หัวข้อ: อัญเจียขะแมร์ : สมเด็จพระพี่นาง-ดอกไม้ของทวยเทพ ในรักที่สังเวยแด่…ความอาดูร เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 11 มกราคม 2560 16:45:58 (http://farm9.staticflickr.com/8334/8105848810_9b62bf6fd3.jpg) (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/08/K8183890/K8183890-16.jpg) อัญเจียขะแมร์ : สมเด็จพระพี่นาง-ดอกไม้ของทวยเทพ ในรักที่สังเวยแด่…ความอาดูร พระธิดาองค์โตในพระบาทนโรดม สีหนุ-พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศพระองค์ก่อน เคยได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าลูกเธอที่ทรงสิริโฉมองค์หนึ่งของกัมพูชา (หรืออาจจะของโลกเพลานั้น) ทรงภารกิจเคียงข้างพระชนกนโรดม สีหนุ บ่อยครั้ง จนเกือบจะเรียกว่าทดแทนตำแหน่งสมเด็จราชินีที่เว้นลง โดยสมเด็จเทวีสีโสวัตถิ์ พงศานมณี นั้น ไม่ทรงออกงานเคียงข้างพระสวามีตลอดระยะเวลาที่อภิเษก (๒๔๘๕-๒๔๙๔) หลังจากเว้นว่างเวลานั้น ผู้ที่กลับออกงานราชพิธีสำคัญๆ กลับเป็นพระองค์เจ้าหญิงบุปผาเทวี ที่ฉายแววมีพระสิริโฉมงดงาม จนได้รับการกล่าวขวัญลือเลื่อง โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ ๖๐-๗๐ ขณะที่พระชนม์ ๒๐ ชันษาต้นๆ ทรงมีความงามสะพรั่ง ในชุดผ้าไหมนวลทองและต้องกันกับเครื่องอลังการ อาทิ มงกุฎเศียรอัปสราที่ขับกับผิวกายเนียนคล้ำแต่เปล่งปลั่งดั่งเปลวเทียนดังภาพฉายาลักษณ์ขาวดำที่ปรากฏ ทรงมีรอยยิ้มปริศนา ไม่ต่างจากภาพประติมากรรมนูนต่ำเหล่านางอัปสราบนปราสาทหินนครวัด นั่นไฉน ทำไมผู้คนจะไม่หลงใหลในบุปผาเทวี “เจ้าหญิงแห่งดอกไม้” องค์นี้เล่า? เพราะลำพังชื่อเสียงของพระบาทนโรดม สีหนุ จะเป็นที่เลื่องลือแล้ว พระองค์ก็ยังมีพระธิดา นาม “เจ้าหญิงบุปผาเทวี” ผู้มีสิริโฉมงดงามประหนึ่งนางอัปสรา ที่สร้างปรากฏการณ์ให้ราชวงศ์เขมรินทร์เป็นที่โจษจัน ถึงความงามอันเกิดจากลักษณะที่วิจิตร โดยเฉพาะในยามที่พระองค์แต่งเครื่องทรงเป็นนางละคร หม่อมเนียะมะเนียงพัต กุลฑล ก็เหมือนคนอื่นๆ คือเป็นสตรีในวังที่ได้รับการเอ็นดูจากสมเด็จพระชนนีโกสะมัก ในฐานะที่ให้กำเนิดพระธิดาบุปผาเทวี (พ.ศ.๒๔๘๖) แต่ดูเหมือนหน้าที่ของหม่อมห้ามก็ดูจะหยุดลงแค่จุดนั้น ขณะที่พระธิดาบุปผาเทวีก็เจริญวัย โชคดีที่หม่อมสามารถกราบบังคมทูลลาออกไปตั้งต้นเริ่มชีวิตใหม่นอกวังอย่างปกติและอิสระ ส่วนบุปผาเทวีนั้น สำเร็จการศึกษามัธยมต้นที่ลิเซ่นโรดมกรุงพนมเปญ อายุ ๑๕ ปี ทรงออกงานพระราชพิธีรำถวายต่อหน้าพระพักตร์และอาคันตุกะต่างชาติ อายุ ๑๘ ปี ก็ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวนางรำเอกแห่งวังหลวงอย่างเป็นทางการ จากนั้น ภารกิจในฐานะขัตติยนารีแห่งราชสำนักกำโพชที่โดดเด่นแห่งยุคก็เริ่มย่างเป็นลำดับ ทรงได้ชื่อว่า เป็นสตรีสร้างชื่อเสียงสรฺกขะแมร์มากที่สุดคนหนึ่ง