[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 18:53:27



หัวข้อ: สถูปเจดีย์
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 18:53:27

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/14041499710745_9.JPG)
เจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา

สถูปเจดีย์

ดร.พระมหาสมจินต์ สมฺมา ปญฺโญ อดีตคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวว่า การสร้างเจดีย์เป็นพุทธประสงค์ที่จะรักษาประเพณีของชาวพุทธ ทั้งนี้ ย้อนไปคราวเมื่อใกล้จะปรินิพพาน ขณะพระพุทธเจ้าประทับบรรทมระหว่างสาละทั้งคู่ ณ สาลวโนทยาน กรุงกุสินารา พระอานนท์กราบทูลถามถึงวิธีปฏิบัติในพระพุทธสรีระหลังจากปรินิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า "กษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิต พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต คฤหบดีผู้เป็นบัณฑิต เลื่อมใสในพระตถาคต จะพึงปฏิบัติในพระสรีระของตถาคตเหมือนที่เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิ"

เมื่อพระอานนท์กราบทูลถามว่า "เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิอย่างไร?"

พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า "เขาห่อพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้าใหม่ ครั้นห่อแล้วซับด้วยสำลี ครั้นซับด้วยสำลีแล้วห่อด้วยผ้าไหม โดยอุบาย เขาห่อพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้า ๕๐๐ คู่ แล้วเชิญลงในรางเหล็กที่มีน้ำมันบรรจุเต็มอยู่ แล้วครอบด้วยรางเหล็กอีกใบหนึ่ง วางบนเชิงตะกอน (จิตกาธาน) ที่ทำด้วยดอกไม้นานาชนิด ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิ สร้างพระสถูปของพระเจ้าจักรพรรดิไว้ในทางใหญ่ ๔ แพร่ง

ดูก่อนอานนท์ เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิอย่างนี้ พึงปฏิบัติในพระพุทธสรีระเหมือนอย่างพระเจ้าจักรพรรดิ พึงสร้างพระสถูปของพระตถาคตไว้ในทางใหญ่ ๔ แพร่ง เหล่าชนผู้พวงมาลัยดอกไม้ของหอม หรือกราบไหว้ หรือทำจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น ข้อนั้นก็จักได้รับประโยชน์ ได้รับความสุขตลอดกาลนาน"

นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสถึงบุคคล ๔ ประเภท ซึ่งเป็นผู้ควรแก่การสร้างสถูปไว้บูชา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวกของพระพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ

ข้อมูลเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่า สถูปหรือเจดีย์ในพระพุทธศาสนาเป็นพุทธประสงค์โดยตรง และพอจะกล่าวได้ว่า ประเพณีนิยมในการสร้างพระสถูปเจดีย์นั้น มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น และนิยมสร้างกันมาตั้งแต่สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ แม้แต่คราวที่พระสารีบุตรผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวานิพพาน หลังจากทำฌาปนกิจสรีระแล้ว พระพุทธเจ้าสั่งให้พระจุนทะและคณะสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุสารีริกธาตุไว้ที่ประตูพระเชตวัน เมืองสาวัตถี และส่วนหนึ่งให้สร้างสถูปเจดีย์บรรจุไว้ที่นาลันทาบ้านเกิด

ความจริงประเพณีนิยมในการสร้างสถูปหรือเจดีย์นี้มีมาก่อนพุทธกาล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวไว้ในเรื่อง "ตำนานพุทธเจดีย์" ตอนหนึ่งว่า

"พระสถูปนั้นเดิมสร้างสำหรับบรรจุพระบรมธาตุ ตามแบบ แผนอันมีประเพณีในมัชฌิมประเทศตั้งแต่ก่อนพุทธกาล"

เข้าใจว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งในหลายประเภทที่คนอินเดียโบราณนิยมสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่ในเชื้อชาติเดียวกันกับพระพุทธเจ้า สันนิษฐานว่า คนกลุ่มศากยะอาจเป็นกลุ่มเดียวกันกับพวกอารยันที่อพยพลงจากตอนเหนือของอินเดีย แต่ต่อมาไม่เห็นด้วยกับระบบสังคมวัฒนธรรมที่อารยันส่วนใหญ่ถือปฏิบัติ

