกระทำตรงนี้จะ ได้สุขจากสมาธิ จะนานช้าอยู่ที่บุคคลสักครู่ก็ปล่อยให้สติ ตัวดี ที่เกิดจากจิตสมาธิตั้งมั่นทำงานสติตัวดีก็จะคิดเป็นปัญญา
คือเกิดอารมณ์ที่ดีแห่งปัญญาพิจารณาสังขารสิ่งต่าง ๆ ไปในทางที่ดีตลอดเวลาไม่ตกมาที่จิตหยาบแห่งเนื้อสมองที่มีแต่กิเลศตรงนี้ถ้าเราดำรงรักษาจิตนี้ได้ตลอดไม่เผลอเท่ากับเราได้เข้าถึงจิตแท้แล้ว
เมื่อไหร่ที่เราออกจากสมาธิเราจะรู้สึกโล่งสบายมีความปิติเพื่อน ๆ ครับสมาธิถ้าเราทำอย่างนี้เราจะเข้าสมาธิได้รวดเร็วมากครับนับ
1 2 3บางทีนิ่งสงบเลยลองดูนะครับจริง ๆ ความคิดผมมันละเอียดกว่านี้แต่ไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบายได้ดีกว่านี้เพราะเรื่องนี้บางทีรู้แต่ไม่รู้จะบอกยังไงดีได้แค่นี้นะครับ



...................................................สรุป.............................................



สมาธิ(จิตตั้งมั่นมีกำลัง)เปรียบเสมือนพลังงานเชื้อเพลิงน้ำมัน  เหมือนพลังงานที่อยู่ในแบตเตอรี่ มีมากเท่าใดสมาธิก็แน่นเท่านั้น
ต้องเก็บให้รวมอยู่อย่างนั้นการจะมีสติที่ดีเยี่ยม ก็ต้องมาจากสมาธิที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลัง
เหมือนถ่านไฟฉายหากพลังงานอ่อน(สมาธิ) ไฟ(สติ)ก็ไม่สว่างไฟไม่สว่างก็มองไม่เห็นทาง(ปัญญา)ก็คือไม่เห็นทางแห่งปัญญาไม่มีปัญญาหรือ ปัญญาน้อยไปแล้วจะเห็นอารมณ์แห่งนิพพานที่ต่อเนื่องมาจากปัญญาได้อย่างไร
สติ(ความคิดเริ่มต้นที่ดี)เปรียบเสมือนเรดาร์รอบ ๆ สมาธิคอยดูแลพลังงานรอบ ๆ
สมาธิ คอยปกปักรักษาสมาธิคอยชี้นำทางบางครั้งก็ดึงความรู้ของสมาธิก็คือจิตมาใช้ประโยชน์ สติเริ่มต้นคิดในทางดี
อะไร ๆ ที่ตามมาก็ไปในทางดีก็จะเกิดปัญญาดีอารมณ์ดีส่งผลให้การเจาะเอาปัญญาจากจิตแท้ก็ง่ายขึ้นหรือได้เลยในทันทีเป็นปัญญาละเอียดของจิตเดิมแท้ส่งผลให้จิตแท้มีกำลังมหัศจรรย์เหนือการควบคุมของจิตเทียมที่อยู่ในมันสมองและร่างกาย
ปัญญา(อารมณ์ของความคิด(สติ)ปัญญาตรงนี้ก็ได้จากจิตเดิมแท้จากสมาธิที่เราตั้งมั่นจนกลายเป็นกำลังที่จะสามารถเจาะเข้าถึงจิตแท้อันละเอียดจนเกิดปัญญาอันบริสุทธิ์นั่นเอง


......................................ขอให้ทุกท่านถึงฝั่งแห่งนิพพานเถิด สาธุ ๆ ๆ....................................