หัวข้อ: หลวงพ่อนาน สุทธสีโล วัดบ้านท่าสว่าง ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์ เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 17 มกราคม 2560 19:14:33 (http://www.rakbankerd.com/kaset/Rice/1610_1.jpg) หลวงพ่อนาน สุทธสีโล สามัคคี (วัดบ้านท่าสว่าง) บ้านท่าสว่าง ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์ "พระครูพิพิธประชานาถ" หรือ "หลวงพ่อนาน สุทธสีโล" เจ้าอาวาสวัดสามัคคี (วัดบ้านท่าสว่าง) บ้านท่าสว่าง ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ผู้จุดประกายความคิดให้ชาวสุรินทร์สนใจการทำเกษตรอินทรีย์ เกษตรที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม จนกลายเป็นตำนานพระสงฆ์นักพัฒนาเครือข่ายพระกลุ่มสหธรรมเพื่อการพัฒนาและกลุ่มเสขิยธรรม มีนามเดิม นาน สีชมพู เกิดเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2472 ที่บ้านเลขที่ 24 บ้านเตรี๊ยะใต้ ต.ตะพานลาว อ.เมือง จ.สุรินทร์ อายุครบ 20 ปี ในปีพ.ศ.2492 เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดบ้านท่าสว่าง (ชื่อในขณะนั้น) ต.ท่าสว่าง มี หลวงพ่อวาง ธัมปัญโญ เป็นเจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ หลังอุปสมบทมุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ.2497 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ ในปี พ.ศ.2499 ย้ายไปอยู่จำพรรษาที่วัดโคกสูง ต.ห้วยราช อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ต้นปี พ.ศ.2501 ครูปาน ทิพยรัตน์ ซึ่งเป็นครูอาวุโสสอนที่โรงเรียนประชาบาลวัดสามัคคี นำชาวบ้านท่าสว่าง 4-5 คน เดินทางไปนิมนต์หลวงพ่อนานจากวัดโคกสูง ให้มาจำพรรษาที่วัดสามัคคี กระทั่งวันที่ 30 ก.ค.2502 หลวงพ่อนานได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสามัคคี ในระหว่างนี้ท่านได้ตระหนักว่า พระสงฆ์อยู่ได้เพราะอาหารและปัจจัยที่ชาวบ้านถวาย ปฏิบัติธรรมได้เพราะชาวบ้านเลี้ยงดู เท่ากับพระสงฆ์เป็นหนี้ชาวบ้าน แต่เมื่อหลวงพ่อนานเห็นชาวบ้านมีสภาพชีวิตที่ยากลำบาก ไม่มีอาหารพอเลี้ยงชีพ ต้องเป็นหนี้สิน ท่านจึงตัดสินใจพัฒนาหมู่บ้านแบบสมัยใหม่ เริ่มด้วยการตัดถนน โดยระดมพระภิกษุ-สามเณรจับจอบเสียม สร้างถนนในปีพ.ศ.2510 นอกจากนี้ ท่านยังพบว่าชาวบ้านเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวบ้านเป็นผู้ทำนา แต่ไม่มีข้าวจะกิน หลวงพ่อจึงนำพระและสามเณรวัดสามัคคีทำนา เพื่อมิให้ชาวบ้านต้องห่วงต่ออาหารที่นำมาทำบุญ เป็นการแบ่งเบาความทุกข์ยากของชาวบ้านไปด้วย ขณะเดียวกันก็คิดหาวิธีที่จะชะลอการขายข้าวในช่วงที่เก็บเกี่ยวใหม่ ซึ่งมีราคาตกต่ำ ท่านจึงได้รวบรวมเงินที่ชาวบ้านบริจาคในการทำบุญทั้งหมดที่มีอยู่ โดยคิดว่าเงินของวัด คือ เงินของชาวบ้าน นำเงินไปแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน ในปี 2521 หลังจากที่ตั้งกลุ่มปุ๋ยขึ้นในหมู่บ้าน มีสมาชิกในหมู่บ้านเป็นกรรมการได้เลือกตัวแทนไปเจรจาซื้อปุ๋ยจากองค์การตลาดเพื่อการเกษตรโดยตรง ทำให้สามารถตัดพ่อค้าคนกลางออกไป ราคาปุ๋ยจึงถูกลงมาก แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้ นั่นคือปัญหาการตลาด ปัญหาการกดราคาและปัญหาที่ต้องรีบขายข้าวเพื่อชำระหนี้สินการเก็บเกี่ยว ท่านมองเห็นจุดสำคัญต้องทำลาย "วงจรหนี้สิน" พ.ศ.2524 หลวงพ่อนานได้จัดตั้ง "โครงการสหบาลข้าว" คือ โครงการที่สามารถประกันข้าวให้แก่ชาวบ้านได้เพียงพอ โดยให้กู้ยืมในอัตราการชดใช้ดอกเบี้ยต่ำ เป็นจุดเริ่มต้น ที่สำคัญอีกจุดหนึ่งในการตัดวงจรหนี้สินให้ลดน้อยลง จากนั้นมาหลวงพ่อนานเป็นผู้นำในการพัฒนาทั้งวัดและชุมชนให้มีความเจริญรุ่งเรือง เปิดวัดเป็นแหล่งเรียนรู้ทั้งทางโลก ทางธรรม ท่านรับนิมนต์ไปศึกษาดูงานที่เกาหลี ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศในแถบยุโรป แล้วนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาในด้านการเกษตรอินทรีย์ จนเป็นที่เลื่องลือทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ หลวงพ่อนานเป็นผู้จุดประกายแนวความคิดให้เกษตรกร ชาวนาชาวไร่ เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นผู้คิดวิธีทำลายวงจรหนี้สิน ให้ชาวบ้านลด ละ เลิก อบายมุข ริเริ่มส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตปุ๋ยหมักอินทรีย์ จัดตั้งโครงการสหบาลข้าวจนประสบความสำเร็จก้าวหน้าตราบเท่าปัจจุบัน สร้างจิตสำนึกให้ชาวบ้านได้ตระหนักถึงการพึ่งพาตนเอง ต่อมาท่านปรับประยุกต์ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น มาใช้เป็นแกนนำในการระดมทุน เช่น บุญเทศน์มหาชาติ บุญเข้าพรรษา บุญทอดผ้าป่า เป็นต้น และจัดตั้งสหบาลคน เพื่อเป็นการรวมพลังชาวบ้านในการทำนากระชับมิตรที่ได้ผลดียิ่ง แนวคิดที่เป็นภูมิปัญญาของท่าน ประสบผลสำเร็จ ชาวบ้านและนักวิชาการ ต่างขนานนามท่านว่า "พระนักพัฒนา" ท่านจึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาภูมิปัญญาชาวบ้าน(การผลิตและการบริโภค) ประจำปี 2536 จากสำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ แต่ด้วยอายุที่มาก การพักผ่อนน้อย ทำให้อาพาธในที่สุด เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ก.ค.2558 เวลา 14.15 น. ละสังขารอย่างสงบ สิริอายุ 86 ปี พรรษา 66 สร้างความอาลัยให้กับคณะศิษย์และชาวเมืองสุรินทร์เป็นอย่างยิ่ง อริยะโลกที่ 6 |