โดยเฉพาะการแบ่งชนชั้นทางสังคมออกเป็นวรรณะ กลุ่มนี้จึงแยกตัวออกมาเรียกชื่อว่า "ศากยะ" และสร้างวัฒนธรรมประเพณีแบบใหม่ขึ้นมาถือปฏิบัติในกลุ่มของตนเอง เมื่อญาติเสียชีวิตก็นิยมเผาศพและเก็บกระดูกไว้บูชา โดยสร้างที่เก็บ ซึ่งถ้ามีขนาดใหญ่โตก็เรียกว่าสถูป

สถูปหรือเจดีย์นั้นในพระพุทธศาสนาถ้าจะให้ถูกต้องจริงๆ ต้องเรียกว่า "พระสถูป" ต้องใช้คำว่าพระนำหน้าด้วย เพราะเป็นของสูง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุโดยเฉพาะ

การสร้างสถูปหรือเจดีย์เป็นประเพณีของพุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะ ซึ่งมิได้มีเฉพาะในสมัยพระโคดมพุทธเจ้าเท่านั้น ในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ชาวพุทธก็สร้างสถูปหรือเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์เพื่อเป็นที่บูชาสักการะทั้งสิ้น
...ข้อมูล ข่าวสดออนไลน์



หัวข้อ: Re: สถูปเจดีย์
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 18:59:04

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/89016956629024_IMG_2855.JPG)
เจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา

สถูปเจดีย์ คือหลุมฝังศพสมัยก่อนพุทธกาลในอินเดีย

คำว่าเจดีย์ มาจากภาษาบาลีว่า เจติยะ (Cetiya) แปลว่าสิ่งที่ควรเคารพบูชา  มีอีกคำที่มักเรียกควบคู่กันคือ สถูป (Stupa) เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า เนินดินที่ฝังศพ

สถูป-เจดีย์ในสมัยแรกของชมพูทวีป คือเนินเหนือหลุมศพเป็นรูปกลมพร้อมก่อแนวคันล้อมด้วยหินเพื่อแสดงขอบเขตของเนินให้ชัดเจน ใจกลางเนินคือหลุมที่ขุดลึกลงไปแล้วก่อห้องเล็กๆเพื่อบรรจุศพพร้อมเครื่องบูชา พบหลักฐานหลุมศพก่อนประวัติศาสตร์แบบนี้ตั้งแต่ราว ๔,๐๐๐ ถึง ๓,๕๐๐ ปีมาแล้ว  เช่นที่แหล่งโบราณคดีพรหมคีรี (Brahmagiri) ในอินเดียภาคใต้

ถึงสมัยพุทธกาล คัมภีร์มหาปรินิพพานสูตรกล่าวว่าบุคคลผู้มีค่าควรแก่การสร้างสถูปให้มีสี่จำพวก คือ พระตถาคต พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์และพระจักรพรรดิราช แสดงว่าความเชื่ออินเดียโบราณนั้นสถูปเป็นที่ฝังศพของบุคคลชั้นสูงพร้อมสิ่งของบูชาไว้รวมกัน

เนินดินฝังศพย่อมประดับประดาด้วยเครื่องตกแต่งแสดงฐานันดรของผู้ถูกฝังอยู่ เช่น ปักฉัตรหรือร่มหลายชั้นไว้บนยอดเนิน สร้างรั้วล้อมแสดงอาณาเขต  แต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนเท่ากับช่วง พ.ศ.๒๐๐-๓๐๐ คือราชวงศ์โมริยะ-ศุงคะที่เริ่มก่อสร้างศาสนสถานด้วยถาวรวัตถุ จึงเริ่มมีสถูปหลงเหลือมาถึงทุกวันนี้ เช่นที่สาญจี (Sanchi) ซึ่งยังเห็นได้ว่ายังเน้นส่วนเนินดินที่เป็นรูปกลมหรืออัณฑะ (Anda)  มีฉัตรปักบนยอดและล้อมฉัตรด้วยรั้วสี่เหลี่ยมเรียกว่า หรรมิกา (Harmika) ส่วนที่บรรจุกระดูกพร้อมเครื่องบูชาก็กลายมาเป็นห้องกรุที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ (Relics chamber) นั่นเอง