นอกจากสิริโฉมงดงามแล้วยังมาจากความสามารถและคุณสมบัติด้านศิลปะการแสดง ที่มาจากพรสวรรค์และการฝึกฝนอย่างหนักตามระเบียบแห่งราชสำนัก โดยมีสมเด็จย่าโกสะมัก ซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นสมเด็จพระชนนี คอยเคี่ยวกรำพระเจ้าหลานเธอที่ฉายแววทั้งสรีระ หน้าตาและทรวดทรง มือ เท้า แขน ขาที่เหมาะจะเป็นนางรำ และด้วยเหตุนี้เอง จึงยอมแหกกฎ ยอมเอาลูกหลานหลวงมาเป็นนางละคร “พระราชตร็อป” แต่ก็ทรงทำสิ่งที่มากกว่า นั่นคือ ได้ทรงสร้างเครื่องอลังการเศียรชฎาขึ้นมาใหม่ในแบบ “นางอัปสราแห่งนครวัด” ที่สวยงามและโดดเด่นแก่บุปผาเทวี จนกลายเป็นเครื่องทรงของนางละครที่ถูกจดจำ และเป็นแบบพิมพ์ที่คลาสสิคที่สุด และรุ่งเรืองเฟื่องฟูถึงขีดสุดยุคหนึ่งของวงการละครโบราณกัมพูชา นั่นคือ ยุคที่ใบหน้าของบุปผาเทวี คือสัญลักษณ์ที่ถูกจดจารประหนึ่งงานศิลปะร่วมสมัย ศิลปะร่วมสมัยชิ้นนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่จดจำแต่ความวิจิตรด้านการแสดงเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสมบัติร่วมสมัยทางจารีตของสิ่งที่เรียกว่าราชสำนักอีกด้วย นั่นคือ จารีตแห่งราชสำนักที่ได้ปฏิบัติสืบทอดมายาวนานในหมู่วงศ์เทวัญ และการสมรสระหว่าง “สีโสวัตถ์-นโรดม” และเป็นเหมือนการสืบทอดประเพณีดังกล่าว ในหมู่สมาชิกที่เป็นเสมือน “ญาติวงศ์” ขณะยังทรงพระเยาว์ อันเป็นปรกติธรรมเนียมที่โลกภายนอกอย่างตะวันตกอาจไม่คุ้นเคย และไม่ทราบว่า เจ้าหญิงบุปผาเทวี ที่พวกเขาคลั่งไคล้นั้น ก็อยู่ในจารีตดังกล่าวด้วย โดยในปี พ.ศ.๒๕๐๗ เมื่อกษัตริย์นโรดมสีหนุเสด็จเยือนฝรั่งเศส และดูเหมือนจะเป็นราชประเพณีนิยมไปแล้วตั้งแต่รัชกาลพระบาทสีโสวัตถิ์ ที่ต้องมีคณะละครหลวงติดตามไปด้วย การเสด็จประพาสครั้งนี้ ทำให้พระเจ้าลูกเธอบุปผาเทวีได้รับการกล่าวขวัญในหมู่นักการทูต สื่อมวลชนยุโรปที่ตีพิมพ์ภาพเจ้าหญิงบุปผาเทวีขณะมีพระชนมายุได้เพียง ๒๑ ชันษา ว่า สิริโฉมงดงามนัก ขณะเดียวกันก็ตกตะลึงว่า มีเรื่องลับๆ ของชาววังที่ชาวบ้านๆ ทั่วไป ไม่อาจเข้าใจหรือรับทราบ กระทั่งเมื่อเจ้าหญิงบุปผาเทวี (ในฐานะนางรำ) ได้พบรักกับบุตรชายนักการทูตหนุ่มรูปงามที่ชื่อ มร.บูรโน ฌัก ฟอร์ซินแน็ตตี ฟ้าลิขิตเบาๆ ให้พวกเขามาพบกันที่ฝรั่งเศส และเป็นเหตุการณ์ที่รักอำพรางข้ามฐานันดรได้เกิดขึ้นนั่น ทั้งสองตกหลุมรักกันเหมือนเทพนิยายแห่งความฝัน เป็นความรักอย่างฉับพลัน รึอาจจะเป็นรักแรกของทั้งสองเลยทีเดียว ทว่า ตอนนั้น พระองค์หญิงผู้เพิ่งจะผลิวัยสาวสะพรั่ง ทรงมีลูกเป็นธิดาน้อยน่ารักแล้วถึง ๒ คน คือ หม่อมเจ้าหญิงสีโสวัตถิ์ มุนีกุสกุมะ (๒๕๐๓) และ หม่อมเจ้าหญิงสีโสวัตถิ์ กัลยาณเทวี (๒๕๐๔) ว่ากันว่าทรงแต่งงานครั้งแรกตั้งแต่อายุ ๑๕ ปี (ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับชาวกัมพูชาที่แต่งงานแต่อายุยังน้อย) ขณะที่เทิร์นโปรเป็นนางรำอย่างเต็มตัว การสมรสครั้งนั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๐๒ กับหม่อมเจ้านโรดม นรินทรวรมัน แต่ทรงเลิกรากันไปในปีถัดมาและไม่พบว่ามีบุตร กระทั่ง ทรงมาสมรสกับพระสวามีองค์ที่ ๒ ในปี พ.