สถูปเจดีย์ของอินเดียโบราณแพร่กระจายไปทั้งชมพูทวีปในราว พ.ศ.๕๐๐-๘๐๐ เช่นแคว้นอมราวดีอินเดียภาคใต้และยังเลยลงไปพร้อมกับการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในเกาะลังกาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม

ราว พ.ศ.๑๑๐๐ อินเดียติดต่อกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พร้อมกับนำศาสนาฮินดู-พุทธเข้ามา มีการสร้างสถูปเจดีย์ขนาดใหญ่ในวัฒนธรรมทวารวดี ซึ่งบางแห่งขุดค้นพบพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ภายใน เช่น เจดีย์หมายเลข ๑ เมืองคูบัว ราชบุรี

ช่วง พ.ศ.๑๗๐๐ เป็นต้นมา พุทธศาสนาจากลังกาได้รับความนิยมขึ้นแทน สถูปเจดีย์แบบลังกาจึงเริ่มสร้างกันมากขึ้นทั้งในพม่า กัมพูชาและดินแดนไทย  ต่อไปจะนิยมเรียกกันว่าเจดีย์ทรงระฆัง เพราะมีพัฒนาการจนทรวดทรงเพรียวเหมือนระฆัง ซึ่งจะสร้างกันแพร่หลายต่อมาจนปัจจุบัน

ด้วยเหตุที่ต้นเค้าของเจดีย์มาจากเนินฝังศพ สอดคล้องกับการปลงศพแบบดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือฝังร่างคนตายพร้อมเครื่องเซ่นไว้ในหลุมศพ จึงไม่น่าแปลกที่พุทธศาสนายุคแรกเข้ามายังสุวรรณภูมิสามารถกลมกลืนกับความเชื่อดึกดำบรรพ์ทำให้ผู้คนแถบนี้ยอมรับศาสนาจากอินเดียอันเป็นเครื่องมือสำหรับเชื่อมโยงการติดต่อค้าขายและทำให้บ้านเมืองใหญ่ขึ้นถึงระดับรัฐในระยะต่อมา


(http://www.sujitwongthes.com/suvarnabhumi/wp-content/uploads/2012/04/27042555-1-450x365.jpg)
หลุมฝังศพสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พรหมคีรี (Brahmagiri) อินเดียภาคใต้
เป็นเนินดินรูปกลมมีห้องไว้ศพพร้อมเครื่องบูชา อันเป็นต้นเค้าของสถูปเจดีย์ในพุทธศาสนา
(ภาพจาก Archaeological Survey of India,Archaeological remains monuments and museums part I)

(http://www.sujitwongthes.com/suvarnabhumi/wp-content/uploads/2012/04/27042555-2-450x337.jpg)
สถูปสาญจี อายุราว พ.ศ.๒๐๐-๓๐๐ เป็นเจดีย์ยุคแรกๆที่มีหลักฐานชัดเจน ประกอบด้วย
ทรงกลมขนาดใหญ่ที่มาจากเนินดินหลุมศพ ปักฉัตรและล้อมรั้วด้านบนแสดงฐานันดรว่า
เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า (ภาพจาก ผศ.ดร. เชษฐ์ ติงสัญชลี)

(http://www.sujitwongthes.com/suvarnabhumi/wp-content/uploads/2012/04/27042555-31-450x600.jpg)
เจดีย์ประธานทรงระฆังของวัดพระศรีสรรเพชญ อยุธยา สร้างช่วง พ.ศ.๒๐๓๕ รูปแบบ
ที่สืบมาจากอินเดียโบราณผ่านเวลายาวนานนับพันปี คือองค์ระฆังที่กลายมาจากเนินรูปกลม
บัลลังก์เหลี่ยมและยอดแหลมที่พัฒนามาจากฉัตรซ้อนชั้นที่ปักบนเนินดิน 


สุวรรณภูมิสโมสร/ศุกร์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕
ประภัสสร์ ชูวิเชียร