ศ.๒๕๐๓ กับพระองค์เจ้าสีโสวัตถิ์ มุนีชีวัน และมีพระธิดา ๒ องค์ดังกล่าว เจ้าหญิงบุปผาเทวีทรงมีชีวิตนอกจารีตในต่างแดนเป็นครั้งแรก ทรงออกเดตและใช้ชีวิตคู่กับพระสวามีคนที่ ๓ มร.บูรโน ฟอร์ซินแน็ตตี ระหว่างออนทัวร์การแสดงในปี ๒๕๐๗ ไม่แน่ชัดว่า ทรงเลิกร้างกับพระองค์เจ้าสีโสวัตถิ์ มุนีชีวัน ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ ก่อนจะพบกับฟอร์ซินแน็ตตีหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ยังเป็นความรักที่เต็มไปด้วยอุปสรรค กึ่งปิดบังอำพราง กระนั้นก็ตาม ทั้งสองก็มีพยานรักน้อยๆ เป็นอนุสรณ์คล้องใจคือ เด็กหญิงแก้ว จินสตา ฟอร์ซินแน็ตตี (๒๕๐๘) ซึ่งทั้ง แก้ว จินสตา ฟอร์ซินแน็ตตี และบิดาดูจะเป็นบุคคลที่ไร้ตัวตนในสังคมกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.๒๕๑๐ พระเจ้าลูกเธอก็ทรงสมรสใหม่อีกครั้งภายในพระราชวัง เนื่องจากพระสวามีลำดับที่ ๔ มีฐานะเป็นถึงสมเด็จกรมขุนสีโสวัตถิ์ ชีวันมุนีรักษ์ ทรงมีทายาทตามลำดับ ๒ องค์ คือ หม่อมเจ้าสีโสวัตถิ์ ชีวันฤทธิ์ (๒๕๑๑) และ หม่อมเจ้าสีโสวัตถิ์ วัชรวุธ (๒๕๑๖) ทว่า ก็จบลงที่การหย่าร้าง (๒๕๓๒) สมรสครั้งที่ ๕ กับบุคคลที่ทรงใกล้ชิดในวังมายาวนานอย่าง เอกอุดมเก็ก วันดี ซึ่งเป็นทั้งที่ปรึกษาในพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนและองค์ปัจจุบัน เป็นอดีต ส.ส. ๒ สมัย และผู้มีความใกล้ชิดกับฟุนซินเปกมานาน แต่กลางปี พ.ศ.๒๕๕๕ เก็ก วันดี ก็ล้มป่วยถึงแก่กรรม และทิ้งให้สมเด็จพระเรียมบุปผาเทวีเป็นม่าย สมเด็จพระเรียมบุปผาเทวี ซึ่งเป็นคำเรียกแทนฐานันดรศักดิ์ ตำแหน่งพระพี่นางเธอในพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหนมุนี ผู้ทรงทุ่มเททำงานเพื่อบ้านเมืองด้านวัฒนธรรม เคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีวัฒนธรรม (๒๕๕๑-๒๕๕๕) เคยผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ ตลอดจนสืบสานภารกิจด้านการละครพระราชตร็อปอย่างต่อเนื่องยาวนานร่วม ๒ ทศวรรษ ทรงนำละครชุดอัปสราออกแสดงทั่วยุโรป-อเมริกาจนประสบความสำเร็จ ทัดเทียมกับสมัยที่ทรงเคยเป็นนางรำตัวเอก ดังที่กล่าวว่า ภายใต้เครื่องถนิมพิมพาภรณ์อลังการที่เคยแต่งบูชาองค์รำถวายทวยเทพ กาลเวลา ได้ฝังความยิ่งใหญ่ในเกียรติศักดิ์ ที่มาพร้อมกับมนตราแห่งคำสาป ในรักที่สังเวยแด่…ความอาดูร (https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/c/ce/BupphaDeviDancing_crop.jpg) ที่มา (เรื่อง) : หนังสือมติชนสุดสัปดาห์ หน้า ๔๖ ฉบับที่ ๑๘๙๘ ประจำวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙- ๕ มกราคม ๒๕๖๐ |